ทางเดียวที่เหลือ

20180304_onlyway

บางช่วงเวลาของชีวิต ปัญหาก็กระหน่ำลงมาเหมือนห่าฝน

กายเปียกปอน มองไม่เห็นทาง ใจก็มีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าจะไหวมั้ย? จะไหวมั้ย? จะไหวมั้ย?

แม้จะอยากหันหลังและวิ่งหนีไปให้ไกล แต่สุดท้ายเราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้

ไม่ใช่เพราะว่าอยากเอาชนะคะคาน หรืออยากพิสูจน์ตัวเองให้โลกเห็น แต่เพราะมีคนที่ต้องดูแลและมีหน้าที่ที่ต้องทำ

เมื่อสถานการณ์บีบคั้น และเรารู้ว่าอะไรสำคัญ ทางเดียวที่เหลือคือกัดฟันสู้ต่อไปครับ

—–

ขอบคุณไอเดียบทความนี้จากภรรยา

นิทานลูกไก่มองบน

20180302_chick

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ขณะที่ชาวไร่คนหนึ่งกำลังเดินผ่านบริเวณตีนเขา ก็ได้พบ “ไข่ของนกอินทรี” ฟองหนึ่งตกลงมาจากรังซึ่งอยู่ริมหน้าผา

เมื่อเห็นว่าไข่ฟองนั้นยังไม่แตก เขาจึงเก็บไข่ใบนั้นกลับไปที่ไร่ แล้วนำไปให้แม่ไก่ตัวหนึ่งที่กำลังกกไข่ของมันลองฟักดู

ในไม่ช้า แม่ไก่ก็ฟักลูกนกอินทรีออกมาจากไข่ พร้อมๆ กับลูกไก่ตัวอื่นๆ ของมัน

ลูกนกอินทรีตัวนั้นจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกลูกไก่ มันเดินตามแม่ไก่ และพยายามส่งเสียงร้องให้เหมือนลูกไก่ แต่มันก็ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย มันเดินช้างุ่มง่าม เพราะตัวของมันอ้วนใหญ่ เสียงของมันก็แหบห้าว ไม่ไพเราะเหมือนพี่น้อง

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ลูกนกอินทรีและพี่น้องไก่กำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารอยู่นั้น แม่ไก่ก็ส่งเสียงร้องเตือนให้พวกลูกๆ รีบเข้ามาซุกปีกของมันเพื่อหลบหนีจากภัยร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันจึงเห็นนกตัวใหญ่กำลังบินถลาร่อนอยู่บนเวหาสีครามอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด

“แม่จ๋า… นั่นตัวอะไรจ๊ะแม่ ดูช่างสง่างาม และน่าเกรงขามจังเลย”

“ลูกเอ๋ย… นั่นคือ เจ้าแห่งเวหา หรือพญาอินทรีไงล่ะ เจ้าอย่าได้แสดงตัวออกไปท้าทายเด็ดขาด เพราะนอกจากท่านจะสง่างามแล้ว ท่านยังมีกรงเล็บและจะงอยปากอันแหลมคมที่สามารถฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย”

พอมันเริ่มโตขึ้น เหล่าพี่น้องของมันก็ล้วนแล้วแต่มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งนัก ผิดกับเจ้านกอินทรี ที่ยังคงแลดูอ้วนและอุ้ยอ้ายเช่นเดิม สร้างความขบขันให้กับบรรดาไก่ทั้งหลาย

มันจึงนึกในใจว่า “ฉันช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ทั้งๆ ที่มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าไก่ตัวอื่นๆ ใหญ่จนน่าจะเท่ากับพญาอินทรีอยู่แล้ว แต่ฉันกลับไร้ค่ายิ่งนักเมื่อเปรียบกับเจ้าเวหาผู้ครอบครอบแผ่นฟ้า นี่ถ้าฉันได้เป็นพญาอินทรีจริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อย บรรดาไก่ทั้งหลายจะได้ไม่หัวเราะเยาะฉันเหมือนเช่นทุกวันนี้”

