เจ้านายอทินนา

20160120_StealingBoss

ช่วงนี้ผมได้ยินได้ฟังเรื่องคนทำงานประเภทหนึ่งบ่อยๆ

เป็นคนที่อายุเพียงสามสิบปลายๆ ที่เติบโตในองค์กรอย่างรวดเร็วจนมีตำแหน่งใหญ่โตระดับมีลูกน้องในเครือหลายสิบหลายร้อยคน

คนเหล่านี้คือดาวเด่นในองค์กร บุคลิกดี มีเสน่ห์ คิดไว ทำไว

แต่ลูกน้องมักไม่รัก และมีคนในทีมลาออกเป็นประจำ

ที่ไม่รัก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำอะไร

แต่เพราะการทำงานแบบคิดไว ทำไว มักจะตามมาด้วยอาการเหล่านี้

  • สั่งวันนี้จะเอาพรุ่งนี้
  • ทำเสร็จแล้วสั่งให้กลับไปแก้ใหม่หลายรอบ
  • สั่งเปลี่ยนเนื้องานกลางคัน อันที่ทำอยู่เดิมใช้ไม่ได้หรือไม่ได้ใช้

อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ว่า motivation ที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานคือการได้เห็นความคืบหน้าในงานที่มีประโยชน์ (make progress in meaningful work)

และสิ่งที่ demotivate ลูกน้องได้มากที่สุดก็คือ setbacks หรือความรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ไปไหนซะที

ยิ่งถ้ารู้สึกว่างานที่ทำมันไม่เมคเซ้นส์ ทำงานไปก็เกิดคำถามไปตลอดเวลาว่า “จะทำไปทำไม(วะ)” สภาพจิตใจคนทำงานยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

พอลูกน้องมาขอลาออก ผมก็ไม่แน่ใจว่าผู้นำไฟแรงจะคิดสำรวจตัวเองบ้างรึเปล่า เพราะเขาก็ทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรและมันก็ช่วยให้เขาเติบโตมาได้รวดเร็วขนาดนี้ ดังนั้นเขาอาจจะมองว่าลูกน้องที่มาลาออกนั้นไม่ fit กับวัฒนธรรมองค์กรหรืออาจไม่ strong พอ

ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย

เพราะจริงๆ แล้วคนที่ลาออกอาจจะ strong มาก และ fit มาก เพียงแต่เขารับไม่ได้กับวิธีการทำงานของหัวหน้าเท่านั้นเอง (People don’t leave their companies – they leave their bosses)

—–

คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งมีโอกาสสร้างกรรมได้เยอะ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว

เพราะทุกการกระทำของคุณมันกระทบกับคนหมู่มาก

ถ้าคุณเป็นนายกฯ ที่ตั้งใจทำงาน สร้างความเจริญให้กับบ้านเมือง คุณก็สร้างสิ่งดีๆ ให้กับคนถึงหลายสิบล้านคน ถือเป็นกุศลกรรมก้อนใหญ่

และในทางกลับกัน ถ้าคุณคิดร้ายทำลายบ้านเมือง คุณก็จะโดนชาวบ้านสาปแช่งไปถึงลูกถึงหลาน

คนเป็นหัวหน้าก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่สเกลเล็กกว่าเท่านั้นเอง

ความคิดและการตัดสินใจของคุณจะกระทบคนเป็นสิบเป็นร้อยคน

ถ้าคุณคิดเร็ว ทำเร็ว แต่ไม่รอบคอบ นั่นหมายถึงลูกน้องของคุณต้อง suffer มหาศาล

และผมมองว่าเป็นการผิดศีลข้อสองด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อบทความ “เจ้านายอทินนา” (ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า “เจ้านายขี้ขโมย” ด้วย แต่เกรงจะดูแรงไป)

ผิดศีลข้อสองยังไง?

