สิ่งที่ควรทำตอนทำงานไม่ทัน

20151123_WhenRunningOut

คือกลับบ้านให้เร็วขึ้น

ฟังดูขัดกับสามัญสำนึก เพราะถ้าทำงานไม่ทัน ก็ควรจะอยู่ออฟฟิศให้ดึกขึ้นและใส่ชั่วโมงทำงานให้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ?

แต่ถ้าเราพยายามทำงานล่วงเวลามาก็แล้วแต่ปัญหาก็ยังอยู่ นั่นอาจหมายความว่า จำนวนชั่วโมงที่เราใช้ไปกับการทำงานอาจไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่คุณภาพของชั่วโมงเหล่านั้นต่างหาก

มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ยิ่งเราทำงานโดยไม่ได้พักผ่อน ยิ่งทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดได้มากขึ้น งานที่ออกมามีเหตุให้ต้องแก้มากยิ่งขึ้นและเสียเวลามากกว่าเดิม เข้าข่ายยิ่งรีบยิ่งช้า

แต่ถ้าเรากลับบ้านแต่หัววัน มีเวลาได้ทบทวนตัวเองมากขึ้นอีกนิด เข้านอนให้เร็วขึ้นอีกหน่อย

วันถัดมาที่ทำงานแค่ 8 ชั่วโมง อาจได้งานมากกว่าเมื่อวานที่อยู่ออฟฟิศ 12 ชั่วโมงก็ได้

—–

ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก Quora: What are some uncommon ways to work smarter instead of harder?

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เชื่อใจตัวเอง

20151121_TrustYourself

“As soon as you trust yourself, you will know how to live.”

“เมื่อใดก็ตามที่คุณไว้ใจตัวเอง เมื่อนั้นคุณจะรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร”

– Johann Wolfgang von Goethe

เชื่อว่าเราทุกคนล้วนแต่ต้องเคยใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่นมาแล้วทั้งนั้น

บ่อยครั้ง ความคาดหวังนั้นก็มาจากคนที่รักเราและเรารักที่สุดอย่างพ่อแม่ คู่ชีวิต หรือทายาท

และอีกบ่อยครั้ง ที่ความคาดหวังนั้นมาจากคนที่เราไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “สังคม”

คณะที่เราเรียน เสื้อผ้าที่เราใส่ อาหารที่เรากิน และสถานที่ที่เราไป จึงอาจไม่ได้สอดคล้องกับตัวตนของเรา 100% แต่เป็นการประณีประนอมระหว่าง “ความต้องการของเรา” กับ “ความคาดหวังของคนอื่น”

และส่วนใหญ่เราก็ยินดีจะประณีประนอมเสียด้วย เพราะเชื่อว่ามันจะช่วยให้ชีวิตรื่นรมย์และมีความสุข

ซึ่งผมว่ามันก็อาจจะจริง

เว้นเสียแต่ว่าเราประณีประนอมมากเกินไป

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีเสียงที่คอยกระซิบกับเราอยู่ตลอดว่า จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร และอยากใช้ชีวิตแบบไหน

แต่ยิ่งเรามัวแต่ฟังความต้องการของคนอื่นหรือความต้องการของสังคมมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสูญเสียความสามารถที่จะได้ยินเสียงกระซิบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ทั้งๆ ที่มันก็อยู่ตรงนี้กับเราเสมอมา และเสมอไป

และผมก็เชื่อว่า คนเราจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้ ก็ด้วยการฟังและทำตามเสียงกระซิบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งหน้าที่ที่เรามีต่อคนรอบข้าง

ฟัง -> ทำ -> เชื่อ

เมื่อเราฟัง แล้วลองทำ แล้วรู้ว่ามันใช่ เราก็จะยิ่งเชื่อในเสียงกระซิบนั้น

และยิ่งเราเชื่อใจตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงนั้นก็จะยิ่งชัดขึ้น

เมื่อใจของเราเสียงดังฟังชัดแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าชีวิตจะหลงทาง

ไม่ใช่เพราะว่าเราจะตัดสินใจถูกตลอด หรือจะทำสำเร็จตลอด

แต่เพราะรู้ว่า ถึงจะทำผิดพลาด จะหกล้ม แต่นั่นก็คือทางที่เราได้เลือกเอง และเราก็ “รู้” ด้วยว่าตัวเองจะกลับมายืนหยัดใหม่ได้อีกครั้ง

