“Don’t go to your grave with your best work inside of you. Choose to die empty”
“อย่าตายไปโดยที่ยังไม่ได้ปล่อยงานที่ดีที่สุดของคุณออกมา จงใช้ชีวิตให้หมดแม็กซ์”
– Todd Henry
—-
ผมได้ยินชื่อหนังสือ Die Empty ของ Todd Henry มาซักพักแล้ว
และแม้จะยังไม่เคยได้อ่านหนังสือ แต่คำว่า Die Empty ก็ดึงดูดผมอย่างประหลาด
ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นการใช้ชีวิตที่เจ๋งดี
เท่าที่ดูจากคำโปรยในเว็บของผู้เขียน สิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะสื่อก็คือ เราไม่ควรนิ่งนอนใจที่จะงัดความรู้ความสามารถที่มีทั้งหมดที่เรามีออกมา เพื่อสร้างประโยชน์ต่อโลกใบนี้
เมื่อเราตายไปแล้ว จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจ เพราะเราได้ “ปล่อยของ” ออกไปหมดแล้วนั่นเอง
—
ในบล็อกฉลองครบรอบ 35 ปีที่มีชื่อตอนว่า “ครึ่งทาง” ผมได้เล่าให้ฟังว่า
ในช่วง “ครึ่งแรก” ของชีวิต ผมสวมบทบาทผู้รับซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ รับการศึกษาจากครูบาอาจารย์ ร้บทักษะการทำงานจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน รับเงินจากองค์กร และรับความรู้ใหม่ๆ ผ่านหนังสือเล่มต่างๆ
ในช่วง “ครึ่งหลัง” จึงเป็นเวลาอันสมควรที่จะเปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้ให้” ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะให้การดูแลทั้งบุพการี ภรรยา และบุตร รวมถึงให้ความรู้ที่ผมมีต่อคนอื่นๆ ที่เห็นคุณค่าและจะนำมันไปใช้ประโยชน์ได้
ผมตั้งใจมาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมของปีนี้ว่าผมจะลองเขียนบล็อกทุกวัน ซึ่งตอนแรกก็มีคำถามในใจเหมือนกันว่าม้นจะมีเรื่องให้เขียนได้ทุกวันจริงๆ เหรอ แต่สุดท้ายก็ยังรอดมาได้เกินครึ่งปีแล้ว แม้หลายๆ วันจะต้องคิดจนหัวแทบแตกก็ตาม
การเขียนบล็อกทุกวันของผมก็คือการ “ปล่อยของ” ที่ผมมี กลับสู่โลกใบนี้วันละเรื่อง และคงจะเจ๋งดีถ้าผมจะเขียนบล็อกได้ทุกวันจนถึงอายุ 70 ปี
ถึงตอนนั้นคงจะได้ Die Empty สมใจ
—
เรื่องดีๆ อีกเรื่องที่ผมไม่เคยคิดว่าการเขียนบล็อก anontawong.com จะนำมาให้ คือมันได้ไปสะกิดให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่รักและรู้จักกันมานานตั้งใจเขียนบล็อกเพื่อจะแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นกิ่ง ณัฐสิรี ที่เล่าเรื่องการลาออกจากงาน QA Engineer เพื่อไปเรียนกีตาร์อย่างจริงจังที่ประเทศอังกฤษ และเก็บประสบการณ์โหดมันฮามาเล่าให้ฟังอย่างถึงพริกถึงขิง
หรืออัม อัมรินทร์ น้องอีกคนที่เคยอยู่รอยเตอร์และเล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้นได้แบบขั้นเทพ ที่เล่าประสบการณ์การเรียนด๊อกเตอร์ด้านคอมพิวเตอร์ที่ University of Illinois Urbana-Champaign และประสบการณ์ฝึกงานที่ Google (ยังไม่ได้เขียนถึง Google แต่คาดว่ากำลังจะพูดถึงในตอนถัดไป)
(จริงๆ ต้องบอกว่าอัมนี่ชั่วโมงบินสูงกว่าผมมาก เพราะน้องเขาเขียนบล็อกมาร่วม 10 ปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้อาจจะเน้นเขียนเพื่อเป็นบันทึกให้ตัวเอง มาสังเกตว่าโพสท์หลังๆ นี่เริ่มเขียนเพื่อยังประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นสำคัญ อ้อน้องเค้าเพิ่งมี Facebook Page อิต อิ๊ส อะ แวรี่ กู๊ด ด้วยนะครับ )
ยังมีอีกสองคนคือเอก ผู้คิดค้นแคมเปญ I’m Farang กับรุ่นน้องชื่อเจที่พร่ำๆ ว่าเห็นผมเขียนบล็อกแล้วอยากจะเขียนบ้าง ซึ่งผมก็รอให้เขาลงมืออยู่เพราะสองคนนี้เป็นคนที่เล่าเรื่องสนุกมากอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่เริ่มเขียนจริงจังปีนี้ (แม้ผมอาจจะไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาก็เถอะ)
เช่นบอย ภัทราวุธ ผู้ร่วมก่อต้้งและ CTO ของ Wongnai.com ที่เล่าเรื่องการก่อเกิดของวงในเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นค้นหาร้านอาหารและแบ่งปันรีวิวที่ดีที่สุดของเมืองไทย
หรือน๊อต Dithapong กับโบ๊ต WalkingTrail ซึ่งผมได้รู้จักสมัยอยู่รอยเตอร์ทั้งคู่ ทั้งสองคนได้ไปเปิดบ้านใน storylog.co และเล่าเรื่องราวที่ชวนให้คิดตามมาหลายสิบตอนแล้ว
—-
หลายคนคงมีคำถามว่า ตัวเองก็เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้เก่งด้านใดเป็นพิเศษ มาเขียนเรื่องทั่วๆ ไปแล้วจะมีคนอ่านเหรอ?
แต่จากประสบการณ์เจ็ดเดือนที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมเชื่อแล้วว่าเรื่องดีๆ นั้นมีคนรออ่านเสมอ
เราอยู่ในโลกนี้มาตั้งหลายสิบปี ย่อมมีแง่คิดและบทเรียนที่จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นแน่ๆ อย่าปล่อยให้มันตายไปกับเราเลยนะครับ เอาออกมาเล่าให้ฟังเถอะ
อยากเห็นทุกคนมา Die Empty กันเยอะๆ ครับ
—–
ขอบคุณคำพูดจาก ToddHenry.com
ขอบคุณภาพจาก Public Domain Image
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”






Pingback: ทื่อๆ บ้างก็ได้ | Anontawong's Musings