Perfectionism คือความกลัว

20171010_perfectionism

Elizabeth Gilbert เขียนไว้ในหนังสือ Big Magic ว่า หนึ่งในนิสัยที่มักจะเป็นตัวฉุดรั้งความก้าวหน้าของผู้หญิงคือความเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสท์ หรือคนที่อยากทำอะไรออกมาให้มันสมบูรณ์แบบ

แต่ความสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง ความเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสท์จึงมักจะทำให้เราทำอะไรไม่เสร็จซักอย่าง หรือที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือมันจะทำให้เราไม่ได้เริ่มทำอะไรซักอย่างเพราะเราเชื่อว่าถึงทำไปมันก็จะไม่มีทางดีพอกับสิ่งที่เราคาดหวัง

ความซับซ้อนของ perfectionism ก็คือมันมักประกาศตัวว่าเป็น “ข้อดี” อย่างหนึ่ง เวลาที่ใครบอกว่าตัวเองเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสท์ก็มักจะพูดออกมาด้วยความแอบภูมิใจว่าฉันเป็นคนมาตรฐานสูงนะ

แต่กิลเบิร์ตเห็นต่าง

“I think perfectionism is just fear in fancy shoes and a mink coat, pretending to be elegant when actually it’s just terrified. Because underneath that shiny veneer, perfectionism is nothing more than a deep existential angst that says, again and again, “I am not good enough and I will never be good enough.”

“ฉันคิดว่า perfectionism เป็นเพียงความกลัวที่ใส่เสื้อขนสัตว์และรองเท้าส้นสูง ดูเหมือนจะเฉิดฉายเจิดจรัสทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันกำลังหวาดกลัวต่างหาก ภายใต้เปลือกอันสวยงามนั้น perfectionism เป็นเพียงความวิตกกังวลที่คอยตอกย้ำว่า ฉันดีไม่พอ และฉันจะไม่มีวันดีพอ”

เพราะฉะนั้น เลิกมองความเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสท์ว่าเป็นข้อดีได้แล้ว

ถอดรองเท้าส้นสูงและเสื้อขนสัตว์ออก แล้วลุยไปเลย

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Makers: Author Elizabeth Gilbert On Avoiding the Perfectionism Trap

ฉลอง Anontawong’s Musings ครบ 1,000 ตอน – สั่งซื้อหนังสือ Thank God It’s Monday ราคาเพียง 180 บาทเท่านั้น (รวมค่าส่ง) – ผมเหลือหนังสือแค่ 17 เล่มแล้วครับ – bit.ly/tgimorder

สิ่งที่อยากบอกหลังเขียนบล็อกครบ 1,000 ตอน

20171008_1000blogposts

เมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 7 ตุลาคมปี 2560) ผมเขียนบทความลง Anontawong’s Musings ครบ 1,000 ตอนครับ

เลยอยากเฉลิมฉลองด้วยการแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเขียนบล็อกอย่างจริงจังมา 2 ปีกับอีก 9 เดือนนิดๆ ครับ

จะเขียนบล็อกไปทำไม
หนึ่ง – มันเป็นสมุดบันทึกเรื่องราวและความคิดที่วันหนึ่งเราจะอยากกลับมาอ่านอีก
สอง – มันช่วยให้เราแบ่งปันความคิดที่เรามีให้เพื่อนๆ หรือคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน
สาม- มันเป็นการสร้าง “เรซูเม่ออนไลน์” ที่ทรงพลังที่สุดวิธีหนึ่ง

จะเริ่มยังไง?
วิธีที่ง่ายที่สุดเลยคือเข้าไปที่ wordpress.com แล้วสมัครสมาชิก เลือกธีม (ดีไซน์) ที่ชอบ จากนั้นก็เขียนได้เลย ถ้าเขียนได้ซักพักแล้วอยากจะมีโดเมนเป็นของตัวเอง ก็ค่อยศึกษาในลิงค์นี้ครับ