แน่นอน เรายังคงได้ยินเสียงของคนรอบข้างอยู่ แต่มันจะไม่กลบเสียงข้างในของเราอีกต่อไป

เราจะเลือกเรียนคณะนี้ เพราะเราสนใจศาสตร์และวิชาชีพ ไม่ใช่เพราะแม่บอกให้เรียน

เราจะซื้อของแบรนด์เนมมาใช้ ก็เพราะว่าเราชอบมันจริงๆ ไม่ใช่เพราะต้องการเอาไปคุยอวดใคร

เราจะแต่งงาน ก็เพราะว่าเจอคนที่เราเชื่อแล้วว่าจะดูแลกันไปได้ตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะถูกใครกดดันว่าอายุขนาดนี้ต้องแต่งได้แล้ว

และหากเราจะลาออกจากงานประจำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว ก็เพราะว่าใจรัก ไม่ใช่เพราะอยากรวยเร็วๆ

เมื่อเราเชื่อใจตัวเอง ทุกการกระทำก็จะสอดคล้องกับตัวตนและคุณค่าที่เรายึดถือ

จะมีชีวิตแบบไหนทีจะรื่นรมย์ไปได้กว่านี้อีก?

—–

 

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

นิทานช่างซ่อมเรือ

20151120_FixShip

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว กษัตริย์แห่งประเทศอังกฤษมีเรือรบลำใหญ่ที่พระองค์ทรงภูมิใจในแสนยานุภาพมาก

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เรือลำนี้กลับสตาร์ทไม่ติด

กษัตริย์ประกาศให้ช่างเก่งๆ ทั่วทั้งลอนดอนมารวมตัวกันเพื่อค้นหาให้ได้ว่าเกิดอะไรผิดปกติกับเรือลำนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครซ่อมได้

กษัตริย์แห่งอังกฤษทรงกลุ้มพระทัยมาก จึงปรึกษาเสนาธิการ เสนาธิการจึงกราบทูลว่า ยังมีช่างต่อเรือที่เก่งมากๆ อีกคนหนึ่งที่อยู่นอกเมืองออกไปห้าสิบไมล์

กษัตริย์ได้ทราบดังนั้นจึงสั่งให้ม้าเร็วไปเชิญตัวมาทันที “จงไปตามตัวช่างคนนี้มาให้ได้ บอกเขาด้วยว่า ถ้าซ่อมเรือสำเร็จ จะคิดค่าซ่อมเท่าไหร่ข้าก็ยินดีจ่าย”

หนึ่งวันผ่านไป ช่างต่อเรือในตำนานก็เดินทางมาถึง เป็นลุงแก่ๆ ผอมๆ ผมหงอกเต็มหัว

คุณลุงเดินดูเรือรบที่จอดนิ่งอยู่ตรงท่าเรืออย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาของกษัตริย์ เหล่าทหารเรือ และเหล่าประชาชนที่มาร่วมลุ้นว่าช่างต่อเรือคนนี้จะทำสำเร็จหรือไม่

หลังจากเดินวนรอบเรือได้ประมาณห้านาที คุณลุงก็ไปหยุดตรงช่วงท้ายเรือด้านซ้าย หยิบค้อนเล็กๆ จากกระเป๋าของแกขึ้นมาเคาะตรงตัวเรือหนึ่งครั้ง

แล้วเสียงเครื่องยนต์ของเรือก็ดังกระหึ่มขึ้นมาทันที ตามด้วยเสียงไชโยโห่ร้องของเหล่ากองเชียร์

กษัตริย์แห่งอังกฤษทรงพอพระทัยมากจนถึงกับลงจากบัลลังก์เพื่อมาพูดคุยกับช่างเป็นการส่วนตัว

“ข้ายินดียิ่งนักที่ท่านซ่อมเรือลำนี้ได้ ไม่ทราบว่าท่านจะคิดค่าซ่อมเรือลำนี้เท่าไหร่รึ”?

คุณลุงจึงตอบไปว่า “1000 ปอนด์ พะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ถึงกับผงะ เพราะเงิน 1000 ปอนด์สมัยนั้นเทียบเท่ากับเงินหนึ่งล้านปอนด์ในสมัยนี้เลยทีเดียว

“ข้าไม่เห็นท่านทำอะไรเลย แค่เดินไปเดินมาแป๊บเดียว แล้วก็เคาะเรือหนึ่งครั้งเท่านั้นเอง”

คุณลุงยิ้มและกล่าวว่า “ค่าเคาะเรือน่ะปอนด์เดียว แต่ค่าความรู้ว่าจะต้องเคาะตรงไหน 999 ปอนด์ พะยะค่ะ” (£1 for tapping, £999 for knowing where to tap.)

