เพราะมันจะทำให้เราใจร้อนและร้อนใจ และอาจคาดหวังมากเกินกับทั้งตัวเองและผู้อื่น
องค์กรสมัยใหม่มักจะเน้นความเป็น results-oriented คือมองกันที่ผลลัพธ์มากกว่าจำนวนชั่วโมงการทำงาน คุณจะเข้างานสายหน่อย หรือจะลางานบ้างก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้งานเสร็จและออกมาดี
แต่ในฐานะคนทำงานที่เพิ่งจบมาใหม่ เราก็ต้องเข้าใจว่า วิธีคิดแบบ results-oriented นั้นเป็นดาบสองคม
เพราะเมื่องานออกมาดี พนักงานไฟแรงก็อาจจะมีถามคำถามดังต่อไปนี้
ทำไมขึ้นเงินเดือนแค่นี้? ทำไมได้โบนัสแค่นี้? ทำไมยังไม่ได้โปรโมต?
นี่เป็นคำถามเชิง results-oriented ทั้งสิ้น ซึ่งไม่ผิด คนทำงานดีควรได้รับการตอบแทนที่เหมาะสม
แต่พนักงานกับองค์กรย่อมมีมุมมองต่อความเหมาะสมที่แตกต่างกัน
พนักงานอาจคิดว่าฉันทำงานเหนื่อยขนาดนี้ ผลงานดีขนาดนี้ ควรจะได้รับเท่านี้รึเปล่า
ส่วนองค์กรต้องคำนึงเพิ่มเติมอีกหลายมิติ ทั้งโครงสร้างเงินเดือน ความเท่าเทียมกันของพนักงาน อายุ สุขภาพทางการเงินของบริษัท และแผนการระยะยาว สิ่งที่องค์กรให้ได้ จึงมักไม่เท่ากับสิ่งที่พนักงานคาดหวัง
เพราะโลกไม่ได้เป็นไปตามใจ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ถ้าพนักงานคาดหวังว่าจะต้องมีเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ ภายในอายุเท่านั้นเท่านี้ ก็มีความเสี่ยงที่จะหงุดหงิดและผิดหวังได้บ่อยๆ
คำถามคือ ถ้าจะไม่ให้คิดแบบ results-oriented แล้วจะให้ทำยังไง?
ผมขอเสนอว่าเราลองเพิ่มมุมมองแบบ learning-oriented เข้าไปด้วยดีมั้ย?
ผลตอบแทนเป็นตัวเงินนั้นสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเราเก่งขึ้นทุกวันรึเปล่า
ในวิชาฟิสิกส์ม.ปลายเราจะได้เรียนการคำนวณพลังงานสองแบบ คือพลังงานจลน์ (kinetic energy) กับพลังงานศักย์ (potential energy)
Kinetic Energy = 0.5mv^2 (0.5 x mass x velocity^2)
Potential Energy = mgh (mass x gravity x height)
พลังงานจลน์นั้นคือพลังของวัตถุที่เคลื่อนไหว
พลังงานศักย์คือพลังงานที่ถูกเก็บเอาไว้ เป็นศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมา
การได้ขึ้นเงินเดือนเยอะๆ ได้โปรโมตไวๆ คือพลังงานจลน์ที่ตื่นเต้น หวือหวา เร้าใจ
ส่วน soft skills ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่เราสะสมวันละนิดคือพลังงานศักย์ที่อาจจะยังไม่ส่งผลตอนนี้ แต่จะส่งผลแน่ๆ ในอนาคต
ดังนั้น เราไม่ควรให้ความสำคัญกับ results ที่จับต้องได้แต่เพียงอย่างเดียว พยายามมองโลกให้เข้าใจว่ามันทำงานยังไง มีปัจจัยอะไรที่เราคุมได้ และปัจจัยอะไรที่เราคุมไม่ได้
และในระหว่างที่ results มันยังไม่ออกดอกออกผล สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการสะสมความเก่งกาจของเรา
เก่งทั้งเรื่องงาน เก่งทั้งเรื่องคน
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่เราคู่ควรจะตามมาเอง
—–
รับสมัคร Time Management รุ่นสุดท้ายของปีนี้ วันเสาร์ที่ 7 กันยายน เหลือ 13 ที่ครับ >> http://bit.ly/2ODqv0M