จะตั้งชื่อบล็อกว่าอะไรดี?
ตอนแรกผมก็คิดชื่อบล็อกไปต่างๆ นานาเหมือนกัน แต่ชื่อที่ชอบก็มีคนเอาไปหมดแล้ว สุดท้ายเลยมาตายรังที่ชื่อตัวเอง

การตั้งเป้าหมาย
ผมขอแนะนำว่าอย่าไปตั้งเป้าหมายในเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เช่นจะต้องมีคนอ่านเท่านั้นหรือต้องมีคนแชร์เท่านี้ เพราะมันจะทำให้เรากดดันตัวเองเปล่าๆ

เป้าหมายของผมตอนที่เริ่มเขียนบล็อกอย่างจริงจังในวันที่ 2 มกราคม 2558 คือ “เขียนให้ได้วันละตอน สามวันติดต่อกัน” พอทำได้ก็ค่อยขยับเป็น 7 วัน…1 เดือน…3 เดือน แล้วค่อยตั้งเป้าหมายว่าจะเขียนทุกวัน

ส่วนคนอื่นๆ อาจจะเขียนสัปดาห์ละตอนหรือเดือนละตอนก็ได้ ไม่มีผิดหรือถูก สำหรับผม การเขียนบล็อกทุกวันมันง่ายกว่าการเขียนบล็อกสัปดาห์ละครั้ง เพราะถ้าเราบอกว่าเราจะทำมันทุกวัน เราก็จะไม่เหลือข้ออ้างที่วันนี้จะไม่เขียน ขณะที่ถ้าเป้าของเราคือสัปดาห์ละครั้งเรายังมีโอกาสผัดผ่อนไปได้อีกตั้ง 6 วันแน่ะ

จะเผยแพร่อย่างไร?
เปิดเพจเลยครับ จากนั้นก็เชิญเพื่อนๆ ให้มาไลค์เพจเรา พอเขียนบทความในบล็อกเสร็จก็แชร์ลงเพจนี้ แล้วเราก็แชร์บทความจากเพจมาไว้ในโปรไฟล์เราอีกทีให้เพื่อนๆ ได้เห็นได้อ่านกัน

ความกลัวที่ทำให้คนไม่กล้าเขียนบล็อก
กลัวว่าเขียนห่วย – งั้นก็เขียนโดยไม่ต้องแชร์ก็ได้นะครับ ไม่มีใครมาเห็นหรอก

กลัวโดนวิจารณ์ – แน่นอนว่าไม่มีใครอยากโดนวิจารณ์ ดังนั้นคุณใช้นามแฝงก็ได้ ทีนี้เค้าก็จะไม่รู้แล้วว่าคุณเป็นใครมาจากไหน

กลัวว่าเขียนแล้วจะไม่มีคนอ่าน – ก็ดีสิครับ จะได้ไม่ต้องกลัวใครมาวิจารณ์ ช่วงแรกๆ ที่ไม่ค่อยมีคนอ่านนี่แหละคือโอกาสทองในการลองผิดลองถูกและฝึกฝนเพื่อเพิ่มความมั่นใจไปเรื่อยๆ

วิธีหาเรื่องมาเขียนบล็อก
เข้าเว็บเนื้อหาดีๆ – เว็บ/แอป ที่ผมเข้าบ่อยๆ ก็คือ Quora, Medium และ TED ครับ

ถ้าภาษาอังกฤษเราไม่แข็งแรงล่ะ? ยิ่งควรต้องอ่านเลยครับ จะได้แข็งแรงขึ้นซักที

อ่านหนังสือดีๆ – ผมบอกตัวเองว่าจะอ่านหนังสือวันละ 5 หน้า ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะได้เรื่องดีๆ มาเล่าต่อ (แต่ถ้าเป็นนิยายก็อาจไม่ช่วยเท่าไหร่นะ)

เอาคำคมมาเป็นตัวจุดประกาย – ผมจะเข้าเว็บพวก Pinterest, AZ Quotes หรือ Goalcast เมื่อได้คำคมที่ตรงใจ เราก็จะคิดได้เองว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี

เอาเรื่องที่พูดคุยกับแฟน/เพื่อน มาเล่าต่อ – เรื่องอย่างกุ้งแป๊บเดียวก็เกิดขึ้นตอนนั่งทำสุกี้กินที่บ้าน ส่วนเรื่องม้าตีนต้น-ม้าตีนปลาย ก็ได้ไอเดียตอนนั่งอยู่ในรถกับแฟน สำคัญคือถ้าคิดประเด็นอะไรออกให้รีบจดเอาไว้กันลืมครับ

ไปเอานิทานมาจากไหน?
ถ้าใครติดตามบล็อกผมมาซักพักอาจจะรู้จัก “นิทาน” ที่ผมจะเอามาเล่าทุกวันศุกร์ มีคนถามกันเยอะว่าไปเอามาจากไหน คำตอบก็คือเอามาจากในเน็ตและเว็บที่ผมกล่าวถึงนั่นแหละครับ เพียงแต่ต้องออกแรงเยอะหน่อย อ่าน 20 เรื่อง อาจจะมีเรื่องที่พอใช้ได้แค่เรื่องเดียวเท่านั้น

หารูปประกอบจากที่ไหน?
เว็บที่ผมใช้บ่อยที่สุดคือ Pixabay, Pexels และ Unsplash ครับ เราสามารถเอามาใช้ได้โดยไม่ผิดลิขสิทธิ์ แต่ถ้าอยากให้ชัวร์สุดก็ใช้รูปที่เราถ่ายเองก็ได้ เช่นรูปประกอบบทความนี้เป็นต้น

ควรเขียนเรื่องที่อยู่ในกระแสมั้ย?
ส่วนตัวผมไม่ค่อยตามข่าวเท่าไหร่อยู่แล้ว เรื่องส่วนใหญ่ที่ผมเขียนจึงไม่ได้อยู่ในกระแส ข้อเสียคือโอกาสที่คนจะกดแชร์อาจจะน้อยกว่าเรื่องที่กำลังอินเทรนด์ แต่ข้อดีคือสิ่งที่เราเขียนจะไม่มีวันหมดอายุ

พอตัน คิดไม่ออกแล้วทำยังไง?
ก็ดิ้นรนครับ ผมเองก็ตันอยู่บ่อยๆ วิธีแก้คือบ่นให้แฟนฟัง จากนั้นก็เปิดหนังสือเล่มนู้นเล่มนี้ เข้าเว็บที่กล่าวถึงไปข้างต้น สุดท้ายมันต้องเจออะไรบ้างล่ะ

6 เดือนแรกคือช่วงวัดใจ
เพราะมันคือช่วงที่เพจไลค์มีแค่หลักร้อย จำนวนคนที่จะเห็นบทความของเราจึงน้อยมาก คนส่วนใหญ่จะเห็นจากโพสต์ที่เราแชร์ลงหน้าโปรไฟล์ของตัวเองมากกว่า ช่วงนี้อย่าไปคิดมากเรื่องยอดไลค์หรือยอดแชร์เลยครับ แค่มีคนกดแชร์ซัก 5-10 คนก็แสดงว่าบทความเรามีดีพอให้คนไม่อายที่จะบอกต่อแล้ว

มันจะมีจุดพลิกผัน
ช่วง 7 เดือนแรกของการเขียนบล็อก 95% ของบทความมีคนแชร์แค่หลักสิบ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม บล็อกสามตอนของผมก็ฮิตขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

3 สิงหาคม 2558: 10 สิ่งอำนวยความสะดวกของคนไทยที่ฝรั่งไม่มี (2,500 Shares)

9 สิงหาคม 2558: ความเคารพ (74,000 shares)

10 สิงหาคม 2558: วิธีการจัดบ้านแบบ KonMari (46,000 shares)

ยอดเพจไลค์ผมเพิ่มขึ้นมาประมาณพันกว่า แถมยังมีคนเชิญไปออกทีวีเรื่องการจัดบ้านด้วย ทั้งๆ ที่ทักษะการจัดบ้านผมต่ำที่สุดในครอบครัวแล้ว

