
อดีตผู้บริหารบริษัทผมคนหนึ่งชื่อฟิลิปเคยเขียนบล็อกเอาไว้ว่า
คนเกรด A จะจ้างคนเกรด A (A players hire A players)
ส่วนคนเกรด B จะจ้างคนเกรด C (B players hire C players)
เพราะหัวหน้าทีมที่เป็นคนเกรด A จะรู้ได้ทันทีว่าคนที่เขาสัมภาษณ์อยู่นั้นเป็นคนเกรด A เหมือนกัน (เสือย่อมเห็นเสือ)
และคนเกรด A จะไม่กังวลว่าเด็กใหม่ที่ร้บเข้าทีมจะเก่งกว่าหรือจะโดดเด่นไปกว่าเขา
แต่ถ้าหัวหน้าทีมเป็นคนเกรด B ถ้าเขาได้สัมภาษณ์เด็กที่เป็นเกรด A เขาอาจจะไม่รับก็ได้ เพราะอาจจะดูไม่ออก หรือไม่ก็ดูออกแต่รู้สึกว่าอาจจะมาทำให้ตำแหน่งของตัวเองคลอนแคลน
คนเกรด B เลยจะจ้างแต่คนเกรด C
และคนเกรด C ก็จะจ้างแต่คนเกรด D
แล้วในเวลาไม่นาน องค์กรก็จะเต็มไปด้วยคนทุกเกรด ยกเว้นเกรด A (เพราะหนีไปทำที่อื่นหมด)
แต่ก็มีคนถามว่า ในโลกแห่งความจริง มันจะทำได้เหรอที่จะจ้างแต่คนเกรด A อย่างเดียว?
ฟิลลิปบอกว่าทำได้ เพราะ Google กับ Apple ก็ทำอย่างนี้มาตลอด
องค์กรของเราอาจจะไม่ได้เนื้อหอมเท่า Google หรือ Apple แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะจ้างคนไม่เก่งซักหน่อย
เพราะคนเกรด B ถ้าได้รับการดูแลดีๆ เขาอาจจะกลายเป็นคนเกรด A ก็ได้
และคนทำงานเกรด A ก็ย่อมอยากได้คนเก่งๆ มาร่วมทีม เพื่อจะช่วยให้บริษัทก้าวหน้าและเพิ่มโอกาสในการเติบโตในองค์กร ไม่มามัวคิดเล็กคิดน้อยว่าคนเก่งๆ ในทีมจะมาทำให้ตำแหน่งของเราสั่นคลอน
จริงๆ แล้วในฐานะหัวหน้า เราควรจะจ้างแต่คนที่เก่งพอ (หรือมีศักยภาพพอ) ที่จะมาทำงานแทนเราด้วยซ้ำไป
เหมือนคำกล่าวที่ว่า Don’t be indispensable. If you can’t be replaced, you can’t be promoted. อย่าเป็นคนสำคัญจนทีมขาดไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีใครแทนคุณได้ คุณก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน
มีคนเสนอไอเดียด้วยซ้ำว่า ในใบประเมินผู้สมัคร ควรจะมีคำถามว่า “ผู้สมัครคนนี้เก่งกว่าคุณในด้านใดบ้าง?”
หัวหน้าเกรด A ย่อมมองเห็นว่าผู้สมัครเก่งกว่าตนในด้านไหน และไม่ลังเลที่จะดึงมาเข้าทีม
เพราะถ้าคุณไม่กล้าจ้างคนเกรด A
นั่นก็แสดงว่าคุณไม่ใช่หัวหน้าเกรด A เช่นกัน
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจากPixabay.com