ถ้าไว้ใจ อะไรๆ ก็ง่าย

20180531_trust

ถ้าไม่ไว้ใจ อะไรๆ ก็ยาก

หลักการนี้ใช้ได้กับทุกบริบท ทั้งที่ออฟฟิศและที่บ้าน

ถ้าหัวหน้าไว้ใจเรา เขาก็จะไม่มาจู้จี้จุกจิก ไม่มากะเกณฑ์ เขาแค่จะบอกเราว่าต้องการอะไรแล้วเขาก็จะปล่อยให้เราทำในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสม

ถ้าลูกน้องไว้ใจเรา เขาก็จะเชื่อว่างานที่เราสั่งไปนั้นสมเหตุสมผลแล้ว เหมาะกับความสามารถกับเขาแล้ว ไม่มัวมาตั้งคำถามหรือหาวิธีหลีกเลี่ยงงานนั้น

ถ้าแฟนไว้ใจเรา ก็จะไม่ขอเช็คมือถือ ไม่โทร.หา/โทร.ตามให้ต้องรู้สึกหงุดหงิดทั้งสองฝ่าย

เมื่อต่างฝ่ายต่างไว้ใจกัน ชีวิตก็จะง่าย (simple) ไม่ต้องทำอะไรซับซ้อนให้สิ้นเปลืองพลังงาน

แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน เราจะสูญเสียเวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่สร้างการผลิต ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะเวลาเป็นของหายากมากขึ้นทุกวัน

การสร้างความไว้ใจนั้นยาก แต่จะทำให้ชีวิตเราง่าย

การทำลายความไว้ใจนั้นง่าย แต่จะทำให้ชีวิตเรายาก(มาก)ครับ

สูตรมหัศจรรย์

20180530_magic

วันนี้มากับสมการง่ายๆ ที่ผมสังเกตมาแล้วว่าได้ผล

O+C+T = M

Ordinary actions + Consistency + Time = Magic

ธรรมดา+สม่ำเสมอ+เวลา=มหัศจรรย์

แค่ทำเรื่องธรรมดาด้วยความสม่ำเสมอ แล้วปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน ก็จะได้ความมหัศจรรย์เป็นผลลัพธ์

เหมือน Warren Buffett ที่ซื้อหุ้นดีๆ ถือเอาไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปหุ้นก็เพิ่มมูลค่ามหาศาล

เหมือนพี่ตูนที่วิ่งคราวละ 10 กิโลเมตร วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 55 วันก็สามารถระดมทุนเกิน 1,000 ล้านบาท

เหมือนดาบวิชัย ที่ปลูกต้นไม้วันละ 300 ต้นมาตั้งแต่ปี 2531 มาวันนี้ดาบวิชัยปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 3 ล้านต้น

เราจึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนพิเศษที่ทำอะไรวิเศษ

แค่เป็นคนธรรมดาที่ทำเรื่องธรรมดาด้วยความสม่ำเสมอ

และถ้าเรารอได้ ผลลัพธ์จะทำให้แม้แต่เรายังแปลกใจครับ

ถ้ายังไม่เปลี่ยน

20180529_peoplecanchange

แสดงว่ายังเจ็บไม่พอ

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนบางคนหรือแม้กระทั่งตัวเราเองถึงไม่เลิกนิสัยแย่ๆ

สูบบุหรี่ เมาแล้วขับ ไปทำงานสาย ฯลฯ

หนึ่ง เพราะอุปนิสัยเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยน เพราะมันเป็นปฏิกิริยาเคมีในสมอง neural pathways ถูกใช้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสมองเรามุ่งแต่จะไปทางนี้ ลองนึกภาพว่าวันหนึ่งเราเดินเข้าป่า เราก็จะเลือกเดินทางที่มีคนเดินผ่านมาก่อนแล้ว เพราะหญ้าไม่ขึ้น ดูปลอดภัยดี

สอง เพราะอุปนิสัยเหล่านี้มันไม่ได้ให้ผลร้ายทันทีทันใด และมนุษย์เราไม่เก่งเรื่องการจินตนาการถึงอนาคต แต่เชี่ยวชาญนักในเรื่องการตอบสนองกิเลสที่เกิดขึ้นที่นี่-เดี๋ยวนี้

ดังนั้น ถ้าไม่อยากเดินทางเดิมอีก เราอาจต้องหาบทลงโทษที่ให้ผลทันทีทันใด

ใครที่เคยโดนไฟดูดไปหนึ่งครั้ง ก็คงไม่กล้าเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟอีกแล้ว

