อย่าฟูมฟายกับหนึ่งสิ่งที่หายไป

20200716

เมื่อปีที่แล้วผมพาแฟนไปร่วมงานวิ่งชื่อ Olympic Day จัดที่สนามศุภชลาศัย

ผมกับเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศเคยมางานนี้แล้ว แต่มันเป็นงานวิ่งครั้งแรกของแฟนผม เธอก็เลยตื่นเต้นน่าดู แม้ระยะการแข่งขันจะแค่ 5 กิโลเมตร แต่แฟนก็ซ้อมล่วงหน้าหลายสัปดาห์

เมื่อถึงวันแข่งเราตื่นกันตั้งแต่ตีสาม เพื่อไปให้ถึงสนามทันตีสี่ ก่อนจะออกตัวตอนตีห้า

ก่อนวันแข่ง น้องที่ทำงานผมอาสาไปรับ “บิ๊บ” หรือเบอร์วิ่งมาให้เรา แต่พอเขามาถึงสนามตอนตีสี่ครึ่ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบบิ๊บของผมกับแฟนมาให้ด้วย

บิ๊บเป็น “เอกสาร” ที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันวิ่งระยะทางไกล เพราะมันคือ ID ของนักวิ่ง ข้างหลังบิ๊บจะมีชิพที่เป็นตัวจับเวลาว่าเราได้ออกจากจุดสตาร์ทจริงหรือไม่ และวิ่งไปตามเส้นทางจนถึงเส้นชัยจริงรึเปล่า

เวลาวิ่งอย่างเป็นทางการจะถูกบันทึกไว้ในเว็บการแข่งขัน ตอนเข้าเส้นชัยผู้จัดงานก็จะติ๊กในบิ๊บของเราว่าได้รับเหรียญแล้วรึยัง ได้รับเครื่องดื่มและอาหารแล้วหรือยัง การที่เราไม่ได้เอาบิ๊บมาก็เหมือนเราจะเสียสิทธิ์เหล่านี้ทุกอย่าง

ผมวิ่งไปถามทีมจัดงานว่ามีบิ๊บสำรองมั้ย แต่ปรากฎว่าไม่มีใครหาให้ได้ ส่วนแฟนผมก็ย่อมต้องอารมณ์บูดอยู่แล้ว เพราะอุตส่าห์ซ้อมมาอย่างดี ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องมารอปล่อยตัวท่ามกลางคนจอแจ แต่กลับไม่สามารถร่วมรายการได้ซะอย่างนั้น ดูท่าทางเหมือนอยากจะกลับบ้านเต็มที

แต่ผมก็คะยั้นคะยอว่า ไหนๆ ก็ซ้อมมาแล้ว และวันนี้ก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ก็วิ่งกันเถอะ วิ่งแบบคนนอกที่มาร่วมรายการก็ได้ แฟนก็เลยยอมวิ่ง

เพื่อนๆ ที่วิ่งระยะ 10 กิโลเมตรปล่อยตัวตอนตี 5 ส่วนผมกับแฟนวิ่งระยะ 5 กิโลเมตรนั้นปล่อยตัวทีหลัง เส้นทางของเราคือวิ่งวนรอบบล็อคผ่านบรรทัดทอง พระราม 4 ราชดำริ พระราม 1 เพื่อวนกลับเข้าสนามศุภฯ

ระหว่างวิ่ง ผมก็คิดได้ว่า จริงๆ ที่เราขาดไปก็แค่เบอร์วิ่งนี่นะ อย่างอื่นเรายังได้รับเหมือนเดิมหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นการได้มาวิ่งท่ามกลางผู้คนมากมาย ได้สัมผัสบรรยากาศกรุงเทพตอนเช้าตรู่ ได้แวะกินน้ำ ได้วิ่งแซงคนโน้นคนนี้หรือถูกคนอื่นแซงกลับ

ตอนที่วิ่งกลับเข้าสนามศุภชลาศัยนั้นบรรยากาศดีมาก ราวกับเราเป็นนักกีฬาทีมชาติที่วิ่งเข้าสเตเดี้ยมอย่างฮีโร่

พอถึงเส้นชัย ผมถามคนที่ยืนแจกเหรียญว่า ขอเหรียญได้มั้ย พอดีลืมเอาบิ๊บมา เขาก็ให้เหรียญกับผมและแฟนอย่างไม่คิดอะไร ตอนเดินไปรับน้ำก็ไม่มีใครว่าอะไรอีกเช่นกัน จากนั้นเราก็มานั่งรอเพื่อนคนอื่นๆ ทยอยเข้าเส้นชัย

แล้วแฟนผมที่ตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ชวนผมไปถ่ายรูปคู่ชูเหรียญ และอัพสเตตัสเฟซบุ๊คไว้เป็นที่ระลึก