—–

ขอบคุณนิทานจากพี่พีท พี่ที่เคยทำงานทีมซัพพอร์ตด้วยกัน (เล่าให้ฟังเมื่อ 7 ปีที่แล้ว)

ภาพถ่ายจากมือถือผู้เขียน 19 พ.ย. 2558

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อานนฯ อินลอนดอน ตอนที่ 5

20151119_Day5

ต้องขออภัยที่เขียนตอนนี้ช้าไปหน่อย เพราะวันที่ห้าในลอนดอนคือวันพฤหัสฯ ที่ต้องเดินทางกลับไทยครับ

 

คืนสุดท้ายผมไปพักย่าน London Paddington โดยโรงแรมที่ไปนอนชื่อว่า Tune Hotel

โรงแรมในเครือนี้มีจุดขายตรงทำเลที่ดีมากและราคาที่ไม่แพง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยห้องที่เล็กและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นอย่างๆ ไป

ผมจองโรงแรมนี้ผ่าน Agoda ในราคาหกพันกว่าบาท (ไหนว่าถูกไง!?) มารู้ทีหลังว่าราคานี้รวมสิ่งอำนวยความสะดวกไปเกือบหมดแล้ว ที่ขาดไปอย่างเดียวคือเวลาเช็คเอาท์ที่ค่อนข้างเร็วคือ 10 โมงเช้า (ถ้าจะเลทเช็คเอาท์เป็นบ่ายโมงต้องจ่ายเพิ่มอีก 15 ปอนด์) และถ้าเช็คเอาท์แล้วจะฝากกระเป๋าเอาไว้ก็คิดใบละ 2.5 ปอนด์

ห้องพักสะอาดเรียบร้อยดีครับ แม้จะเล็กแต่ก็มีครบทุกอย่าง ได้มีโอกาสชาร์จแบตร่างกายหลังจากต้องใช้พลังกับงาน Trust Women Conference ไปไม่น้อย

ค่ำวันพุธผมมีนัดเจอกับเพื่อนร่วมงานฝรั่งที่อยู่ที่นี่ ผมก็เลยถามเขาว่าถ้าเช้าวันพฤหัสผมมีเวลาสองชั่วโมง ผมควรจะเดินเล่นที่ไหนดี เพื่อนเขาเลยแนะนำมาสองที่คือ Hyde Park หรือไม่ก็ Little Venice ซึ่งทั้งสองแห่งนี้สามารถเดินจากโรงแรมไปได้เลย

ผมเลือกที่จะไป Little Venice สิบโมงเช้าเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าเอาไว้ที่โรงแรมหนึ่งใบ ส่วนเป้ก็สะพายไปเอง

ช่วงที่เดินเล่น อากาศก็เป็นใจมาก อุณหภูมิ 11 องศา มีฝนตกและรมก็แรงใช้ได้ เดินเสร็จแล้วจึงแวะเข้า Marks & Spencer และ Tesco เพื่อซื้อของสองสามชิ้นกลับไทย

เที่ยงนิดๆ ก็ต้องกลับมาโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าไปขึ้นรถไฟที่สถานี Paddington บินออกจาก Heathrow ตอนบ่ายสาม และกลับถึงไทยตอน 9.20 เช้าวันศุกร์ครับ

อานนฯ อินลอนดอนจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้ ไว้ถ้าปีหน้าได้ไปเที่ยวไหนอีกจะนำมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

20151119_100030

ด้านหน้าโรงแรม

20151119_095839

จะเอาอะไรคิดตังค์เพิ่มเป็นอย่างๆ ไป

20151118_233134

ห้องเล็กๆ แต่สะอาดสะอ้าน

20151119_101350

ทางผ่านก่อนถึง Little Venice

20151119_101628

ป้าย Little Venice

20151119_10284020151119_10471520151119_102554

20151119_100636

จักรยานเช่า

20151119_105146

ถังขยะแยกประเภท

20151119_112300

คนอังกฤษก็ดราม่าเป็น

20151119_134130

ที่สนามบินมีบอกด้วยว่าแถวไหนคิวยาวคิวสั้น

—–

ภาพถ่ายจากมือถือผู้เขียน 19 พ.ย. 2558

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อานนฯ อินลอนดอน ตอนที่ 4

20151119_Day4

 

