นิทานไม่มีใครฟังหนู

20180316_mousetrap

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

หนูน้อยตัวหนึ่งมองผ่านรูฝาผนังบ้านเห็นภรรยาของชาวนากำลังตั้งกับดักหนู

เจ้าหนูน้อยกระโจนออกไปกลางลาน พร้อมตะโกนด้วยความตกอกตกใจกลัวภัยอันตรายที่เข้ามาใกล้ตัว

“กับดักหนูอยู่ในบ้าน กับดักหนูอยู่ในบ้าน!!”

แม่ไก่ได้ยินเข้า ก็มองหนูอย่างเย้ยหยันพร้อมยักไหล่อย่างไม่แยแส

“เจ้าหนูน้อย ข้าได้ยินแล้วว่าภัยใกล้ตัวเจ้า แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่ธุระของข้า” ว่าแล้วแม่ไก่ก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารต่อไป

เจ้าหนูน้อยวิ่งหน้าตั้งไปยังหมูซึ่งกำลังนอนกลิ้งโคลนอย่างเมามัน

“หมู หมู นายรู้หรือเปล่า มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน”

หมูได้ยินพยักหน้ารับ พร้อมบอกว่า

“เจ้าหนูน้อย ข้ารู้สึกสงสารเจ้าจริงๆ แต่ข้าไม่สามารถจะช่วยอะไรเจ้าได้หรอก นอกจากจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าปลอดภัยเท่านั้น ข้าจะสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าทุก ๆ ครั้งก่อนนอนแล้วกัน”

เจ้าหนูวิ่งโร่ไปหาวัวซึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างบ้าน

“นาย นาย มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน”

วัวหันมายิ้มกับหนูน้อย พร้อมพูดว่า

“จริงเหรอ? น่ากลัวสำหรับเจ้านะ แต่ขอโทษทีเถอะ กับดักเล็กๆ แค่นั้นมันไม่ได้สะเทือนข้าแม้แต่น้อย”

ด้วยความหมดหวัง เจ้าหนูน้อยเดินคอตกกลับไปเผชิญชะตากรรมที่บ้านอย่างโดดเดี่ยว

คืนนั้นหลังมืดสนิท กับดักหนูงับเสียงดังสนั่น ภรรยาชาวนารีบลงมาดูหวังจับหนูได้ แต่ในความมืดเธอมองไม่เห็นว่ากับดักหนูงับติดหางงูเห่าตัวใหญ่อยู่ ภรรยาโดนงูกัดเข้าที่แขน ชาวนาต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล และกลับมารักษาตัวที่บ้าน

ภรรยาบ่นอยากทานซุปไก่ ชาวจึงฆ่าไก่มาต้มซุปให้ภรรยา แต่วันต่อมาอาการป่วยของเธอก็ยังไม่ดีขึ้น

เพื่อนฝูงเกือบทั้งหมู่บ้านมาเยี่ยมเฝ้าไข้กันเนื่องแน่น ชาวนาจึงฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆ

สามวันผ่านไป ภรรยาอาการทรุดลงและเสียชีวิตในที่สุด

ในงานศพมีแขกมาร่วมแสดงความเสียใจมากมาย ชาวนาจึงเชือดวัวเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขก

เจ้าหนูตัวน้อยเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านรูฝาผนังด้วยใจอันปวดร้าวยิ่งนัก

—–

ขอบคุณนิทานจาก Cryptonian คนบ้าเหรียญดิจิตัล: [นิทานสอนใจ] : กับดักหนู

บางทีคำตอบอาจอยู่อีกฝั่งนึง

20180315_theotherside

คนเราอาจแบ่งแบบหยาบๆ ออกได้เป็น 2 ฝั่ง

คนที่ชอบ iPhone กับคนที่ชอบ Android

คนที่ได้พลังจากการคนอยู่คนเดียว (introvert) กับคนที่ได้พลังจากการอยู่กับคนเยอะๆ (extrovert)

คนที่ชอบเสี่ยง กับคนที่ระมัดระวัง

คนที่ชอบเล่นเวท กับคนที่ชอบวิ่ง

คนที่เป็นผู้ประกอบการ กับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน

คนที่ใช้ตรรกะนำทาง กับคนที่ใช้ความรู้สึกนำทาง

คนที่ชอบวางแผน กับคนที่ชอบลุยไปก่อน

คนที่คิดเป็นภาพ กับคนที่คิดเป็นคำ

คนที่ชอบความท้าทาย กับคนที่ชอบสบายๆ

คนที่ชอบพูด กับคนที่ชอบฟัง

ถ้าชีวิตเรามีอะไรบางอย่างไม่ลงตัว เป็นไปได้ว่าเราอาจอยู่ผิดฝั่ง

ลองเพิ่มความเป็นไปได้ด้วยการลองไปใช้ชีวิตอีกฝั่งนึงดูนะครับ

จงขอความช่วยเหลือ

20180314_askforhelp

แต่อย่ารอความช่วยเหลือ

เราทุกคนล้วนมีความฝันหรือโปรเจ็คใหญ่ๆ ที่อยากจะทำมานาน

แต่เราก็มี “เหตุผล” ให้ตัวเองมากมายว่าทำไมเราถึงยังทำไม่ได้ เช่นไม่มีเงิน / ไม่มีความรู้ / ไม่มีเวลา / ไม่มีคอนเน็คชั่น / ไม่มี ฯลฯ

