นิทานลูกชายชั้นเอง

20160219_myson

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

หญิงชราชาวอินเดียสามคนเป็นเพื่อนกัน

ทั้งสามอาศัยอยู่ในชนบท

ต่างคนต่างกำลังแบกฟืนกองใหญ่กลับบ้าน

ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายโมงตรง พระอาทิตย์แผดเผาเสียจนคุณป้าทั้งสามเหงื่อโทรมตัว เมื่อเจอต้นไม้ใหญ่จึงนั่งพักเอาแรง

เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านมา

หญิงชราคนแรกพูดด้วยความภูมิใจว่า “คนนั้นลูกชายชั้นเอง เรียนเก่งมาก สอบได้ที่หนึ่งตลอดเลย” เด็กหนุ่มโบกมือทักทายคุณป้าทั้งสามแล้วก็เดินจากไป

สักพักเด็กผู้ชายร่างกายสูงใหญ่เกินวัยก็เดินผ่านมา

หญิงชราคนที่สองพูดด้วยความภูมิใจว่า “คนนั้นลูกชายชั้นเอง เล่นกีฬาเก่งมาก ได้เหรียญทองตลอดเลย” เด็กหนุ่มโบกมือทักทายคุณป้าทั้งสามแล้วก็เดินจากไป

สักพักเด็กชายผอมกะหร่องอีกคนหนึ่งก็เดินผ่านมา เด็กคนนี้ขากะเผลกเพราะเป็นโปลิโอตั้งแต่เกิด

หญิงชราคนแรกและคนที่สองยิ้มเยาะ หันไปถามหญิงชราคนที่สามว่า “นั่นน่ะลูกชายเธอไม่ใช่เหรอ?”

เด็กชายคนนั้นเดินเข้ามาหาคุณป้าทั้งสามแล้วยกมือไหว้ เอากระติกน้ำออกมาจากเป้ แล้วเทน้ำเย็นชื่นใจยื่นให้หญิงชราคนที่สาม

เธอจิบน้ำ ลูบหัวเด็กคนนั้น แล้วหันไปยิ้มให้กับเพื่อนทั้งสอง

“ใช่จ๊ะ คนนี้ลูกชายชั้นเอง”

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณนิทานจาก Quora: Gurmeet Heera’s answer to What are some nice, beautiful stories?

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

บันไดอารมณ์

20160218_MoodElevator

วันนี้อยากจะมาแชร์คอนเซ็ปต์หนึ่งที่ผมได้มาจากการเข้าเวิร์คช็อปของบริษัทครับ

คนที่คิดคอนเซ็ปต์นี้ขึ้นมาคือ Dr.Larry Senn ผู้ก่อตั้ง Senn Delaney ผู้นำด้านการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร (transforming corporate cultures)

คอนเซ็ปต์นี้ชื่อว่า Mood Elevator ครับ

ผมไม่แน่ใจว่าดร.เซ็น เขาต้องการให้ Elevator แทนความหมายว่า “ลิฟต์” หรือเป็นคำนามของกิริยา elevate ที่แปลว่า “ยก” กันแน่

แต่ถ้าให้ผมแปลเป็นไทยผมอยากแปล Mood Elevator ว่า “บันไดอารมณ์” มากกว่า

เพราะ “ได้อารมณ์” ดี

ในแต่ละวัน คนเราจะมีอารมณ์ต่างๆ มากมาย

ทั้งอารมณ์ที่เป็นบวก และอารมณ์ที่เป็นลบ

และนี่คือบันไดอารมณ์ที่ดร.เซ็นสร้างขึ้นมา เรียงจากบวกสุดไปหาลบสุด

Grateful
Wise
Creative
Resourceful
Hopeful
Appreciative
Patient
Sense of Humor
Curious
Impatient
Irritated
Worried
Defensive
Judgmental
Self-righteous
Stressed
Angry
Depressed

สำหรับคนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ผมแปลมาไทยให้ด้วย แต่ต้องออกตัวก่อนว่าบางคำอาจไม่ค่อยตรงเท่าไหร่นะครับ