เขียนลงบล็อกหรือเขียนลงเพจดี?
การเขียนลงเพจมีข้อดีคือคนจะเห็นเยอะกว่า เพราะกลไกของเฟซบุ๊คย่อมอยากโปรโมตเนื้อหาที่อยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเองมากกว่าเนื้อหาที่แชร์มาจากเว็บอื่นอยู่แล้ว แต่โดยส่วนตัวผมชอบเขียนลงบล็อกแล้วมาแชร์ลงเพจมากกว่า เพราะว่าบล็อกมันเป็นอะไรที่คงทนถาวรดี เขียนไปแล้วสามเดือนก็ยังค้นเจอได้ง่ายทั้งทาง Google และในหน้า Archive

อีกข้อดีอย่างหนึ่งของการเขียนลงเพจคือยอดคนติดตามเพจจะโตเร็วกว่า เพราะคนจะแชร์บทความจากเพจเราเลย ทำให้คนที่เห็นรู้ว่าบทความนี้มาจากเพจไหน แต่ถ้าเราเขียนลงบล็อก คนจะแชร์บทความจากบล็อกเราแทน คนที่ผ่านมาเห็นจะไม่รู้ว่าบล็อกนี้เป็นของเพจอะไร

ช่วงสองปีแรกผมโพสต์ลงบล็อกตลอด ยอดเพจไลค์เลยไม่ค่อยขึ้น แต่ช่วงหลังๆ ผมเริ่มนำเนื้อหามาใส่ไว้ในเพจด้วย เพราะได้รับคำแนะนำมาว่าก่อนหนังสือจะออกควรจะมียอดไลค์เพจซัก 30,000 (ตอนนั้นมีแค่ 13,000) แต่ถึงแม้จะทำอย่างนั้นแล้วยอดเพจไลค์ก็ไม่ค่อยขึ้นอยู่ดี (ตอนนี้อยู่ที่ 17,000)

ยอดไลค์ไม่สำคัญเท่าความผูกพัน
แม้ยอดไลค์เพจของผมจะน้อย แต่ engagement ของเพจ Anontawong’s Musings กลับสูงพอๆ กับเพจที่มียอดไลค์มากกว่าผมหลายเท่า ดังนั้น ผมเลยเลิกซีเรียสเรื่องยอดไลค์เพจมาซักพักแล้ว กลับมาสนใจสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการเขียนดีกว่า

ระวังจะโดนเข้าใจผิด
ผมเคยโดนน้องที่ทำงานเก่าเข้าใจว่าผมไปเขียนตำหนิเขาในบทความหนึ่ง ซึ่งพอกลับไปอ่านก็พอเข้าใจว่าทำไมเขาจึงคิดอย่างนั้น ยิ่งเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานด้วยจึงเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะสงสัยผมได้ จากนั้นมาเวลาจะเขียนบล็อกผมเลยต้องระวังด้วยว่ามันจะไปทำให้คนรอบข้างเราไม่สบายใจรึเปล่า

คนก๊อปไปใช้ไม่ให้เครดิต
อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเวลาคนก๊อปไปส่งต่อทางไลน์ ไม่รู้เพราะความขี้เกียจหรือไม่เห็นความสำคัญในการให้เครดิตเจ้าของเรื่อง

ที่หนักกว่าคือแอบอ้างว่าเขาเขียนขึ้นเอง เรื่องอย่างนี้เราทำได้เพียงทักท้วงไป ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะยอมแก้ไขหรือยอมขอโทษครับ แต่ถ้าเราทำใจไว้ว่า สิ่งที่เราปล่อยออกไปบนโลกอินเตอร์เน็ตถือเป็นสมบัติสาธารณะแล้ว เราก็จะไม่ทุกข์ใจมากนัก

