เงินเป็นเพียงผลข้างเคียง

20151004_MoneyIsASideEffect

“Don’t do something just for the money. Money is a side effect of persistence. You persist in things you are interested in. Explore your interests. Then persist. Then enjoy all the side effects.”

“อย่าทำอะไรเพียงเพื่อให้ได้เงิน เงินเป็นเพียงผลข้างเคียงของความยืนหยัด และคุณจะยืนหยัดได้ก็เฉพาะในเรื่องที่คุณสนใจเท่านั้น จงค้นหาตัวเองว่าสนใจเรื่องอะไร ยืนหยัดกับมัน แล้วจึงค่อยเพลิดเพลินกับผลข้างเคียง”

– James Altucher

—–

นับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม ตอนนี้ผมเขียนบล็อกติดต่อกันมาร่วมเก้าเดือน รวมจำนวนบทความทั้งหมดก็ใกล้ๆ จะ 300 ตอนแล้ว ถือเป็นเรื่องภูมิใจพอดู

แต่ “ความสำเร็จ” ของผมถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับ Seth Godin ซึ่งเขียนบล็อกทุกวันจนครบ 6,000 ตอนเมื่อวันพุธฯ ที่ผ่านมา

ผมเองเป็นคนเห็นอะไรใหม่ๆ ก็ตาลุกวาวไปหมด สิ่งที่เคยสนใจและหมกมุ่นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็เช่นเรื่องการลงทุนและการทำแอพมือถือ ถึงขนาดซื้อหนังสือเป็นตั้งๆ และสมัครสมาชิกเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เสียเงินไปไม่ใช่น้อย

แต่มาในวันนี้ผมแทบไม่ได้แตะสองเรื่องนี้เลย ใจนึงก็คิดว่าอาจจะเพราะว่าเราไม่มีความพยายามมากพอ หรือไม่มีวินัยมากพอ

แต่เหตุผลอาจเป็นเพียงเพราะว่า ผมไม่ได้สนใจมันจริงๆ ก็ได้

การเขียนบล็อกน่าจะเป็นกิจกรรมอย่างแรกที่ผมมีความสนใจเพียงพอที่จะลงแรงกับมันมายาวนานขนาดนี้ แถมเขียนไปก็ไม่ได้ตังค์ซักกะบาท แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสุขเวลาที่เจอใครแล้วเขาเอ่ยปากว่า ตามอ่านบล็อกอยู่นะ (และส่วนใหญ่เป็นคนที่ผมมักนึกไม่ถึงด้วย!)

เขียนมาถึงตรงนี้ ผมว่าการค้นหาว่าเราสนใจเรื่องอะไรจริงๆ ก็ดูไม่ยากนะ

นั่นคือ อะไรก็ได้ที่เราพร้อมจะทำมันทุกวันแม้ไม่ได้ตังค์

อารมณ์เดียวกับบทความเรื่อง “คำถามหนึ่งล้านเหรียญ” ที่ผมเขียนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ว่าถ้าคุณมีเงินสดหนึ่งล้านเหรียญ (คือเงินไม่ใช่ข้อจำกัดอีกต่อไป) คุณจะทำอะไร? เมื่อได้คำตอบแล้ว ก็จงลงมือทำไปเลย

ตอนที่แชร์บล็อกนี้ลงเฟซบุ๊ค มีน้องคนนึงมาคุยด้วยบอกว่า “ผมอยากเตะบอลครับ แต่ไม่มีใครจ้าง เลยต้องจ้างตัวเอง”

ซึ่งก็จริงนะครับ เราหลายคนรู้อยู่แล้วว่ามี passion อะไร

คนบางคนสามารถนั่งเล่นเกมได้ทั้งวัน คนบางคนสามารถอดหลับอดนอนดูบอลคู่ดึกๆ แต่ก็จนปัญญาที่จะเปลี่ยน “ความสนใจ” เหล่านี้มาเป็นสิ่งที่จะช่วยหาเลี้ยงชีพ