ผมเองก็ไม่ได้เป๊ะเรื่องพุทธศาสนานะครับ แต่ถ้าเป้าหมายหลักของการรักษาศีลคือการไม่เบียดเบียนใคร และศีลข้อสองหมายถึงการไม่ไปเอาของๆ ใครที่เขาไม่ได้เต็มใจจะให้

หัวหน้าที่ใช้งานลูกน้องหนักหามรุ่งหามค่ำ ก็ผิดศีลข้อสองไปเต็มๆ เพราะเขาได้เบียดเบียนและขโมยสมบัติที่มีค่ามากที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะมี

นั่นก็คือเวลา

เวลาที่จะได้กินข้าวเย็นอร่อยๆ
เวลาที่จะได้ไปออกกำลังกายและได้นอนพักอย่างเต็มที่
เวลาที่จะได้พูดคุยกับคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ยังเล็ก คู่ชีวิตที่รักยิ่ง และบุพการีที่เหลือเวลาไม่มากนักบนโลกใบนี้

แทนที่พนักงานเหล่านี้จะได้มีชีวิตหลังหกโมง กลับกลายเป็นต้องมานั่งปั่นงานที่ออฟฟิศตอนสามทุ่ม เพียงเพราะว่าเจ้านายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหรือลืมสั่งงานให้เร็วกว่านี้

ยิ่งถ้ามีคนต้องเจอสภาพอย่างนี้หลายสิบคน แต่ละคนก็ทำงานด้วยความเครียดและกดดัน ลองคิดดูว่าก้อนพลังงานลบที่ลอยอยู่ในออฟฟิศมันจะเยอะขนาดไหน

และสุดท้ายแล้วมันจะไปรวมอยู่ที่ใคร

แน่นอนครับ โลกธุรกิจบางทีมันก็โหดร้าย ของบางอย่างมันรอไม่ได้ และในบางสถานการณ์เราจำเป็นต้องอยู่ดึกเพื่อให้งานมันเสร็จ

ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าสถานการณ์นั้นมาถึง ลูกน้อง(ที่ดีๆ) ย่อมเต็มใจที่จะช่วยให้มันเสร็จอยู่แล้ว (และถ้าเต็มใจที่จะอยู่ช่วย ก็แปลว่าไม่มีการขโมยเวลาเกิดขึ้น)

แต่สิ่งที่ลูกน้องดีๆ ทนไม่ได้ ก็คือการที่เขาต้องกลับดึกวันแล้ววันเล่านั่งแก้งานที่เขามองว่าไม่เมคเซ้นส์

เจ้านายที่ดี คือเจ้านายที่สามารถทำให้ทีมบรรลุเป้าหมายได้

แต่เจ้านายที่สุดยอด คือเจ้านายที่สามารถทำให้ทีมบรรลุเป้าหมายได้ แถมลูกน้องยังรักอีกต่างหาก

ผมอยากเห็นบ้านเรามีเจ้านายอย่างหลังเยอะๆ ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia 

รักพี่เสียดายน้อง

20160119_ChickenAndEgg

สิ่งที่แย่กว่าตัดสินใจพลาด คือการไม่ตัดสินใจ

สังเกตตัวเองหลายทีแล้วว่า ห้วงเวลาใดก็ตามที่อยู่ในสภาวะ “รักพี่เสียดายน้อง” มันจะอึนๆ มึนๆ

แต่พอตัดสินใจว่าจะเอาทางใดทางหนึ่งแล้วเท่านั้น ใจมันจะโล่ง แล้วสมองก็จะขับเคลื่อนเต็มสูบ ช่วยให้เราลงมือทำอะไรก็ตามที่ต้องทำเพื่อให้การตัดสินใจนั้นส่งผลดีที่สุด

ถ้ารักพี่เสียดายน้อง ก็แปลว่าดีทั้งพี่และน้องนั่นแหละ ไม่ต้องคิดเยอะมาก เอาที่ใจว่าใช่ ทางข้างหน้าจะขลุกขลักยังไงเดี๋ยวก็หาทางไปต่อได้เอง