การหารายได้จากการลงโฆษณาในบล็อก
ผมเคยลองติดตั้ง Word Ads ลงในบล็อกของผม ทำให้ท้ายบทความของผมทุกบทมีวีดีโอโฆษณา แต่ทำได้อยู่ประมาณ 2 เดือนก็เลิกไป เพราะแม้จะมีคนอ่านบล็อกเดือนละเป็นหมื่นครั้ง แต่ผมได้ส่วนแบ่งรายได้แค่ร้อยกว่าบาท คิดแล้วไม่คุ้มกันเห็นๆ กับการบังคับให้ผู้อ่านของเราต้องมาเจอโฆษณาอะไรก็ไม่รู้

การทำรายได้จากการเขียนบล็อก
ผมขอยึดแนวทางของ Seth Godin ที่เคยบอกว่า เราไม่ควรเขียนบล็อกเพื่อหาเงิน แต่เราควรเขียนบล็อกเพื่อ “หาพวก” (build a tribe) ซึ่งก็คือคนที่เขาสนใจงานเขียนของเรา เมื่อเรามีแฟนคลับที่ไว้เนื้อเชื่อใจเราแล้วค่อยต่อยอดจากตรงนั้นก็ยังไม่สาย

ผมเอง “เขียนบล็อกฟรี” อยู่สองปีครึ่ง ใช้เวลากับมันไปไม่ต่ำกว่า 1000 ชั่วโมง (ถ้าคิดเป็นวันทำงานก็คือ 125 วัน) โดยไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นตัวเงินเลย แต่พอเดือนมิถุนายนผมก็เปิด Time Management Course ครั้งแรก (ตอนนี้จัดไปแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง) และเดือนสิงหาคมผมก็ได้ออกหนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” ซึ่งก็ได้คนที่อ่านบล็อกนี่แหละมาอุดหนุน โดยผลตอบแทนจากตรงนี้มากกว่าที่ผมจะได้จากการลงโฆษณาในบล็อกผมเป็นไหนๆ

ผมขอยกคำที่ยอด ชินสุภัคกุล (ผู้ก่อตั้งและ CEO ของวงใน) เคยกล่าวไว้ว่า เราต้องสร้าง “ความดีสะสม” (value creation) เอาไว้ เหมือนเป็นการปลูกต้นไม้และรอให้มันแตกกิ่งก้านและออกดอกออกผล เมื่อถึงเวลาที่สุกงอมเราจึงค่อยเก็บเกี่ยวหรือทำ value extraction

การเขียนบล็อกก็คือการสร้างความดีสะสมอย่างหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบทำเงินจากมันด้วยการลงโฆษณาหรือรับจ้างเขียนเชียร์ใครเลย เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นเราจะสูญเสียความไว้ใจจากคนที่ตามบล็อกเราไปไม่น้อย สู้เขียนสิ่งที่เราเชื่อและอยากเขียนจริงๆ ดีกว่า เมื่อเราได้รับความไว้วางใจแล้ว โอกาสอื่นๆ จะตามมาเอง

การเขียนบล็อกจะพาเราไปเจอคนดีๆ และโอกาสดีๆ
ข้อสุดท้ายนี่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงมากที่สุด เพราะการเขียนบล็อกทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนใหม่มากมาย และคนเหล่านี้ก็กลายมาเป็นผู้มีพระคุณของผมทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นพี่ปิ๊ก แห่ง Trick of the Trade ที่ติดต่อมาเพราะชอบงานเขียนและชวนผมออกหนังสือเป็นเล่มแรกของ “สำนักพิมพ์อะไรเอ่ย” ที่พี่เขาตั้งขึ้นมา ถ้าไม่มีพี่ปิ๊ก ก็ไม่มีหนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” แน่นอน

หรือครูณัชร สยามวาลา ที่นอกจากจะส่งหนังสือ “วิถีดาบ วิถีเซ็น” มาให้ผมอ่านแล้ว ยังกรุณาเขียนคำนิยมลงหนังสือขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำฯ ช่วยโปรโมตหนังสือของผมผ่านเพจของครูณัชร แถมยังเสนอตัวมาเป็นโค้ชให้ผมและผลักดันให้ผมเปิดคอร์ส Time Management เป็นครั้งแรกอีกต่างหาก

