วิ่งตั้งนานก็ยังไม่ถึงซักที

20170925_run

เมื่อวานนี้ผมได้ไปดูหนัง Walk With Me มาครับ

Walk With Me เป็นหนังสารคดี (documentary) ที่ถ่ายทำวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านพลัมที่ก่อตั้งโดยหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามที่เราคุ้นหูกันดี

หมู่บ้านพลัมนั้นอยู่ในประเทศฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในศูนย์แห่งการเจริญสติ (mindfulness center) ที่โด่งดังที่สุดในโลก

หนึ่งฉากทีี่ประทับใจคือตอนที่หลวงปู่บรรยายธรรมให้แก่ผู้มาใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง

หลวงปู่บอกว่า พวกท่านทั้งหลายวิ่งมาตั้งนานแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ถึงเสียที จริงมั้ย?

ท่านถูกสอนว่าถ้าทำอย่างนั้นจะดี ถ้ามีสิ่งนั้นจะมีความสุข และแต่ละวันท่านก็ได้ออกวิ่ง เพราะท่านถูกทำให้เชื่อว่า ความสุขนั้นอยู่ในสิ่งที่ท่านไม่ได้มีอยู่แล้ว

ท่านวิ่งมาทั้งชีวิต และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องวิ่งไปถึงเมื่อไหร่

แต่หากท่านลองหยุดวิ่ง และ “กลับบ้าน” ของท่าน ท่านอาจจะพบว่าจริงๆ แล้วความสุขมันก็อยู่ต่อหน้าต่อตาท่านมาตลอด

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์ หลายคนกำลังจะเริ่มออกวิ่งกันสุดตัว

หากวิ่งนั้นเหนื่อยนัก ก็อย่าลืมหยุดพักกันบ้างนะครับ

—–

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

ไม่ต้องเก่งมากก็ได้

20170923_forgetperfection

แค่รู้ตัวว่าเรายังไม่ดีตรงไหนก็พอ

“Forget perfection. Learn just enough so you can correct yourself along the way.”
-Zdravko Cvijetic

บางทีความสำเร็จอาจไม่มีอะไรมากไปกว่าความสามารถที่จะคอยตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่าเรายังบกพร่องตรงจุดไหน

ผมเริ่มเขียนบล็อกจริงจังเมื่อสองปีที่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามั่นใจว่าผมเขียนเก่งหรือมีความรู้อะไรมากมาย รู้แค่ว่าพอจะเขียนได้และมีเรื่องที่อยากเล่า

ที่สำคัญกว่า คือผมรู้ตัวด้วยว่าตอนไหนผมเขียนดี ตอนไหนผมยังเขียนได้ไม่ดี

ตอนที่เขียนดี ผมก็จะกดปุ่ม Publish อย่างมั่นใจ

ตอนที่เขียนไม่ดี แต่ไม่มีเวลาหรือไม่สามารถเขียนให้ดีกว่านี้ได้แล้ว ก็ต้องกดปุ่ม Publish อยู่ดี เพราะถ้ามัวแต่รอให้สมบูรณ์แบบ บทความ 90% ของผมคงไม่ได้รับการตีพิมพ์แน่ๆ

Seth Godin เคยบอกไว้ว่า Artists must ship

“ship” ในที่นี้ไม่ใช่เรือ แต่หมายถึงการส่งของ

คนเป็นศิลปินต้องส่งผลงานออกสู่สายตาประชาชน

หากเขียนบทความแล้วไม่ตีพิมพ์ แต่งเพลงแล้วไม่ร้องให้ใครฟัง วาดรูปแล้วไม่โชว์ให้ใครดู ก็อย่าได้เรียกตัวเองว่าศิลปินเลย

เพราะศิลปะจะมีคุณค่าอันใดหากไม่มีใครได้สัมผัสมัน?