ถ้ามัวแต่ลังเล ทั้งคนพี่คนน้องรำคาญเดินจากไป

เหลือแค่ป้าแก่ๆ คนหนึ่ง เราคงจะเจ็บใจน่าดู

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

กำแพงล่องหน

20160119_InvisibleWall

เคยมั้ยครับ เวลาขับรถไปไหนแล้วเตรียมจะจอดริมฟุตบาทแล้วดันมีกรวยมาวางกันที่เอาไว้

กรวยจราจรทำจากวัสดุที่ค่อนข้างนิ่มและเบา ดังนั้นในทางกายภาพ กรวยจึงไม่สามารถ “กั้น” รถได้จริงๆ หรอก เพราะถ้าเราจะจอดจริงๆ ก็แค่ถอยรถไปชนกรวยให้ล้มหน่อยเดียวก็เข้าจอดได้แล้ว หรือถ้าเราจะจอดรถเดินไปขยับกรวยให้พ้นทางก็ย่อมทำได้

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เคยเห็นคนขับรถคนไหนกล้าท้าทายกรวย

อาจเป็นเพราะว่ากรวยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าเจ้าของ กรวยจึงมี “พลังพิเศษ” บางอย่างที่ทำให้มันสามารถ “ผลัก” รถที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ามันเป็นร้อยเป็นพันเท่าได้สบายๆ

ผมสนใจ “พลังพิเศษ” ที่ทำหน้าที่คล้ายๆ กับ “กำแพงล่องหน” ที่มีประสิทธิภาพยิ่งนัก

กำแพงล่องหน ในความหมายของผมคือสิ่งของหรือคำพูดอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่มีความแข็งแรงเชิงกายภาพแต่กลับมีความแข็งแรงต่อจิตใจพอที่จะช่วยกันคนส่วนใหญ่ไม่ให้ทำบางสิ่งบางอย่างได้

เช่นเชือกที่มัดกับเสาเล็กๆ ล้อมรอบสนามหญ้าเพื่อกันไม่ให้คนเข้า

หรือบาริเคด (barricade) ที่ควบคุมคนให้ยืนเป็นแถวเวลาซื้อตั๋วหนัง

หรือเส้นทึบตีขนานสองเส้นบนถนนเพื่อบอกว่าเอ็งห้ามเปลี่ยนเลนนะ

หรือคำพูดว่า “งดฝากร้านนะคะ” ของดาราในอินสตาแกรม (ผมสังเกตหลายทีแล้วว่า เวลาดาราใส่คำว่า “งดฝากร้าน” ลงไป จะแทบไม่เห็นร้านไหนกล้ามาโพสต์ฝากร้านเลย แต่ถ้าดาราคนไหนไม่ใส่คำนี้ ก็จะมีคนมาฝากร้านกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง)

—–

ในทางกลับกัน…

นอกจากกำแพงล่องหนที่คนจงใจสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างแล้ว ยังมีกำแพงล่องหนที่เราไม่ได้ตั้งใจสร้างขึ้นมา แต่มันก็เกิดขึ้น และคอยกั้นเราไม่ให้ทำบางสิ่งบางอย่างที่เราอาจอยากทำด้วย

ตอนอยู่ที่บ้านเก่า ผมจะใช้ผ้าคลุมเตียงที่มีเนื้อผ้าค่อนข้างหนามาพับจนเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเพื่อใช้เป็นเบาะรองนั่งสมาธิ

แต่พอย้ายบ้าน เตียงเปลี่ยนไซส์ ผ้าคลุมเตียงผืนเดิมไม่รู้ไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว (หรืออาจจะเผลอโละทิ้งไปแล้ว) ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมไม่ได้นั่งสมาธิแบบเป็นกิจจะลักษณะมาหลายสัปดาห์แล้ว ทั้งๆ ที่จริงๆ ผมน่าจะหาผ้าผืนอื่นมาแทนกันได้ไม่ยากนัก