เค้าว่ากันว่า คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเกิดจากการทำสิ่งที่วงกลมสามวงตัดกัน

วงกลมแรก คือสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก
วงกลมที่สอง คือเป็นสิ่งที่ตัวเองมีความถนัดหรือมีพรสวรรค์
วงกลมที่สาม สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมาก

น้องคนที่มาคุยด้วย ถึงจะชอบเตะบอลและเตะบอลเก่ง ก็ยังเป็นเพียงการ “ตัดกัน” ของวงกลมสองวงแรก แต่พอมันไม่ได้สร้างประโยชน์กับคนอื่น มันก็เลยยังใช้หาเงินไม่ได้

ยิ่งกลับมาดูตัวเองยิ่งเห็นชัด เพราะสำหรับผม การลงทุนหรือการทำแอพมันไม่ได้ตกอยู่ในวงกลมไหนซักวงเลย (อาจจะอยู่ในวงแรกแค่ชั่วคราว) จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผมบ้าได้แค่เพียงซักพักแล้วก็เลิกเห่อ

ตอนนี้มีแต่การเขียนบล็อกนี่แหละ ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ ยิ่งเขียนยิ่งถนัดมือขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมาก

ก็ได้แต่รอดูต่อไปว่าเจ้าตัว side effects ที่คุณเจมส์พูดถึงนี่มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่!

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

คนทำงานดึก 8 ประเภท

20150528_LateNightWorkers

คนทำงานดึก 8 ประเภท

เชื่อว่าทุกคนที่ทำงานในบริษัทจะมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ชอบอยู่ออฟฟิศจนดึกจนดื่นเป็นประจำ

เท่าที่ผมสังเกตดู สามารถจำแนกแจกแจงคนที่ชอบทำงานจนดึกจนดื่นออกมาได้ 8 ประเภท โดยที่บางคนอาจจะอยู่ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม

ถ้าคุณรู้จักใครที่ทำงานดึก (ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวคุณเองด้วย) ลองดูนะครับว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่กล่าวมาหรือเปล่า

1. พวกมนุษย์ค้างคาวโดยธรรมชาติ
กลุ่มนี้เราจะเห็นได้เฉพาะในองค์กรที่ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน หรือเป็นเจ้าของกิจการซะเอง เป็นพวกไม่ชอบตื่นเช้า (ซัก 8 โมงนี่ถือว่าเช้าสำหรับเขาแล้ว) เข้างานสิบโมงหรือสิบโมงครึ่ง แล้วก็ทำงานไปจนถึงสองสามทุ่ม กลับบ้านแล้วก็ยังมีชีวิตช่วงกลางคืนต่อไปจนถึงตีหนึ่งหรือตีสองถึงจะเข้านอน

2. พวกติดกับดักงานเร่งด่วน
คนกลุ่มนี้คือคนที่ใช้ชีวิตเหมือนมีไฟลนก้นตลอดเวลา พรุ่งนี้ต้องไปนำเสนองานกับลูกค้าแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มทำสไลด์เลยซักหน้า ก็เลยต้องอยู่ทำงานจนดึกจนดื่น และงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในคิวก็จะรวนไปด้วย เพราะจะ “ไม่มีเวลาทำ” จนกว่ามันจะจวนตัวจริงๆ

คนเหล่านี้มักจะเหนื่อยหนักและสุขภาพไม่ค่อยดีเพราะนอนไม่ค่อยพอ ดื่มกาแฟจัด และกินข้าวดึก

3. พวกตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน
ที่งานไม่เดินอาจจะเพราะความจำเป็นเช่นมีประชุมเยอะ หรือระหว่างวันต้องช่วยเหลือคนอื่นจนต้องเก็บงานของตัวเองมาทำตอนที่เพื่อนร่วมงานกลับบ้านไปหมดแล้ว

หรืออีกประเภทหนึ่งคืองานไม่ค่อยเดินเพราะระหว่างวันมัวแต่เมาธ์หรือเล่นเน็ตซะเพลิน รู้ตัวอีกทีก็สี่ห้าโมงเย็นแล้ว เลยต้องอยู่ปั่นงานให้เสร็จ

