ผู้ชายคนไหนก็แล้วแต่
หากได้ลองสวมรองเท้าส้นสูง
จะต้องรู้สึกรักผู้หญิงขึ้นเป็นกอง
– อากิฮิโร นากาตานิ
—–
ตอนเด็กๆ บ้านผมอยู่ที่หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ถนนกรุงเทพกรีฑา
ด้วยนโยบาย “เรียนใกล้บ้าน” ของแม่ ผมก็เลยได้เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด
ชื่อโรงเรียนนั้นก็คือ สมโภชกรุงอนุสรณ์ (๒๐๐ ปี) ซึ่งสมัยนั้นมีอาจารย์สอิ้ง สุทธิแสวงเป็นอาจารย์ใหญ่
ผมลองกูเกิ้ลดูเล่นๆ ก็ดันเจอรูปภาพเหล่าคณาจารย์สมัยนั้นบน Facebook ด้วย!
ภาพจาก Facebook Page: โรงเรียนสมโภชกรุงอนุสรณ์ (๒๐๐ปี)
แปลกดีที่ผมสามารถจำชื่ออาจารย์ในรูปนี้ได้ถึง 12 คน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอท่านมาหลายสิบปีแล้ว
อ.สุพจน์ อ.ปรัชญา อ.สุรพล อ.เสถียร อ.ธีรชัย อ.นิพนธ์ อ.สมควร อ.มาโนช อ.พนมวรรณ อ.วรรณา อ.สอิ้ง และอ.พูลสุข
อาจเป็นเพราะว่าสิ่งที่เรารับรู้ และเรียนรู้ตอนเด็กๆ มันฝังลึกกว่าสิ่งที่เรียนรู้ตอนโต
ทุกเช้าเราต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติกลางแดดที่ลานเอนกประสงค์
เคารพธงชาติเสร็จแล้ว จะมีอาจารย์มา “เล่าข่าว” ให้ฟังว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างในโรงเรียน และจบด้วยการให้โอวาทหรือให้คติสอนใจ
มีวันหนึ่งที่อาจารย์สุรพลมาให้โอวาท
อาจารย์สุรพลสอนวิชาพละและวิชาเลข พ่วงด้วยอาจารย์ฝ่ายปกครองที่มีไม้เรียวเป็นอวัยวะที่ 33 จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอาจารย์ที่ดุที่สุดในโรงเรียน
อาจารย์สุรพรเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องอะไรบางอย่างซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ตอนประโยคสุดท้ายหลังจากเล่าเรื่องจบ
ประโยคนั้นก็คือ “จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
เป็นคำสอนที่เรียบง่ายมาก เรียบง่ายจนน่าเบื่อเลยทีเดียว
แต่มันจริงเอามากๆ
—–
คุณอากิฮิโรบอกว่าผู้ชายควรลองใส่รองเท้าส้นสูง คล้ายๆ สำนวนฝรั่งที่ว่า Put yourself in their shoes.
คงจะดี ถ้ามีเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ชายรับรู้ความรู้สึกของผู้หญิงตอนมีประจำเดือนและตอนตั้งครรภ์ด้วย จะได้เข้าใจความลำบากและรักเพศแม่มากขึ้น
และคงจะดี ถ้าผู้หญิงมีช่องทางในการรับรู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของผู้ชายที่ต้องแบกรับภาระและความกดดันหลายอย่าง
ถ้าเราเอาใจแฟนมาใส่ใจเรา เราจะมีชีวิตคู่ที่ดีขึ้น เพราะเราจะไม่มัวคิดถึงแต่ตัวเองหรือเล่นสงครามจิตวิทยาใส่กัน
ถ้าเราเอาใจหัวหน้ามาใส่ใจเรา เราจะเจริญก้าวหน้า เพราะเราจะขยันทำงานเพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่หัวหน้ายอมจ่ายเงินจ้างเรา
ถ้าเพียงแต่เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราจะมีชีวิตที่ร่มเย็น เพราะเราจะรักษาศีลห้าได้โดยอัตโนมัติ (อาจจะยกเว้นข้อ 5)
ผมไม่รู้ว่าอาจารย์สุรพลจะมีโอกาสได้เข้ามาอ่านบทความนี้มั้ย แต่ผมอยากจะบอกอาจารย์ว่า คติสอนใจอันเรียบง่ายที่อาจารย์เคยพูดไว้หน้าเสาธงเมื่อ 25 ปีก่อน ได้ยังประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตอย่างยิ่งกับลูกศิษย์คนนี้ แถมยังเอามาเขียนลงบล็อกได้อีกด้วย (ถ้าผมเป็นอาจารย์ ผมคงภูมิใจแย่เลยนะเนี่ย!)