หรือย้อนกลับไปสมัยผมยังเขียนไดอารี่ก่อนเข้านอน (ใช้ดินสอเขียนลงสมุดไดอารี่) ถ้าช่วงไหนที่โต๊ะผมรกๆ ผมก็จะไม่ค่อยได้เขียนไดอารี่ เพราะขี้เกียจเคลียร์โต๊ะเพื่อเขียนไดอารี่

กูรูหลายคนบอกว่า ถ้าคุณอยากจะสร้างนิสัยตื่นมาวิ่งทุกเช้า ก่อนเข้านอนคุณควรจะเอาชุดวิ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า รวมถึงเอารองเท้าวิ่งออกมาวางเตรียมไว้ให้พร้อมตรงปลายเตียงนอนเลย

“ผ้าปูเตียงที่หายไป” “ของรกๆ บนโต๊ะ” และ “ตู้เสื้อผ้า” คือกำแพงล่องหนในสามตัวอย่างที่กล่าวมานี้

สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือ สภาพแวดล้อมรอบตัวเรามีอำนาจต่อพฤติกรรมของเรามากกว่าที่คิด

วันนี้ ลองสังเกตตัวเองดูนะครับว่า อะไรที่เราควรทำแต่ยังไม่ได้ทำนั้น มีกำแพงล่องหนที่คอยกั้นคุณอยู่รึเปล่า

ถ้าเจอแล้ว อย่าลืมนะครับว่าเราทำลายกำแพงล่องหนนั้นได้เสมอ

เพราะบางที กรวยจราจรบางกรวยก็อยู่ผิดที่ผิดทาง และสมควรโดนหยิบออกจากชีวิตครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

วิธีทำงานไร้สมอง

20160118_NoBrainers

เชื่อว่าคนทำงานทุกคนต้องมี “งานไร้สมอง” อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย

งานไร้สมองในความหมายของผมคืองานที่ใช้ความคิดน้อย ใช้ความพยายามน้อย และใช้เวลาน้อย (ไม่เกิน 10 นาที)

งานไร้สมองก็เช่น

  • โทร.กลับหาคนที่ missed call มา
  • ส่งเมล์ follow up งาน
  • เดินไปส่งจดหมาย
  • งาน admin เช่นลางาน เบิกเงิน ฯลฯ

งานพวกนี้อาจจะไม่สลักสำคัญอะไรนัก บางทีต้องเรียกว่าน่าเบื่อด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ จึงควรจะทำให้เสร็จโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด

หลักการของผมคือจะเก็บงานไร้สมองหลายๆ ชิ้นไว้ทำรวดเดียว

โดยเวลาที่ผมมักทำงานประเภทนี้ก็คือตอนหลังทานข้าวเที่ยง เพราะเป็นช่วงที่หลังตาเริ่มหย่อนหน่อยๆ และพลังเฉื่อยสูง จะให้ทำงานชิ้นใหญ่คงไม่ไหว และการทำงานไร้สมองจะช่วยสร้างโมเมนตั้มให้พลังงานค่อยๆ กลับมา

อีกช่วงเวลาหนึ่งที่ผมมักใช้ทำงานไร้สมองคือตอนที่ทำงานชิ้นใหญ่เสร็จไปแล้ว และทำงานไร้สมองเป็นการพักเบรคไปในตัว โดยผมจะเน้นทำงานชิ้นที่ไม่ต้องอยู่กับโต๊ะ จะได้เดินไปเดินมาและได้ยืดเส้นยืดสาย

และช่วงเวลาสุดท้ายที่เหมาะกับงานไร้สมองคือตอนที่รู้ตัวว่าอีกแค่ 15 นาทีต้องไปประชุม จะนั่งทำงานชิ้นใหญ่ก็อาจจะเวลาน้อยเกินไป จะเล่นเฟซบุ๊คฆ่าเวลาก็ใช่ที่ ช่วงเวลานี้จึงเหมาะกับงานไร้สมองซักชิ้นหรือสองชิ้นเช่นกัน

คุณล่ะครับ จัดการงานไร้สมองเหล่านี้ด้วยวิธีไหน?