ใครที่เคยเอามือไปจับกาต้มน้ำเดือดซักครั้งนึง ก็คงไม่กล้าจับอีกแล้ว

ถ้าเราเดินเข้าป่าไปตามทางที่เดินบ่อยๆ แล้วเจองูอยู่กันเป็นฝูง เราก็คงหาทางเดินใหม่หรือเลิกเข้าป่านี้ไปเลย

น้องที่ผมรู้จักคนหนึ่ง เคยเมาแล้วขับ ปรากฎว่ารถคว่ำ ตัวรถพังเละเทะ แต่น้องรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ น้องเขาก็เลยเลิกเมาแล้วขับไปโดยปริยาย

เหตุการณ์รถคว่ำ ก็คืองูฝูงใหญ่ในป่าที่ทำให้น้องไม่กล้าเลือกเดินทางนี้อีก

คนที่มาทำงานสาย ถ้าโดนปรับเงิน 500 บาทซักครั้ง เขาคงไม่กล้ามาสายอีก

คนที่สูบบุหรี่ ถ้าได้รู้ว่าเขาทำให้คนใกล้ตัวเป็นมะเร็งปอด เขาอาจเลิกสูบบุหรี่ทันทีได้เลย

คนเราเปลี่ยนกันได้เสมอ

ที่ยังไม่เปลี่ยน เพราะว่ายังเจ็บไม่พอเท่านั้นเอง

ชนชั้นไร้ประโยชน์

20180528_uselessclass

หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดในเวลานี้คือ AI – Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)

จริงๆ เราได้ยินคำนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งมาบูมอีกครั้งตอนที่ AlphaGo ของ Google (DeepMind) เอาชนะนักหมากล้อมมือหนึ่งของโลกได้

AI คืออะไร?

Seth Godin บอกว่าสำหรับเขา AI คืออะไรก็ตามที่คอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้

พอคอมพิวเตอร์ทำได้เมื่อไหร่ เราก็จะรู้สึกว่ามันเรื่องธรรมดา

เหมือนที่ Amazon รู้ว่าเราน่าจะชอบหนังสืออะไร หรือ Facebook รู้ว่ารูปที่เราเพิ่งอัพโหลดมีเพื่อนคนไหนบ้าง หรือ Google Maps รู้ว่าจะพาเราไปถึงที่โดยใช้เวลาน้อยที่สุดได้อย่างไร

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันคือสิ่งที่คอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้ทั้งนั้น (รวมถึงการเล่นหมากล้อมเอาชนะแชมป์โลกด้วย)

สิ่งที่คอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้มีอะไรบ้าง?

วินิจฉัยโรค
แต่งเพลง (จริงๆ ทำได้แล้ว)
ขายของ
ทำบัญชี
แต่งนิยาย (อันนี้ก็ทำไปแล้ว เกือบได้รางวัลด้วย)
สัมภาษณ์คน
แสดงบนเวที
วาดภาพ (อันนี้ก็ทำไปแล้วเหมือนกัน)
เตะบอล
ฯลฯ

แล้วถ้าวันหนึ่ง AI ทำสิ่งเหล่านี้ได้ บทบาทของมนุษย์เดินดินอย่างเราๆ คืออะไร?

Yuval Noah Harrari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens และ Homo Deus กล่าวไว้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ (หลักสิบปี) จะเกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมา

เขาเรียกชนชั้นนี้ว่า ชนชั้นไร้ประโยชน์ – The Useless Class

คนชนชั้นนี้ ไม่อาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสังคม เพราะทักษะและความรู้ที่เขามีเป็นสิ่งที่ AI ทำแทนได้ทั้งหมด

ไม่ได้มาเขียนให้รู้สึกเสียกำลังใจ เพราะเราทุกคนก็อยู่บนเรือลำเดียวกัน

ถ้าไม่อยากเป็นชนชั้นไร้ประโยชน์ วิธีที่น่าจะลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด คือหมั่นเรียนรู้ (learn) ไม่ยึดติดความรู้เก่าๆ (unlearn) และพร้อมที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ (reinvent yourself) เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนครับ


หาซื้อหนังสือ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 ได้ที่ Zombie Books RCAร้านหนังสือเดินทาง ถ.พระสุเมรุ, ซีเอ็ด นายอินทร์ B2S ศูนย์หนังสือจุฬา คิโนะคุนิยะ เอเชียบุ๊คส์  และร้านหนังสือทั่วไปครับ

สรรหาไอเดียใหม่ๆ ด้วย List of 100

20180527_listof100

เมื่อตอนที่แล้ว ผมเขียนว่าหากอยากมีไอเดียดีๆ ต้องยอมมีไอเดียแย่ๆ เยอะๆ ก่อน

แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีไอเดียเยอะๆ?

ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับ List of 100 ครับ

ผมรู้จักลิสต์นี้มาร่วมสิบปีแล้ว จากเว็บเก่าแก่เว็บหนึ่งที่ผมชอบมากคือ litemind.com

ใครภาษาอังกฤษแข็งแรง แนะนำให้ไปอ่านต้นฉบับที่นี่ได้เลยครับ >> Tackle Any Issue With a List of 100 

หลักการของ List of 100 นั้นง่ายมาก คือตั้งโจทย์ 1 ขึ้นมาหนึ่งข้อ แล้วลิสต์คำตอบขึ้นมา 100 คำตอบที่จะช่วยให้เราตอบโจทย์นั้นได้

โดยกฎคร่าวๆ ก็มีดังนี้

  • ใช้กระดาษเปล่า 1-2 แผ่น
  • ใช้ดินสอ/ปากกาสำหรับเขียน
  • นั่งทำให้เสร็จภายในคราวเดียว
  • ไม่ว่อกแว่กกับเรื่องอื่น
  • ไม่เซ็นเซอร์ไอเดียตัวเอง

นี่คือตัวอย่างโจทย์ที่เราอาจตั้งให้ตัวเองได้

  • 100 Things I’m Good At – 100 เรื่องที่เราเก่ง
  • 100 Ways To Improve My Life – 100 วิธีที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น
  • 100 Things I’ve Accomplished In My Life – 100 เรื่องที่เราทำสำเร็จมาแล้ว
  • 100 Things I’m Feeling Stressed About – 100 เรื่องที่ทำให้เรากังวล
  • 100 Things To Do Before I Die – 100 สิ่งที่อยากทำก่อนตาย
  • 100 Ideas for Additional Income – 100 วิธีหารายได้เสริม

คำถามที่ผู้อ่านคงมีอยู่ในใจตอนนี้ คือเราจะหาไอเดียมาได้ถึง 100 ไอเดียเชียวหรือ

คำตอบคือทำได้ครับ แต่ต้องอาศัยความอดทนนิดนึง เพราะของดีจะมาตอนท้าย

Luciano เจ้าของ litemind.com บอกว่า

30 ไอเดียแรกเราจะได้มาไม่ยากนัก

40 ไอเดียต่อมาจะเริ่มซ้ำๆ หรือคล้ายของเดิมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะมันช่วยให้เราเห็นแพทเทิร์นการคิดของตัวเอง

30 ไอเดียสุดท้ายมักจะมีไอเดียที่มีความแปลกแหวกแนวหลุดเข้ามา และบางไอเดียอาจจะเข้าท่าเอามากๆ เพราะว่าเรา “ขุด” จนไปพบอะไรบางอย่างภายใต้จิตสำนึกของเรา

อย่างที่บอกไปตอนต้น ตอนที่ลิสต์ไอเดียเราไม่ต้องห่วงว่าไอเดียมันจะดีหรือแย่ เพราะเป้าหมายของเราคือมีไอเดียให้มากไว้ก่อน

ยิ่งเรามีไอเดียแย่ๆ มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีไอเดียดีๆ มากขึ้นเท่านั้น

สมมติ 10 ไอเดีย มีดีซัก 1 ไอเดีย

ถ้าเรามีไอเดีย 100 ไอเดีย อย่างน้อยก็น่าจะมีซัก 10 ไอเดียที่ใช้ได้ และอาจจะมี 1 ไอเดียที่เจ๋งสุดๆ ก็ได้

เมื่อช่วงบ่ายผมเองก็ลองได้นั่งลงเขียน “100 หัวข้อสำหรับบทความใน Anontawong’s Musings” เพราะตอนนี้เป็นบล็อกเกอร์ที่ใช้ชีวิตวันต่อวันมาก มานั่งหน้าคอมโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้จะเขียนเรื่องอะไร (จริงๆ ก็เป็นมานานแล้ว)

แต่พอลองลิสต์ไอเดียมาได้ซัก 100 ไอเดีย ก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่ามีเรื่องเขียนแน่ๆ อย่างน้อยก็อีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้

เทคนิค List of 100 นี้มีประโยชน์และนำไปใช้ได้กับหลายสถานการณ์ ลองเล่นดูแล้วคุณอาจจะติดใจนะครับ


หาซื้อหนังสือ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 ได้ที่ Zombie Books RCAร้านหนังสือเดินทาง ถ.พระสุเมรุ, ซีเอ็ด นายอินทร์ B2S ศูนย์หนังสือจุฬา คิโนะคุนิยะ เอเชียบุ๊คส์  และร้านหนังสือทั่วไปครับ