หรือจะเป็นคุณบิวแห่งวิศวกรรีพอร์ต ผมจำไม่ได้แล้วว่าเรามาเจอกันได้ยังไง แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณบิวเคยเอาบทความ รอยยิ้มบนรถไฟฟ้า ของผมไปแชร์ลงเพจของเขา แถมยังเขียนแนะนำหนังสือ Thank God It’s Monday จนคนแห่สั่งซื้อ TGIM จากผมไปร่วมร้อยเล่ม

และล่าสุดคือ “คุณบุ๊ค” พนักงานประจำที่เพิ่งเปิดเพจ “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ” ที่หลังจากได้อ่าน TGIM แล้วยังกลับมาซื้อเพิ่มไปอีกหลายสิบเล่มเพื่อเอาไปแจกเพื่อน-พี่-น้องที่รู้จักกัน

ถ้าผมไม่ได้มาเขียนบล็อก ผมจะไม่มีโอกาสได้เจอคนดีๆ เหล่านี้เลย

ผมเสียเวลาเกิน 1,000 ชั่วโมงไปกับการเขียนบล็อกก็จริง แต่ผมถือว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะแค่มีคอมหนึ่งเครื่องกับอินเตอร์เน็ตก็สามารถเขียนบทความให้มีคนอ่านเป็นล้านครั้งได้

แค่คิดว่าความคิดจากคนตัวเล็กๆ อย่างเราได้ผ่านสายตาคนเยอะขนาดนี้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้วครับ

ขอบคุณทุกๆ คนอีกครั้งที่ติดตามกันมาตลอด 1,000 ตอน สัญญาครับว่าจะเขียนต่อไปตราบที่ยังมีแรง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ผมน่าจะเขียนครบ 10,000 ตอนตอนอายุครบ 72 ปีพอดี

แค่คิดก็สนุกแล้ว 😉


อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ anontawong.com/archives

อะไรคือ Superpower ของคุณ?

20171007_supwerpower

เมื่อวานนี้เรามีการจัด Townhall ที่ Wongnai ครับ

Townhall คือประชุมใหญ่ประจำไตรมาส ที่ตัวแทนแต่ละแผนกจะผลัดกันออกมาเล่าเรื่องราวสำคัญๆ ในสามเดือนที่ผ่านมาและสิ่งที่เราจะทำต่อจากนี้

ผมเองก็ได้ออกไปพูดหน้าชั้นเหมือนกัน

สไลด์แรกของผมจั่วหัวด้วยคำถามที่ว่า “What is your superpower”?

ผมขอให้คนในห้องสุ่มวันในสัปดาห์มาหนึ่งวัน (เขาตอบว่าวันจันทร์) ผมจึงขอให้ทุกคนที่เกิดวันจันทร์ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เรียกชื่อเล่นและชื่อจริงครบทุกคน

เมื่อผมเรียกชื่อทุกคนเรียบร้อยแล้ว ผมจึงบอกว่าพลังพิเศษของผมในฐานะ Head of People คือการจำหน้า ชื่อเล่น ชื่อจริง และแผนกของพนักงานทุกคนใน Wongnai

ทั้งหมด 182 คนพอดี

—–

ทีม People ที่ Wongnai ดูแลอยู่สามอย่างคือ Recruitment / Engagement / Development

สามเดือนที่ผ่านมาผมเน้นไปที่เรื่อง Development มีการจัด knowledge sharing ข้ามทีม มีการตั้งงบเทรนนิ่งให้พนักงานทุกคน และมีการเชิญคนเจ๋งๆ มาพูดอย่างคุณเบนซ์ ธนชาติ พี่ก้อง ทรงกลดและพี่ต่อ ฟีโนมีน่า

สามเดือนต่อจากนี้ผมอยากจะเน้นเรื่อง Employee Wellbeing (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Engagement) เราจะจัด Wongnai WeFit กันอีกครั้งเพื่อให้พนักงานได้ลดน้ำหนักและสุขภาพแข็งแรง จะมีการเปลี่ยนประเภทขนมที่เราให้พนักงานกินฟรีในออฟฟิศเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และเราจะมีตรวจสุขภาพประจำปีซึ่งเป็นสิ่งที่พนักงานขอกันมานานแล้ว