สรุปคือวันนั้นผมกับแฟนได้รับประสบการณ์ครบถ้วนทุกอย่าง ขาดแค่เพียงกระดาษแผ่นเดียวตรงกลางอก ดีนะที่ไม่ได้ตัดใจกลับบ้านไปเสียก่อน

ประสบการณ์ในวันนั้นสอนให้ผมรู้ว่า อย่าฟูมฟายกับหนึ่งสิ่งที่หายไป เพราะถ้าเราเอาแต่จับจดกับสิ่งที่หายไป เราจะมองข้ามสิ่งดีๆ อีกมากมายที่มันยังเหลืออยู่

ช่วงที่กรุงเทพต้องล็อคดาวน์เพราะโควิด-19 หลายคนทุกข์ใจกันมาก เดินห้างก็ไม่ได้ ไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ได้ กินข้าวที่ร้านอาหารก็ไม่ได้ อนาคตหลายๆ อย่างก็ไม่แน่นอน

แต่ถ้ามองดีๆ เกือบทุกอย่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม เรายังมีอวัยวะครบถ้วน เรายังมีข้าวกิน เรายังดูเน็ตฟลิกซ์ได้ เรายังโทรหาคนที่เรารักได้ โควิดทำให้บางสิ่งหายไป แต่ก็ยังเหลือสิ่งดีๆ อีกมากมายที่เรายังทำได้เหมือนเดิม

อะไรที่เสียไปแล้วก็ต้องให้มันเสียไป ขอแค่เพียงมองให้เห็นสิ่งดีๆ ที่เรายังมีเหลืออยู่

แล้วจะรู้ว่าชีวิตไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ

อีกสิบปีเราจะขำตัวเองกับเรื่องนี้

20200715

ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้วหรือเก่ากว่านั้นก็ได้

อาจจะเคยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะอกหัก

อาจจะเคยเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะงานล่ม

อาจจะเคยทะเลาะกันใหญ่โตด้วยเรื่องที่เราคิดว่าสำคัญเสียมากมาย

พอมองย้อนกลับไป ความรู้สึกแย่ๆ นั้นอาจจะยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ปัญหานั้นมันไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่เคยคิดแล้ว ไม่รู้เพราะว่าก้อนปัญหามันถูกกาลเวลากัดกร่อน หรือตัวเราเองที่เติบใหญ่ขึ้น หรืออาจจะทั้งคู่

เราเคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ มาแค่ไหน เราก็ยังผ่านมันมาได้

ตอนนี้เรากำลังเจอเหตุการณ์แย่ๆ เพียงใด เดี๋ยวเราก็จะผ่านมันไปได้เหมือนที่เคยเป็นมาเช่นกัน

แล้วอีกสิบปีเราจะกลับมาขำตัวเองกับเรื่องนี้ครับ

ผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับเลนส์ที่เราใช้

20200713

นานมาแล้ว ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

หนึ่งในคำถามคือความเห็นของอาจารย์เสกสรรค์ถึงเหตุการณ์หนึ่งในบ้านเมืองที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่

อาจารย์ตอบว่า ถ้ามองในทางนิติศาสตร์นับว่าเป็นเรื่องผิด แต่ถ้ามองในทางรัฐศาสตร์ก็นับว่าทำถูกต้องแล้ว

ผมจำรายละเอียดของเหตุการณ์ไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่ในใจผมเรื่อยมาคือมุมมองที่ว่า สิ่งใดจะผิดหรือถูกมันขึ้นอยู่กับว่าเรามองผ่านเลนส์ของอะไร

ในชีวิตเราจะพบเจอคนที่เป็น “ผู้ผดุงความยุติธรรม” อยู่เนืองๆ คนที่เห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องแล้วไม่ลังเลที่จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งนี้มันผิดนะ

เราเจอผู้ผดุงความยุติธรรมทั้งในที่ทำงานและในกรุ๊ปไลน์ ซึ่งในมุมหนึ่งก็เป็นเรื่องดีที่มีคนกล้าทักท้วง แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คนรอบข้างอึดอัดได้เช่นกัน เพราะสิ่งต่างๆ ในสังคมมันไม่ได้เป็นขาวกับดำ มันมีตั้งแต่เทาอ่อนจนถึงเทาเข้ม

ถามว่าความเท่าเทียมกันของมนุษย์เป็นเรื่องดีมั้ย? ถามว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากันรึเปล่า?