ดังนั้น หากคุณอยากเขียนก็จงเขียน อยากทำ Facebook Live ก็จงทำ อย่าติดกับความคิดที่ว่าเรายังไม่เก่งพอ ใครจะมาสนใจเรา

ในฐานะศิลปิน เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเองขนาดนั้น คนเดีียวที่จะตัดสินได้คือคนดู

ส่วนเรื่องยังไม่เก่งพอก็ไม่เห็นเป็นไร คนที่เราเห็นว่าเทพๆ เขาก็เคยห่วยกันมาแล้วทั้งนั้น

ประเด็นสำคัญคือเราต้องหาโอกาสให้ตัวเองได้ฝึกฝนอยู่เสมอ และมีสายตาที่เที่ยงตรงเพียงพอที่จะบอกได้ว่าเรายังพัฒนาตรงไหนได้อีก

เมื่อได้ลงมือทำ ก็จะเห็นจุดอ่อน และเมื่อแก้ไขจุดอ่อน เราก็จะเก่งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“Forget perfection. Learn just enough so you can correct yourself along the way.”

อย่ารอความเพอร์เฟ็คอยู่เลย เพราะมันไม่มีอยู่จริงหรอก แค่เก่งพอที่จะรู้ตัวและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ

สุดท้ายก็จะเป็นตัวจริงได้เอง

—–

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

นิทานพารา

20170914_para

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เช้าวันหนึ่ง

ประชาตื่นมา โทร.ไปลางาน กินพาราสองเม็ด แล้วนอนต่อ

วิมลตื่นมา กินพาราอีกสองเม็ด แล้วเดินเข้าครัว

ทั้งสองมีไข้ หนึ่งในนั้นเป็นแม่คน

[จบบริบูรณ์]

ชีวิตที่ดี

20170921_goodlife

คือชีวิตที่เราเป็นคนเลือกเองว่า “ดี” คืออะไร

โลกทุนนิยมนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ

เชื่อว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ พรุ่งนี้ธุรกิจเราจะโตกว่าวันนี้ พรุ่งนี้เราจะมีเงินมากกว่าวันนี้

นั่นคือเหตุผลที่ธนาคารยอมให้คนกู้เงิน เพราะธนาคารเชื่อว่าในอนาคตคนที่กู้เงินจะมีกำลังเอาเงินมาจ่ายคืนธนาคารได้ทั้งต้นและดอก

และนั่นคือเหตุผลที่คนธรรมดากล้ากู้เงินมาลงทุน เพราะเชื่อว่าเงินที่เขาจะได้จากธุรกิจนั้นจะมากพอจ่ายเงินต้น ดอกเบี้ย แถมยังมีเงินเหลือให้เขาจับจ่ายใช้สอยอีกด้วย

ถ้าความเชื่อมั่นในอนาคตไม่มี ธนาคารก็จะไม่กล้าปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็จะชะลอตัวหรือถึงขั้นถอยหลัง

โลกทุนนิยมจึงมีประโยชน์ตรงที่มันเปิดโอกาสให้เงินได้เปลี่ยนมือและเปิดให้โอกาสคนบางกลุ่มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม

แต่ข้อดีนี้ก็มาพร้อมกับข้อเสีย เพราะกงล้อแห่งทุนนิยมนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยการบริโภค มันจึงจำเป็นต้องป่าวประกาศให้ทุกคนเชื่อว่า ชีวิตจะได้ดีได้ก็ต่อเมื่อคุณซื้อให้มากขึ้น เสพให้มากขึ้น

สมัยเราเด็กๆ เราจึงได้ยินโฆษณาในวิทยุ ได้ดูโฆษณาในทีวี ว่าชีวิตของคุณตอนนี้มันยังไม่โอเคหรอกนะ จนกว่าจะได้ซื้อผลิตภัณฑ์นั้นหรือใช้บริการนี้

สมัยนั้นเราอาจใช้เวลาประมาณวันละ 2-3 ชั่วโมงในการเสพโฆษณาชวนเชื่อนี้ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะพาเราแต่งตัวออกจากบ้านวันเสาร์อาทิตย์เพื่อไปหาซื้อสิ่งของเหล่านั้นมาใช้

มาสมัยนี้สถานการณ์ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม เมื่อ “โฆษณาชวนเชื่อ” มาอยู่ในมือเราวันละนับสิบชั่วโมง

แถมโฆษณาชวนเชื่อนี้ไม่ได้มาจากแค่แบรนด์ใหญ่ๆ อีกต่อไป แต่ยังมาจากแบรนด์เล็กแบรนด์น้อย, กูรูโลกออนไลน์, เน็ตไอดอล รวมถึงเพื่อนของเราหลายๆ คนด้วย

ยิ่งส่องเฟซเท่าไหร่ เราจึงยิ่งสุขน้อยลงเท่านั้น เพราะมีแต่เพื่อนได้กินอาหารอร่อยๆ ได้เที่ยวที่สวยๆ ได้ขับรถป้ายแดง

ถ้าเราปล่อย “ชีวิตที่ดีของเขา” มากำหนด “ชีวิตที่ดีของเรา” ความพอใจจะกลายเป็นสิ่งหายาก เพราะเราเอาสถานภาพของเราไปเปรียบกับสถานภาพ (ที่ผ่านการคัดสรรมาแล้ว) ของคนอื่นตลอดเวลา

เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรได้บ้าง?

ผมเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากนัก เพราะผมก็เป็นหนูที่อยู่ในกงล้อนี้ไม่ต่างกับคุณ แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่าน่าจะพอช่วยได้บ้าง ก็คือการตั้งคำถามอยู่เสมอ ว่าไอ้ที่เขาว่าดีๆ กันน่ะ เราจำเป็นต้องมีเหมือนเขารึเปล่า

เพราะ “ไอ้ที่เขาว่าดี” มันเปลี่ยนตลอด แล้วแต่ว่าอะไรจะอยู่ในกระแส และการวิ่งตามกระแสนั้นเป็นเกมที่ไม่มีวันจบ

แต่หากเราค้นพบ “สิ่งที่ดีสำหรับเราจริงๆ” ชีวิตก็จะง่ายขึ้นและเหนื่อยน้อยลง

โลกทุนนิยมนั้นซับซ้อน แต่ความสุขนั้นไม่เคยซับซ้อนเลย

ชีวิตที่ดี คือชีวิตที่เราเป็นคนเลือกเองว่า “ดี” คืออะไร

อย่าปล่อยให้ใครมาเลือกแทนนะครับ

—–

ขอบคุณประกายความคิดจาก Good Life Project: Seth Godin On Books, Business And Life

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผมได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

ไม่เคยมีใครยากจนจากการเป็นผู้ให้

20170920_poor

“No one has ever become poor by giving.”
Anne Frank

ความจนของคนเราเกิดจากอะไรได้บ้าง?

เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน

ขาดความรู้

ขาดโอกาส

ไม่ขยัน ไม่ขวนขวาย

ใช้ชีวิตอย่างประมาท

ทำธุรกิจผิดพลาดจนล้มละลาย

วิกฤติเศรษฐกิจ

แต่การเป็น “ผู้ให้” ไม่น่าจะใช่หนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้เรายากจนได้

ในทางฟิสิกส์พลังงานและสสารนั้นไม่มีวันหายไปไหน มันแค่แปรรูปไปเท่านั้น

การที่เราให้อะไรบางอย่างกับใครบางคน เงินหรือเวลาของเราจึงแปรรูปเป็นสิ่งของหรือการกระทำ และแปรรูปเป็นความรู้สึกดีๆ หรือคำอนุโมทนาของผู้ที่ได้รับจากเรา

ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อเรานั้นเป็นเหมือน “บัญชีเงินฝากทางอารมณ์” (emotional bank account) ยิ่งเราทำดีกับเขามากๆ ยอดในบัญชีก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อวันหนึ่งเราต้องการความช่วยเหลือบ้าง เราก็จะสามารถถอนเงินในบัญชีนี้กลับมาได้ แถมบางทีได้มากกว่าที่เราให้เขาเสียอีก เพราะกรรมดีบางอย่างนั้นมีดอกเบี้ยทบต้น

อย่ารอให้มีเงินเสียก่อนถึงจะเป็นผู้ให้ได้ เพราะจริงๆ แล้วการให้ต่างหากที่จะทำให้เรามีมากขึ้นในภายหลัง

“No one has ever become poor by giving.”

ไม่มีใครเคยจนเพราะการให้

แต่คนรวยทุกคนล้วนผ่านการให้มาหมดแล้ว

—–

ขอบคุณคุณผู้อ่านที่อุดหนุนหนังสือเล่มแรกของผม “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” จนตอนนี้ติดอันดับ Bestseller ของซีเอ็ดครับ (https://goo.gl/e326HZ)  หากใครยังไม่ได้จับจอง ยังสามารถหาซื้อได้ที่ซีเอ็ด นายอินทร์ คิโนะคุนิยะ เอเชียบุุ๊คส์ บีทูเอส ศูนย์หนังสือจุฬา หรือสั่งตรงกับผมก็ได้ครับ bit.ly/tgimannounce