 

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

 

ทำไมผู้ชายที่มีแฟนแล้วถึงยังชอบมองผู้หญิงสวย

20160117_MenLookAtBeautifulWomen

เมื่อหลายปีที่แล้ว เพื่อนร่วมงานชาวฝรั่งเศสชื่อฟรองค์มาเยี่ยมลูกน้องที่เมืองไทย ผมเลยพาเขาไปทานข้าว

ระหว่างเดินไปร้านอาหาร มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยหุ่นดีเดินผ่านเราไป ฟรองค์หันมาหาผมและชมผู้หญิงคนนั้นว่าสวยจังเลย

ผมจึงพูดปรามฟรองก์ว่า เฮ้ยนายน่ะลูกสามแล้วนะ

ฟรองก์ก็ยิ้มๆ และบอกผมว่าที่ฝรั่งเศสมีคำพูดประมาณว่า Just because you are on the diet, it doesn’t mean you can’t look at the menu – เพียงเพราะว่าคุณกำลังไดเอ็ทอยู่ไม่ได้แปลว่าคุณจะดูเมนูไม่ได้ซะหน่อย

—–

มีคนเคยถามใน Quora ว่า Is it OK to look at other women when you are married? มันโอเคมั้ยที่จะมองผู้หญิงคนอื่นทั้งๆ ที่คุณแต่งงานแล้ว

คำตอบหนึ่งที่ได้รับโหวตเยอะๆ ก็คือ

It must be OK to look at other women. It is not OK to look for other women

มันโอเคอยู่แล้วที่จะมองผู้หญิงคนอื่น แต่มันไม่โอเคถ้าคุณจะมองหาผู้หญิงคนอื่น

—–

มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของผมที่แต่งงานแล้ว แต่พอเจอผู้หญิงสวยๆ เดินผ่านทีไรก็จะออกอาการชัดเจนมาก คือตาโต ปากเผยอ และมองผู้หญิงคนนั้นไปจนกว่าจะสุดสายตา

อาการเพื่อนผมคนนี้ชัดเจนเสียจนภรรยาเขาเองก็รู้และชินแล้ว

ถึงจะกระดี๊กระด๊าทุกคร้้งที่เห็นผู้หญิงสวย ผมก็ไม่เคยเห็นเขาออกนอกลู่นอกทางเลย แต่งงานมา 9 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ยังรักกันดี

—–

ผมเคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับแฟน (ภรรยา) ว่า

“วันที่เราเลิกมองผู้หญิงสวย ก็คือวันที่เราเลิกมองผู้หญิง”

เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะถูกดึงดูดด้วยความสวยงาม

พระอาทิตย์ตกมันสวย เราก็เลยต้องมอง

ภูเขาไฟฟูจิสวย เราก็เลยต้องมอง

ผู้หญิงสวย ผู้ชายอย่างเราก็เลยต้องมอง

อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ขนาดผู้หญิงแท้ๆ ด้วยกัน เห็นผู้หญิงสวยยังต้องเหลียวเลย

ดังนั้นการมองผู้หญิงสวย จึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน

และการแต่งงาน ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อสายตาและระดับกิเลส

จริงๆ ควรจะดีใจด้วยซ้ำ

เพราะการที่เขามองเห็นความสวยในผู้หญิงคนอื่น

นั่นก็แสดงว่าเขายังมองเห็นความสวยในตัวคุณเช่นกัน

—–

ป.ล. อ้าว แล้วคนไม่สวยทำยังไงล่ะ?

ความสวยมีทั้งภายนอกและภายในนะครับ

ความสวยภายนอกจะทำให้คนมองและเข้าหา

แต่ความสวยภายในจะทำให้เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com