ถ้าเราเชื่อใน values ที่กล่าวไป เรายังควรมีที่นั่งให้กับหญิงมีครรภ์และคนชราหรือไม่? การมีที่นั่งเพื่อคนเหล่านี้โดยเฉพาะไม่เป็นการดูเบาหรือเห็นว่าเขาอ่อนแอกว่าเราอย่างนั้นหรือ? ถ้าเขาขึ้นรถเมล์มาทีหลัง ทำไมเขาถึงมีสิทธิ์ได้นั่งก่อนในเมื่อเราก็เสียค่ารถเมล์เท่ากัน?

เพราะการมีที่นั่งให้หญิงมีครรภ์นั้นเราไม่ได้ใช้เลนส์แห่งความเท่าเทียม เรากำลังใช้เลนส์แห่งความเอื้ออาทร

ถ้าเราเคยสงสัยว่าทำไมคนบางคนถึงไม่เห็นด้วยกับเรา ไม่ว่าจะเรื่องการเมือง เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการทำแท้ง มันอาจไม่ได้เป็นเพราะว่าเขามีไม้บรรทัดที่บิดเบี้ยวหรือมีความบกพร่องทางศีลธรรมแต่อย่างใด บางทีเขาเพียงแต่มองผ่านเลนส์คนละเลนส์กับเราเท่านั้นเอง

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เราก็อาจพร้อมรับฟังความเห็นของคนอื่นได้มากขึ้น

และถึงวันหนึ่งที่เราโตพอ เราอาจสนุกกับการมองผ่านเลนส์ของคนอื่นๆ เพื่อให้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็น หรือเห็นสิ่งที่เราปฏิเสธที่จะมองมาโดยตลอดครับ

หน้าที่ของลูกน้องคือทำให้หัวหน้าดูดี

20200712b

ฟังดูเหมือนเป็นการประจบประแจง แต่ที่จริงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น

ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือ Thank God It’s Mondayฯ ว่าเราทุกคนมีความต้องการหลักๆ แค่สองอย่างในชีวิต หนึ่งคือ Security และสองคือ Significance

Security คือความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย

Significance คือความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ

ถ้าใครมอบ 2S นี้ให้เราได้ เราก็จะรู้สึกดีกับคนคนนั้น

เช่นเดียวกัน ถ้าเรามอบ 2S นี้ให้ใครได้ เขาก็จะรู้สึกดีกับเราเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวหน้า

อย่าลืมว่าหัวหน้าของเราต้องแบกรับผิดและรับชอบผลงานของทั้งทีม ถ้าเราทำงานออกมาได้ดีมีคุณภาพ หัวหน้าเราย่อมแฮปปี้เพราะเขาสามารถเอางานของเราไปนำเสนอใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิใจ และเมื่อผลงานของทีมดี เขาย่อมได้ทั้ง Security และ Significance ในคราวเดียวกัน

ในทางกลับกัน ถ้างานของเราไม่ได้เรื่อง หัวหน้าต้องมาตามแก้หลายๆ รอบ นั่นย่อมทำให้เขาสูญเสียเวลาอันมีค่า แทนที่จะเอาไปสร้างผลงานอื่นๆ กลับต้องมานั่งปัดกวาดเช็ดถูความไม่เรียบร้อยในงานของลูกน้อง แถมถ้าข้อมูลผิดพลาดและทำให้บริษัทเสียหาย 2S ของหัวหน้าก็จะลดลงไปไม่น้อย

ทำงานของเราให้ดีเพื่อจะทำให้หัวหน้าของเราดูดี แล้วหัวหน้าจะดูแลเราดีเองครับ

ความเชื่อเราเป็นอย่างไร ความจริงก็คงเป็นอย่างนั้น

20200712c

ถ้าเราเชื่อว่าเราคงสู้เขาไม่ได้ เราก็คงไม่ได้ลงแรงมากนักในการฝึกซ้อมและเตรียมตัว สุดท้ายเราก็จะสู้เขาไม่ได้จริงๆ

ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นคนไม่มีเสน่ห์ เราก็จะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมและทักษะการเข้าสังคม เราก็เลยกลายเป็นคนไม่มีเสน่ห์ไปจริงๆ

ถ้าเราเชื่อว่าโลกนี้กำลังกลั่นแกล้งเรา เราก็จะตีความการกระทำของคนรอบข้างเป็นลบไว้ก่อน เมื่อเราคิดลบกับเขา เขาก็ย่อมคิดลบกับเราหรือไม่ก็หนีห่าง โลกจึงดูเหมือนกำลังกลั่นแกล้งเราจริงๆ

ทุกความเชื่อคือ self-fulfilling prophecy มันคือคำทำนายที่กลายเป็นจริงเพราะเราทำตัวเอง แล้วเราก็ได้แต่อุทานว่า “กูว่าแล้ว”

ลองเชื่อแบบอื่นๆ ดูบ้าง เผื่อจะเจอความจริงที่น่ารักกว่านี้ครับ