4. พวกทุ่มเท
มาทำงานเช้าตรู่ และกลับเป็นคนเกือบสุดท้าย ผมเรียกคนเหล่านี้ว่าซุปเปอร์แมน ทำงานเสร็จเยอะและมีแต่คนเข้ามาขอความช่วยเหลือ จนกลายเป็นขวัญใจของเพื่อนร่วมงานทุกคน

5. พวกอยากให้เจ้านายเห็นว่าทุ่มเท
พวกนี้จะไม่ขยันเท่าไหร่หรอก ตอนเย็นอาจจะไปหาอะไรกินหรือทำกิจกรรมสันทนาการจนถึงทุ่มกว่าๆ แล้วค่อยมาทำงานต่ออีกหน่อย อาจมีส่งเมล์ตอนดึกๆ บ้าง โดยแอบหวังลึกๆ ว่าเจ้านายจะเห็นว่าเราทำงานดึกแค่ไหน

ทำอย่างนี้ก็เป็นดาบสองคม เพราะเจ้านายอาจจะมองว่าที่ต้องทำงานดึกเพราะระหว่างวันไม่ค่อยทำงาน หรือจัดการเวลาไม่ดีก็ได้ หรือร้ายไปกว่านั้นเจ้านายเค้าฉลาดพอที่จะมองออกว่าเราแกล้งทำเป็นทำงานดึกไปอย่างนั้นเอง

6. พวกต้องทำงานกับฝรั่ง
ถ้าต้องทำงานกับบริษัทที่ “truly international ” การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่ยุโรปหรืออเมริกาอาจจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก เวลานัดประชุมกัน กว่าเพื่อนร่วมงานที่นิวยอร์คจะถึงออฟฟิศ ที่บ้านเราก็สองทุ่มเข้าไปแล้ว

ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยการผลัดกันอยู่ดึก เช่นเดือนนี้เรายอมประชุมตอนสองทุ่มบ้านเรา-แปดโมงบ้านเค้า ส่วนเดือนหน้าก็ประชุมแปดโมงบ้านเรา สองทุ่มบ้านเค้า หรืออีกวิธีที่นิยมใช้กันคือประชุมที่บ้านครับ เพราะส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีประชุมผ่านโทรศัพท์ที่เรียกว่า teleconference อยู่แล้ว

7. พวกติดร่างแหวัฒนธรรมองค์กร
องค์กรบางแห่งต้องทำงานดึกเป็นประจำ อย่างพวกเอเจนซี่โฆษณานี่ปั่นงานกันเลยเที่ยงคืนเป็นว่าเล่น

ถึงงานเราจะเสร็จแล้ว แต่ถ้าเพื่อนอยู่ดึก แถมหัวหน้าก็อยู่ดึก หากเรากลับเร็วก็อาจจะกลายเป็นแกะดำได้

8. พวกไม่มีชีวิตนอกที่ทำงาน
กลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่ม “ผู้หญิงเก่ง” (ทำไมเราไม่มีคำว่า “ผู้ชายเก่ง”?) ที่ทำแต่งาน จนงานกลายมาเป็นอัตลักษณ์และเป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับความสำเร็จหรือความสุขของเขา กลุ่มนี้จะน่าเห็นใจตรงที่ “ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากงาน” หรือ “ไม่รู้จะกลับบ้านเร็วไปทำอะไร” เพราะไม่มีแฟน ไม่มีงานอดิเรก ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน ก็เลยเอาเวลาและความสนใจมาลงกับงานอย่างเดียว กลุ่มนี้ดูไม่ยากเพราะหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงาน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนหรือเป็นวันอะไรของสัปดาห์

—–

ถ้าใครติดกับการทำงานดึกแล้วอยากจะออกจากวงจรนี้ ผมก็มีข้อเสนอมาให้พิจารณานะครับ

– ในกรณีที่ทีมอยู่ดึก อาจจะต้องเลิกแคร์สายตาคนอื่นบ้าง เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้าเพื่อให้เขาเข้าใจในความต้องการ/ความจำเป็นของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่า ถึงเราจะกลับบ้านเร็วแต่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเรานั้นยังเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