Grateful ปลื้มปิติและสำนึกในบุญคุณ
Wise มีปัญญา / เฉลียวฉลาด
Creative มีความคิดสร้างสรรค์
Resourceful มีความคิดริเริ่มและแก้ปัญหาได้ดี
Hopeful มีความหวัง
Appreciative เห็นคุณค่า
Patient อดทน / ใจเย็น
Sense of Humor มีอารมณ์ขัน
Curious สงสัย / อยากรู้อยากเห็น
Impatient ไม่มีความอดทน ใจร้อน
Irritated หงุดหงิด
Worried กลุ้มใจ
Defensive ปกป้องตัวเอง
Judgmental เพ่งโทษคนอื่น
Self-righteous มั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก
Stressed เครียด
Angry โกรธ
Depressed หดหู่

สิ่งที่ดร.เซ็นแนะนำก็คือ เวลาเจอเหตุการณ์ต่างๆ ในแต่ละวัน ลองสำรวจตัวเองว่า ตอนนี้อารมณ์ของคุณอยู่บน “บันได” ขั้นไหน?

เป็นอารมณ์บวก หรือ เป็นอารมณ์ลบ?

ถ้าเป็นบวกก็ถือเป็นเรื่องดี (ขออนุโมทนา)

แต่ถ้าเป็นอารมณ์ลบ เรากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่?

หดหู่? โกรธ? เพ่งโทษคนอื่น? หรือแค่หงุดหงิดเฉยๆ?

เมื่อเราสามารถจะ “ตั้งชื่อ” (label) ให้กับอารมณ์ของเราได้ เราจะรู้สึกเป็นกลางกับมันมากขึ้น

(หรือถ้าให้ผมใส่แว่นตาพุทธศาสน์ คือเราจะมีสติมากขึ้นที่จะเป็น “ผู้ดู” ไม่ใช่ “ผู้เป็น”)

และเราจะเอาตัวเองออกจากอารมณ์ลบนี้ได้อย่างไร?

จาก Depressed จะให้กระโดดไปที่ Hopeful เลยก็อาจจะยากเกินมนุษย์ไปหน่อย

แต่สิ่งที่เราทุกคนทำได้ คือกระโดดไปบันไดขั้นที่เรียกว่า Curious ครับ

Curious เป็นอารมณ์ที่ดี เป็นบวกนิดๆ เป็นอารมณ์ “ฉงน” ของเด็กที่ช่างคิดช่างถาม

ถ้าเรากำลังหดหู่อยู่ ลองเปลี่ยนอารมณ์เป็น curious ดู ว่าเอ…ทำไมเราถึงหดหู่น้า… (ต้อง “น้า” ด้วยนะ จะได้ฟังเหมือนเด็กกำลังตั้งคำถามกับคุุณลุงคุณป้าที่กำลังหดหู่)

ถ้ากำลังรู้สึกว่าเรา Judgmental อยู่ ก็สามารถกระโดดมาที่ Curious ได้เหมือนกัน ว่าที่เรา Judgmental นั้นเกิดจากอะไร หรือคนที่เราเพ่งโทษอยู่นั้นเขามีเหตุผลอะไรจึงแสดงออกมาอย่างนั้น

นอกจากบันได Curious จะช่วยให้เราปรับอารมณ์ตัวเองจากลบมาเป็นกลางๆ ได้แล้ว มันยังช่วยเราในจังหวะที่ “กระทบอารมณ์” ต่างๆ ด้วย

เช่น ถ้าหัวหน้าเรียกเราไปบ่นเรื่องงาน แทนที่เราจะปกป้องตัวเองหรือหงุดหงิดหัวหน้า เราก็สามารถเลือกที่จะ curious ได้ว่า ทำไมงานที่เราทำถึงไม่ตรงใจหัวหน้า

หรือเวลาที่ลูกร้องไห้โยเยไม่ยอมนอน แทนที่จะกลุ้มใจ เราก็สามารถ curious ได้เช่นกัน ว่าอืม…จะหลอกเด็กยังไงดีน้า

หรือเวลาที่แฟนทำตัวไม่ได้ดั่งใจ ก็ลอง curious รอให้อารมณ์เย็นลง แล้วค่อยๆ ถามดูว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เขาเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะช่วยอะไรได้มั้ย

เจออะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะด่วนตัดสินหรือคิดว่าสถานการณ์มันแย่ ลองสวมหัวใจเด็กที่ curious ตลอดเวลาดูนะครับ

เพราะมันอาจจะช่วยให้เราอยู่บน “ขั้นบันได” ที่เป็นบวกได้ตลอดวันครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณข้อมูลจาก Up The Mood Elevator