ในที่สุด นกอินทรีตัวนั้นก็ใช้ชีวิตต่อไปดั่งเช่นไก่อัปลักษณ์ตัวหนึ่ง เติบโตแบบไก่ แก่ลงแบบไก่ และตายไปแบบไก่

ก่อนสิ้นลม มันได้อธิษฐานว่า “เกิดชาติหน้าอีกครั้ง ขอให้ฉันได้เกิดเป็นนกอินทรีเถิด”

—–

ขอบคุณนิทานจากเพจน้าอ้วนบ้านเกษตรพอเพียง: นิทานก่อนนอน หัวใจนกอินทรี

มันแย่กว่านี้ได้อีกเยอะ

20180301_couldbeworse

Sheryl Sandberg มีชีวิตที่หลายคนอิจฉา

เธอเป็นผู้เขียนหนังสือ Lean In ที่เชียร์ให้ผู้หญิง “กล้าทีี่จะสำเร็จ” ซึ่งกลายเป็นหนังสือ bestseller ขายดีไปทั่วโลก

เธอเคยเป็น VP ของ online sales ที่ Google ก่อนจะโดนมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเทียวไล้เทียวขื่อให้มาเป็น COO ที่ Facebook

เธอมีลูกวัยกำลังน่ารักสองคน และมีสามีชื่อ Dave Goldberg ซึ่งเป็น CEO ของ Survey Monkey ระบบ online survey ที่ดังที่สุดในโลก

ชีวิตของเชอริลดูเพียบพร้อมไปทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2015 ขณะที่เธอและเดฟไปพักผ่อนด้วยกันที่รีสอร์ท เดฟที่ลงมาออกกำลังกายในฟิตเนสก็ตกลู่วิ่งไฟฟ้าหัวฟาดพื้น เสียเลือดมาก ก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

(ผลการชันสูตรในภายหลังพบว่าเดฟไม่ได้เสียชีวิตจากการเสียเลือด แต่เดฟเกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นปกติฉับพลันระหว่างที่วิ่งอยู่จึงทำให้หมดสติ)

ในห้วงเวลาแห่งความหดหู่ อดัม กรานท์ (Adam Grant) ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ นักเขียนชื่อดัง และเป็นเพื่อนกับทั้งเชอริลและเดฟก็พยายามจะคอยให้กำลังใจเธออยู่เรื่อยๆ

วันหนึ่งอดัมได้บอกกับเชอริลว่า “ลองคิดดูสิว่าเรื่องมันอาจจะเลวร้ายกว่านี้ได้อีกนะ” (You should think about how things could be worse)

เชอริลคิดในใจว่าจะให้เรื่องมันเลวร้ายกว่านี้ได้ยังไง เธอเพิ่งจะสูญเสียสามีไปหยกๆ นะ

อดัมบอกต่อว่า “ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเดฟเกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะระหว่างที่เขาขับรถไปส่งลูกๆ”

เพียงได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ทำให้เชอริลรู้สึกดีขึ้นได้ เพราะแม้เธอจะเสียใจกับการสูญเสียสามีสักแค่ไหน ก็คงเทียบไม่ได้กับการต้องสูญเสียทั้งสามีและลูกไปพร้อมๆ กัน อย่างน้อยที่สุดลูกสองคนของเธอก็ยังมีชีวิตอยู่

คนเรามักนึกว่าเวลาพยายามจะลุกขึ้นมายืนใหม่ เราต้องพยายามคิดถึงแต่เรื่องดีๆ แต่จริงๆ แล้วขอแค่เรามองเห็นคุณค่า (find gratitude) ของสิ่งที่เรามีเหลืออยู่ก็ช่วยได้มากแล้ว

เวลาที่ต้องเจอกับเรื่องราวร้ายๆ ขอแค่เพียงคิดให้ได้ว่า “มันแย่กว่านี้ได้อีกเยอะ” ก็น่าจะพอฉุดเราออกจากห้วงอารมณ์แห่งความหดหู่ได้นะครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก On Being with Krista Tippett: Shery Sandberg and Adam Grant – Resilience After Unimaginable Loss