วันนี้เป็นวันที่สองและเป็นวันสุดท้ายของการประชุม Trust Women Conference ครับ

โดยวันนี้ธีมหลักคือเรื่องการค้ามนุษย์ (human trafficking) และแรงงานทาส (modern day slavery)

จากที่เคยบอกไปเมื่อวานว่าทั่วโลกมีคนที่ตกเป็นเหยื่อของ slavery มีถึง 36 ล้านคน

โดย 70% ของแรงงานทาสนั้นกระจุกตัวอยู่แค่ 10 ประเทศเท่านั้น

ที่หนึ่งคืออินเดีย แล้ววิทยากรก็ไล่พูดที่สอง ที่สามไปเรื่อยๆ ผมก็นั่งลุ้นว่าเขาจะไม่พูดถึงประเทศไทย

ปรากฎว่าพี่ไทยมาเป็นอันดับ 10 พอดี!

แรงงานทาสส่วนใหญ่ในเมืองไทยจะอยู่ในการประมง (fishing industry) การใช้แรงงานทาสนั้นแพร่หลายมาก จนมีคนประมาณการว่า ถ้าไม่มีแรงงานเหล่านี้ ธุรกิจประมเงในเมืองไทยอาจล้มได้เลยทีเดียว

อีกหัวข้อหนึ่งที่สนุกมากคือ Cleaning the supply chain of slave labour – การดูแลแหล่งที่มาที่ไปของสินค้าให้ปราศจากการใช้แรงงานทาส

โดยการคุยแบบ panelist มีตัวแทนจากธุรกิจใหญ่ๆ อย่างเนสท์เล่ และเทสโก้มาถกกับ NGO เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างการทำกำไรและการส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน (ยอมจ่ายแพงขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้ผู้ใช้แรงงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น)

แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้บริโภคเองก็เคยตัวกับการอยากได้ของราคาถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเราอาจลืมไปว่ายิ่งเราได้ของถูกลงเท่าไหร่ คนผลิตก็โดนรีดไถมากขึ้นเท่านั้น

ช่วงห้าโมงเย็นคือช่วง Trust Women Actions ที่จะมีโปรเจ็คขึ้นมานำเสนอห้าโปรเจ็คและคนที่มาร่วมงานก็สามารถเลือกได้ว่าจะช่วยเหลือโปรเจ็คเหล่านี้ได้อย่างไร เช่นแชร์ข้อมูล บริจาคเงิน หรือช่วยเชื่อมโยงให้ได้พบกับคนหรือองค์กรที่จะช่วยให้โปรเจ็คเหล่านี้เกิดขึ้นได้

Trust Women Actions อาจจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในงาน Conference เลยก็ว่าได้ เพราะโฟกัสทีการกระทำมากกว่าแค่มานั่งคุยกันเสร็จแล้วก็ต่างคนต่างกลับบ้านไป

ก่อนจะจบงานมีการมอบรางวัล Trust Women Anti-Trafficking Hero ให้กับองค์กรที่หาญกล้าต่อกรกับการค้ามนุษย์

มีผู้เข้ารอบสี่องค์กร และองค์กรที่ได้รางวัลนี้ไปคือองค์กร Blue Dragon ของเวียดนาม โดยองค์กรนี้ได้ช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่ถูกหลอกไปขายบริการมาแล้วถึงสี่ร้อยกว่าราย ผมในฐานะคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปแสดงความยินดีกับ Van Ngoc Ta ซึ่งเป็น Chief Lawyer ให้กับองค์กรนี้

—–

งาน Trust Women Conference ช่วยให้ผมเปิดโลกทัศน์อะไรมากมาย

และประโยคหนึ่งจากการประชุมครั้งนี้ที่จะติดตัวผมไปอีกนานก็คือ

You can change the world, and if you can you must try.

เราเปลี่ยนโลกได้ และถ้าเราทำได้เราก็ต้องลองดูซักตั้งครับ

—–

ป.ล. รูปขวดน้ำที่มาประกอบอาจไม่เกี่ยวกับงาน Conference เท่าไหร่ เพียงแต่ผมเห็นว่าน่าสนใจดีที่ที่อังกฤษใช้ขวดแก้วในการใส่น้ำเปล่า ดูดีและรีไซเคิลได้ด้วย

—–

ภาพถ่ายจากมือถือผู้เขียน 18 พ.ย. 2558

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่