ขอบคุณภาพจาก: Pixabay.com

เกลือจิ้มเกลือ

20160217_Salt

เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เจ้าหน้าเทศบาลเมืองกลาสโกว์ (Glasgow) ประเทศสก๊อตแลนด์มีโจทย์ให้ต้องขบคิด

ที่เมืองนี้มีนักดนตรีอยู่ไม่น้อย และสิ่งที่ตามมาก็คือการจัดคอนเสิร์ตเพื่อเอาใจแฟนนานุแฟนอยู่เป็นประจำ

สมัยนั้นยังไม่มี Facebook การประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตของค่ายดนตรีเล็กๆ ที่ไม่มีเงินซื้อสื่อก็คือการติดโปสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆ

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าเขาจะติดโปสเตอร์ตามสถานที่ที่ทางการจัดไว้ให้ แต่เพราะผู้จัดคอนเสิร์ตก็ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เลยแปะโปสเตอร์ตามจุดต่างๆ ในที่สาธารณะ จนเมืองดูเละเทะไปหมด

เทศบาลเมืองกลาสโกว์พยายามจะแก้ปัญหาด้วยการขู่ว่าจะ ใครก็ตามที่มาติดโปสเตอร์ในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตจะเจอโทษปรับ

แต่คนจัดคอนเสิร์ตก็ยังคงท้าทายด้วยการติดโปสเตอร์ต่อไป เพราะคิดสารตะแล้วคุ้มที่จะเสี่ยง เนื่องจากกำลังของเจ้าหน้าที่มีจำกัด ไม่สามารถจะตามมาเก็บค่าปรับทีมงานที่ (แอบ) มาติดโปสเตอร์ได้หรอก

เมื่อขู่ไม่เป็นผล ก็เลยต้องมาแก้ที่ปลายเหตุแทน ทางเทศบาลเมืองกลาสโกว์ต้องเสียเงินถึงปีละแสนปอนด์หรือห้าล้านบาทเพื่อจ้างคนมาแกะโปสเตอร์ผิดกฎหมายนี้ทิ้ง

แต่ความเร็วมันสู้กันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะคนแปะใช้เวลาแปะแค่ไม่กี่วินาที แต่เวลาจะแกะต้องใช้เวลาหลายสิบนาที (คงเพราะทากาวมาดี) ตามแกะเท่าไหร่ก็ไม่หมด แถมยังมีเศษขยะมากมายอีกต่างหาก

ถ้าเป็นคุณ คุณจะแก้ปัญหานี้ยังไง

ลองหยุดอ่าน แล้วใช้เวลาคิดซักหนึ่งนาทีนะครับ

วิธีแก้ปัญหาของเขาง่ายดายแต่ฉลาดและแสบมากๆ

ทางเทศบาลสั่งผลิตสติ๊กเกอร์คำว่า Cancelled ออกมาเป็นพันๆ ใบ

แล้วให้เจ้าหน้าที่ตามแปะสติ๊กเกอร์นี้ลงบนโปสเตอร์คอนเสิร์ตใดก็ตามที่อยู่ผิดที่ผิดทาง

เมื่อโปสเตอร์คอนเสิร์ตโดนแปะทับว่า Cancelled แฟนเพลงที่ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตไปแล้วจึงโทร.ไปหาคนจัดคอนเสิร์ตจนสายแทบไหม้ เพราะต้องการรู้ว่าทำไมถึงยกเลิกคอนเสิร์ต และจะเอาเงินคืนได้อย่างไร

คนจัดคอนเสิร์ตก็ไม่มีสิทธิ์มาบ่นว่าทางการรังแก เพราะคุณดันทำไม่ถูกตั้งแต่ต้นเสียเอง

ด้วยวิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ นี้ ทำให้พฤติกรรมการแปะโปสเตอร์โฆษณาคอนเสิร์ตในที่สาธารณะหยุดลงแทบจะชั่วข้ามคืน

ผมอยากคิดอะไรได้อย่างนี้บ้างจัง

ใครเคยเจอวิธีการแก้ปัญหาแบบเกลือจิ้มเกลือในชีวิตจริง ช่วยมาเล่าสู่กันฟังใน Anontawong’s Musings บ้างนะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณข้อมูลจาก EveningTimes: What a fly move!

