ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ (ซึ่งรวมถึงผมเองด้วย) ปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็น
การที่มีคนขอให้เราช่วยเหลือถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะนั่นแปลว่าเราเป็นคนที่เขาไว้ใจและคิดว่ามีความสามารถ
แต่ถ้าใครขออะไรเรามา เราก็ตอบสนองเขาหมด ก็มีความเสี่ยงสูงที่ชีวิตเราจะต้องวิ่งตามความต้องการของคนอื่นตลอด
ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของ “คนอื่น” เพราะเขาไม่รู้หรอกว่าเรายุ่งแค่ไหน
เป็นความผิดของเราต่างหากที่ไม่ยอมบอกคนอื่นว่า “เราก็เริ่มจะไม่ไหวเหมือนกันนะ”
ที่เราไม่กล้าบอกก็เพราะว่ากลัวจะรู้สึกผิด หรือไม่อยากหักหาญน้ำใจใคร หรือไม่อยากให้ตัวเองดูไม่ดี หรือถูกทั้งสามข้อ
วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือการเตือนตัวเองว่า เมื่อเรา say yes กับสิ่งหนึ่ง เราก็กำลัง say no กับสิ่งที่เหลือด้วย
เพราะว่าต่อให้เราขยันอย่างไร วันหนึ่งเราก็มีแค่ 24 ชั่วโมง
ถ้าเรา say yes กับ “งานการกุศล” ที่ทีมข้างๆ มาขอให้ช่วย เราก็อาจกำลัง say no ที่จะทำงานที่อยู่ในมือเราให้ออกมาได้ดีและตรงเวลา
ถ้าเรา say yes ที่จะเป็นกรรมการสมาคมและต้องเข้าประชุมตอนค่ำทุกวันพุธ เราก็กำลัง say no กับการสอนการบ้านหรืออ่านนิทานให้ลูกฟังในคืนนั้น
ถ้าเรา say yes กับการไปร่วมงานแต่งงานของน้องที่เราไม่ได้สนิทด้วย เราก็กำลัง say no กับการได้พักผ่อนให้มากกว่านี้
ผมไม่ได้กำลังจะบอกให้เราปฏิเสธทุกคำขอร้องนะครับ เพราะนั่นก็จะทำให้เราเป็นคนแล้งน้ำใจจริงๆ นั่นแหละ
แต่เราควรจะ say yes เฉพาะกับเรื่องที่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือจริตของเราเท่านั้น
เพราะถ้าเรา say yes แบบไม่เต็มใจ เราก็จะทำแค่เพียงครึ่งๆ กลางๆ และผลลัพธ์ก็คงออกมาไม่ดีเท่าไหร่
เสียหายทั้งคนขอ เสียหายทั้งคนให้
ถ้าจะมาเพียงครึ่งใจ ก็อย่ามาเสียดีกว่า (ฮิ้ว!)
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
—–
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com