– ในกรณีที่คุยกับหัวหน้าแล้วเขาไม่ยอมให้เราเปลี่ยน อาจต้องลองหาทางย้ายทีมหรือย้ายองค์กร

– ในกรณีที่ตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน หรือติดกับดักงานเร่งด่วนตลอดเวลา ขอให้ลองใส่ใจกับงานที่ “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” ให้มากขึ้น เพราะมันจะทำให้เราป้องกันเรื่องเร่งด่วนได้ไม่น้อย

– ในกรณีที่ “งานเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมี” ก็ลองหาสิ่งอื่นทำดูบ้าง เช่นไปลงเรียนโยคะ เข้าคอรส์ฟิตเนส เข้ากลุ่ม Meetup หรือนัดเจอเพื่อน ผมว่านี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะทำให้ชีวิตเรามีมิติ และมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจครับ

เคยพูดไปแล้วแต่ขอพูดอีกครั้ง:

Nobody on their deathbed wished they had spent more time at the office – ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่มีใครบ่นหรอกนะว่า “แหม ฉันน่าจะใช้เวลาที่ออฟฟิศให้มากกว่านี้ซักหน่อย

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี

หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 เรื่องราวที่อาจจะช่วยให้คุณได้มองโลกในมุมใหม่ๆ ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ

20150316_RebornCover

พูดไปเถอะครับพี่

20150401_MenExpectTooMuch

Men expect too much, do too little
– Allen Tate

คนเราคาดหวังมากเกินไป ลงมือทำน้อยเกินไป
– อัลเลน เทท

—–

ใครเป็นเด็กกิจกรรมน่าจะเคยเจอคนประเภท “นาโต้”

NATO – No Action. Talk Only.

เราจะเจอคนประเภทนี้ปะปนอยู่ในกลุ่ม “อาสาสมัคร” ที่จะมาช่วยกิจกรรมเสมอๆ

ถึงนาโต้จะมีอยู่ไม่เยอะ แต่มักจะเสียงดังและพูดมากที่สุด เลยมักจะครอบงำ (dominate) การประชุมอยู่เรื่อย

พวกนาโต้ จะบอกว่าทีมงานควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงความรู้ที่พกมาเต็มกระเป๋า

แต่พอถามว่า ใครจะรับงานไปทำบ้าง นาโต้มักจะออกตัวว่าช่วงนี้ยุ่งมาก

หรือถ้ารับปากว่าจะเอาไปทำ ก็ทำออกมาแล้วไม่ได้ครึ่งอย่างที่คุยไว้

เวลาประชุม ผมจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพวกนาโต้มากนัก สิ่งที่ผมสนใจมากกว่า คือคนที่อาสาจะรับผิดชอบงานแต่ละชิ้น ว่าทำกันไหวมั้ย มีแรง-มีทักษะ-มีเวลาพอที่จะทำรึเปล่า

เพราะทำงาน “การกุศล” มันเหนื่อยนะครับ

เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมยังได้กระดูกมาแขวนคอเป็นประจำ

ถ้างานชิ้นไหนดูลำบากเกินไป ก็ต้องหาคนช่วย หรือไม่ก็ปรับเนื้องานให้มันน้อยลง อาจจะไม่เจ๋งอย่างที่พวกนาโต้คาดหวัง แต่ที่แน่ๆ คือ “คนทำงานจริงๆ” เขาสบายใจ

ส่วนพวกนาโต้ ก็ปล่อยให้เขาได้พูดไปเถอะ

แต่ตราบใดที่เขาไม่พร้อมจะลงแรง ก็อย่าไปให้น้ำหนักเขามากนักเลย

ให้เขาสุขใจในหอคอยของเขาต่อไป

วันหนึ่ง ถ้าคิดได้ คงจะปีนลงมาเอง