พอเริ่มต้นด้วยคำว่า “ไม่” ก็เลยไม่รู้จะไปต่อยังไง

แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่เอาเหตุผลเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างให้ไม่ต้องลงมือทำ

ไม่มีเงิน ก็เริ่มแบบเล็กๆ ไปก่อน ไม่มีความรู้ก็หาหนังสือมาอ่าน ไม่มีเวลาก็จัดสรรเวลา ไม่มีคอนเน็คชั่นก็เริ่มหาคอนเน็คชั่น

ที่สำคัญ คนเหล่านี้ไม่รีรอที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใครก็ตามที่น่าจะช่วยเหลือเขาได้

แต่ขอเสร็จแล้วก็ไม่ใช่นั่งรอเฉยๆ ด้วยความหวัง เพราะขอ 10 คนอาจจะมีคนช่วยแค่คนเดียวเท่านั้น

แต่ยังไงก็ยังดีกว่าไม่ได้ขอและไม่มีใครช่วยเลย

ประเด็นคือเขามีความถ่อมตัวพอที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจจนสามารถสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็เข้าใจโลกพอที่จะไม่ปล่อยให้ผลลัพธ์เป็นเรื่องโชคชะตา

“When you pray, move your feet.”
-African proverb

ขอความช่วยเหลือได้ แต่อย่ารอความช่วยเหลือ

เท่านี้ ชีวิตก็อาจเดินไปข้างหน้าได้เร็วกว่าที่เคยครับ

—–

ขอบคุณประกายความคิดจาก Derek Sivers: What it means to be resourceful

ป.ล. ผมจะไปแจกลายเซ็นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาตินะครับ รอติดตามรายละเอียดได้ในบทความต่อๆ ไปครับ 🙂

โรคกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเราเก่ง

20180313_iamgood

ซึ่งอาการของโรคนี้สามารถแสดงออกมาได้หลายแบบ

ถ้าอยู่ในห้องสอบ ก็จะทำข้อสอบให้เสร็จไวๆ จะได้เดินออกจากห้องเป็นคนแรก

ถ้าเตะบอล ก็จะเลี้ยงหลบคู่ต่อสู้แทนที่จะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีม

ถ้าอยู่ที่ฟิตเนส ก็จะร้องเสียงดังตอนออกแรงยกเวทและปล่อยเวทลงมาดังโครม

ถ้าเป็นคนพรีเซนต์ ก็จะยัดอะไรลงมาในสไลด์เต็มไปหมด

ถ้าเป็นคนฟังพรีเซนต์ ก็จะถามคำถามยากๆ ที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้ฟังคนอื่นๆ

เป็นเรื่องปกติที่เราอยากเป็นคนสำคัญ แต่การทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเก่งนั้นมีหลายวิธี

ทำตัวเองให้โดดเด่นก็เป็นวิธีหนึ่ง ส่วนการรอให้ผลงานของเราโฆษณาตัวเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง

วิธีหลังนั้นช้ากว่า แต่ก็เท่กว่ากันเยอะนะครับ

เทคนิคแบนนิสเตอร์

20180312_bannister

นับตั้งแต่กีฬาวิ่งแข่งถือกำเนิดขึ้นมา ทุกคนต่างก็เชื่อกันว่ามี “กำแพง” ที่ร่างกายมนุษย์ไม่อาจก้าวข้ามได้ นั่นคือการวิ่ง 1 ไมล์ภายใน 4 นาที

(1 ไมล์ เท่ากับ 1.6 กิโลเมตร หรือ 4 รอบสนามฟุตบอล วิ่ง 1 ไมล์ภายใน 4 นาทีแสดงว่าต้องวิ่งที่เพซ 2’30)

กำแพงนี้ตั้งตระหง่านอยู่หลายทศวรรษ จนกระทั่งปี 1954 ที่ชายชาวอังกฤษนาม Roger Bannister สามารถทำลายกำแพงที่ว่านี้ได้โดยทำเวลา 3.59.4 นาที

ประเด็นก็คือตอนที่แบนนิสเตอร์วางแผนจะวิ่งนั้น เขาไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะ “วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” (run as fast as possible)

เป้าหมายของเขาคือการวิ่ง 1 ไมล์ภายในเวลา 3 นาที 59 วินาที

เมื่อเป้านิ่งแล้ว เขาก็วิเคราะห์การวิ่งของเขาแบบก้าวต่อก้าว และรู้ว่าแต่ละก้าวต้องใช้เวลาไม่เกินเท่าไหร่ ตอนซ้อมแบนนิสเตอร์ยังซอยระยะทาง 1 ไมล์ออกมาเป็นระยะทางที่สั้นพอที่จะให้เพื่อนสองคนผลัดกันจับเวลา

วิธีของแบนนิสเตอร์นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน และมันก็ดีพอที่จะทำให้แบนนิสเตอร์กลายเป็นมนุษย์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่วิ่ง 1 ไมล์ภายในสี่นาที

เป้าหมายที่ดูไกลเกินฝัน หากเรานำมันมาซอย-มาย่อยเหมือนที่แบนนิสเตอร์เคยทำ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Seth Godin: The Bannister Method