—–

ผมปิดท้ายว่าจริงๆ แล้ว superpower ของผมไม่ใช่การจำชื่อคน แต่คือการ “ฟัง”

“ฟัง” ว่าพนักงานต้องการอะไร แล้วทีม People เองจะทำอะไรได้บ้าง

การเชิญพี่ต่อ ฟีโนมีน่ามาก็เกิดจากน้องในทีม Content ขอมา ส่วนการตรวจสุขภาพประจำปีก็เกิดจากน้องผู้หญิงอีกสองคนที่มาคุยกับผมตอนต้นปี

สิ่งที่ขอ บางอย่างก็ทำไม่ได้ บางอย่างก็ทำได้เลย หรือบางอย่างก็ต้องใช้เวลา

มองจากข้างนอกเข้ามา คนอาจจะนึกว่า Wongnai มีเงินถุงเงินถัง ทั้งๆ ที่จริงๆ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราทำกำไรได้ หลังจากเปิดเว็บ wongnai.com มา 7 ปี*

ดังนั้นเราจึงรู้ตัวว่าสวัสดิการในบริษัทเรายังสู้บริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่เราให้ได้คือเรื่องอย่างขนมฟรี ทำงานจากที่บ้านได้ ไม่จำกัดวันลา ฯลฯ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ใช้เงินไม่สูง แต่ใช้ความไว้ใจสูงมาก

สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะถ้าทุกคนค้นให้พบว่า superpower ของเราคืออะไร แล้วนำมันมาใช้ที่ Wongnai กันให้เต็มที่

Superpower ของเราอาจเป็นการเล่าเรื่องราว street food ที่ใครอ่านแล้วต้องตามไปกิน

Superpower ของเราอาจเป็นการ “รู้ทิศทางลม” ว่ากระแสอะไรกำลังจะมา แล้วใช้ประโยชน์จากมันในการทำ social media marketing ให้คนชอบคนแชร์

Superpower ของเราอาจเป็นการ “ดูคน” เพื่อคัดแต่คนเก่งและจิตใจดีมาร่วมทีม

Superpower ของเราอาจจะเป็นการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดเอี่ยมอ่องจนใครๆ ก็อยากใช้

ไม่มี superpower ไหนที่ยิ่งใหญ่เกินไป และไม่มี superpower ไหนที่จิ๊บจ๊อยเกินไป

ถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจใช้ superpower ในทุกวันที่มาทำงาน เป้าหมายที่เราฝันไว้ย่อมไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน


* เป็นเรื่องปกติที่ startup จะกำไรช้า เพราะโดยธรรมชาติของ startup จะเอารายได้ไปลงทุนต่อเพื่อสร้างการเจริญเติบโตให้เร็วที่สุด บริษัทอย่าง Amazon ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1994 เพิ่งมีกำไรปีแรกในปี 2003

นิทานขโมยโค้ก

20171006_stealcoke

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานที่สร้างจากเรื่องจริงกันนะครับ

ในปี 2549 พนักงานบริษัทโคคา-โคล่า 3 คนนาม Joya Williams, Ibrahim Dimson และ Edmund Duhaney พยายามจะขายสูตรลับของโค้กให้กับบริษัทเป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์

แทนที่เป๊ปซี่จะแอบซื้อสูตรนี้ไว้ เป๊ปซี่กลับแจ้ง FBI และบริษัทโคคาโคล่า จนพนักงานทั้งสามถูกจับกุมในข้อหาลักขโมยและขายความลับทางการค้า

Dave DeCecco โฆษกของเป๊บซี่ได้ออกมาแถลงว่า

“เราเพียงทำในสิ่งที่องค์กรที่มีจิตสำนึกควรทำ แม้การแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหนแต่เราก็ต้องแข่งกันแบบแฟร์ๆ ด้วย”