ขอบคุณภาพจาก: Pixabay.com

ทางไม่สะดวก

20160216_ObstacleIsTheWay

คือทางที่เราควรเดิน

ทางไม่สะดวก คือทางที่บังคับให้เราต้องออกแรงทั้งกายใจ

สมัยดึกดำบรรพ์ พลังงานของมนุษย์เรานั้นมีจำกัด เพราะอาหารไม่ได้หากินกันได้ง่ายๆ สมองของคนเราจึงถูกวิวัฒนาการให้ประหยัดพลังงานให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้เก็บไว้ใช้ในยามออกล่าหรือถูกล่า

และนั่นคือเหตุผลที่คนเรามักจะมองหา “ทางสะดวก” หรือ the path of least resistance อยู่เสมอๆ

ระหว่างออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งกับนอนเล่นเฟซบุุ๊ค เราจึงเลือกอย่างหลัง

ระหว่างเขียนบล็อกกับอ่านการ์ตูน เราจึงเลือกอย่างหลัง

ระหว่างนั่งทำงานชิ้นยากๆ กับเมาธ์มอยกับเพื่อนในออฟฟิศ เราจึงเลือกอย่างหลัง

ทางสะดวกนั้นสบายก็จริง แต่มันไม่เปิดโอกาสให้เราได้เติบโตซักเท่าไหร่

จึงเกิดความขัดแย้งขึ้น

สมองและร่างกายของเราต้องการประหยัดพลังงาน

แต่จิตใจของเราต้องการทำสิ่งที่มีความหมาย

จุดหมายที่มีคุณค่าก็เปรียบเหมือนยอดเขาที่เราต้อง “เดินขึ้น”

เมื่อเดินขึ้น ก็ต้องสู้กับทั้งแรงโน้มถ่วงโลก และแรงโน้มถ่วงจากคนรอบข้าง

“จะพิชิตยอดเขาไปทำไม เดินวนอยู่รอบๆ ตีนเขาก็พอแล้วรึเปล่า” หลายคนบอกเราว่าอย่างนั้น

ซึ่งก็ถูกของเขา

แต่หากเราแน่ใจแล้วว่า นี่คือภูเขาที่เราอยากปีน ก็ลองปีนขึ้นไปเถอะ

อาจจะต้องทนเหงาบ้าง อาจจะโดนทากกัดบ้าง แต่ก็คงไม่ถึงตายหรอก

เดินขึ้นเขา ไม่ใช่เพื่อเพิ่มอัตตาตัวตนว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ขยันกว่าคนอื่น ฝันไกลกว่าคนอื่น

เพราะเราเดินขึ้นเขา ไม่ใช่เพื่อพิชิตและยึดครองยอดเขา

แม้วิวบนยอดเขานั้นจะสวยแค่ไหน แต่ยอดเขาไม่ได้มีไว้ให้คนอยู่

สุดท้ายเราทุกคนต้องกลับลงมาที่ตีนเขาอยู่ดี

สิ่งที่เราจะ “ยึดครอง” ได้ คือประสบการณ์ บาดแผล และความทรงจำที่เราได้รับมาต่างหาก

ผมเชื่อว่า สิ่งที่เราเรียกกันว่า “ชีวิต” นั้นคือ “การชุมนุมกันของประสบการณ์” (a collection of experiences)

“ทางไม่สะดวก” จะเติมเต็มชีวิตเราด้วยประสบการณ์ต่างๆ นาๆ

เมื่อแลกกับพลังงานที่ต้องเสียไป ผมว่ามันน่าจะคุ้มค่านะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณชื่อหนังสือ The Obstacle is the Way ของ Ryan Holiday ที่ผลักดันให้เขียนบทความนี้ครับ

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

คำคล้าย

20160215_Similar

เสียใจ หรือ เสียดาย

สงสาร หรือ เมตตา

ง่ายง่าย หรือ มักง่าย

เดี๋ยว หรือ เดี๋ยวนี้

แน่วแน่ หรือ ดื้อรั้น

มุ่งหวัง หรือ คาดหวัง

เอาแต่ใจ หรือ เห็นแก่ตัว

อยากรู้อยากเห็น หรือ สอดรู้สอดเห็น

สิ่งที่แสดงออก อาจคล้ายคลึงกัน

แต่เจตนาไม่เหมือนกัน

และผลลัพธ์ ก็มักจะไม่เหมือนกันด้วย

—-

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com