—–

ขอบคุณเรื่องจริงจาก Quora: Ryan Yau’s answer to What are some examples of integrity

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

ผัดผ่อนการยอมแพ้

20171005_procrastinate

การ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ผมชอบอ่านตอนม.ปลายมีชื่อว่า “จิ๋วพลังอึด

เป็นการ์ตูนของเด็กผู้ชายชื่อว่า “อิตโต โช” (แปลว่า “รางวัลที่หนึ่ง”) ที่ชอบการวิ่งมาราธอนมาก แต่ชีวิตก็แสนอาภัพ บ้านยากจน พ่อเสีย แถมตัวเองก็ตัวเตี้ยม่อต้อจนไม่มีใครคิดว่าจะเป็นนักวิ่งที่ดีได้

แต่ด้วยความพยายามเขาก็ฝึกฝนจนสามารถขึ้นมาเป็นนักวิ่งระดับแนวหน้าของประเทศ

แต่ชีวิตก็ยังไม่หยุดเล่นตลก เมื่อก่อนจะถึงงานมาราธอนระดับโลกอย่าง “โตเกียวมาราธอน” ไม่กี่วัน โชกลับล้มป่วย แถมแม่เองก็ป่วยหนักจนต้องผ่าตัด แม้จะดั้นด้นพาตัวเองมาอยู่ที่จุดสตาร์ทได้ แต่ตอนออกวิ่งก็ล้มลงจนถูกคนอื่นๆ ทิ้งห่างไปหมด

เมื่ออยู่เป็นลำดับสุดท้ายในการแข่งมาราธอนที่มีแต่นักวิ่งเทพๆ แถมร่างกายตัวเองก็ไม่สมบูรณ์ “โช” จึงท้อเป็นธรรมดา

แต่โชก็บอกตัวเองว่า “ขอแซงคนข้างหน้าไปก่อน อีกคนเดียวเท่านั้น แล้วค่อยเลิก”

แล้วพอโชแซงได้หนึ่งคน ก็บอกตัวเองว่า ไม่ไหวแล้ว แต่ขอแซงอีกซักคนแล้วกัน

วิ่งแซงทีละคน ทีละคนไปเรื่อยๆ จนวิ่งทันกลุ่มนำ

ผมขอไม่เล่าว่าสุดท้ายแล้วโชชนะการแข่งวิ่งโตเกียวมาราธอนรึเปล่า เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นคือโช “ผัดวันประกันพรุ่ง” การยอมแพ้ ออกไปเรื่อยๆ

สำหรับโช เขาจะยอมหยุดวิ่งก็ต่อเมื่อเขาแซงคนข้างหน้าได้ซักหนึ่งคนก่อน แต่พอแซงได้ก็ “นิสัยไม่ดี” ผัดวันประกันพรุ่งการหยุดวิ่งออกไปอีก

ผมเองก็เคยคิดที่จะหยุดเขียนบล็อกหลายครั้ง เพราะการเขียนบล็อกวันละตอนนี่ก็เป็นอะไรที่ต้องใช้แรงและพลังมหาศาล ยิ่งช่วงที่ลูกเล็กหรืองานหนักก็ยิ่งทำให้คิดเรื่องเขียนไม่ค่อยออกเข้าไปใหญ่ แต่ผมก็คอยบอกตัวเองว่าขอแค่อีกซักตอนน่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

เมื่อไหร่ที่เราเจอเรื่องหนักๆ ที่ทำให้ท้อ ขอให้ตระหนักว่าเราทุกคนเป็นยอดฝีมือในการผัดวันประกันพรุ่งอยู่แล้ว จึงคงไม่ยากเกินไปที่จะผัดผ่อน “การยอมแพ้” ออกไปอีกซักหนึ่งวัน

ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราอาจจะถึงเส้นชัยโดยไม่รู้ตัวก็ได้

—–

ขอบคุณประกายความคิดจาก tmrteckk on Reddit: [Story] I treat giving up like procrastination. I keep saying I’m going to do it but never get around to it. 

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