ลงทุนแบบ Low Risk / High Return

20150813_LowRiskHighReturn

เชื่อว่าทุกคนที่เคยลงทุนคงเคยได้ยินคำว่า Low Risk / Low Return, High Risk / High Return มานานแล้ว

นั่นคือ ถ้าไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ก็ต้องยอมได้ผลตอบแทนต่ำๆ แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นไปด้วย

พวกผู้ใหญ่ชอบแบบเซฟๆ ก็เอาเงินฝากธนาคาร หรือไม่ก็ซื้อพันธบัตร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้ผลตอบแทนไม่เกิน 5% ต่อปี

พวกคนหนุ่มสาวที่พร้อมจะเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ก็อาจลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดเงิน หรือตราสารอนุพันธ์

หรือถ้าใจร้อนยิ่งกว่านั้น (อย่างพวกวัยรุ่น) ก็อาจจะไปลงกับการแทงบอลซะเลย ถ้าถูกทีก็อาจได้ผลตอบแทนหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าพลาดก็หมดตัวได้

ในโลกของการเงิน ดูเหมือนว่าทุกการลงทุน (หรือการพนัน) อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ Low Risk/Low Return, High Risk/High Return กันทั้งนั้น

แต่ถ้าเรามอง “ผลตอบแทน” ไปไกลกว่าเรื่องของเงิน เราก็อาจจะเจอการลงทุนที่เป็น Low Risk / High Return หรือความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่น

เขียนบล็อก
คุณสามารถเริ่มบล็อกของตัวเองโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท เพียงแค่คุณเข้าไปใน wordpress.com และสมัครสมาชิก คุณก็จะมีบล็อกของตัวเองได้ภายในห้านาทีแล้ว การลงทุนเขียนบล็อกแทบจะมีความเสี่ยงต่อเมื่อเราคาดหวังสูงเท่านั้น แต่ถ้าเราเขียนบล็อกด้วยเจตนาเพียงแค่อยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีๆ หรืออยากจะจดบันทึกความคิดของเราให้คนที่เราแคร์ได้อ่าน การเขียนบล็อกก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่าเอามากๆ แล้วยิ่งถ้ามีคนเข้ามาอ่านแล้วบอกว่าบทความของเรามีประโยชน์ ก็ย่อมทำให้เราปลาบปลื้มใจในแบบที่เงินหาซื้อให้ไม่ได้

ออกกำลังกาย
ถ้าเราไม่ได้ไปเล่นอะไรที่โลดโผนหรือฝืนอะไรเกินไป การออกกำลังกายก็มีความเสี่ยงต่ำมากๆ เช่นกัน การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือปั่นจักรยานเป็นสิบกิโลแค่ลองเปลี่ยนจากขึ้นลิฟต์มาเดินขึ้น-ลง บันได หรือทำงานบ้าน ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าสมาชิกหรืออุปกรณ์ใดๆ

กล่าวขอบคุณ
ฝรั่งมีประโยคที่ว่า Take it for granted ถ้าให้แปลเป็นไทยคือการเห็นเป็นของตายหรือคาดหวังว่าจะต้องได้รับการบริการจากคนนั้นคนนี้อยู่แล้วเลยไม่ได้มองเห็นค่าเท่าที่ควร หัวหน้าผมชอบยกตัวอย่างทีม IT Support กับทีม HR ตรงที่เวลาที่พวกเขาทำงานได้ดีจะไม่มีใครชมเลย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหามักจะโดนไล่บี้จนเกือบเสียผู้เสียคน (ลองนึกภาพอินเตอร์เน็ตเจ๊งทั้งองค์กร หรือเงินเดือนออกช้าดูนะครับว่า สองทีมนี้จะโดนด่าเละแค่ไหน) คนกลุ่มนี้จึงมักจะเป็นพวก overworked, underappreciated (ทำงานหนักเกินไป คนเห็นคุณค่าน้อยเกินไป) ดังนั้นผมคิดว่าเราควรจะกล่าวขอบคุณคนเหล่านี้ให้มากกว่านี้หน่อย

นั่งสมาธิ
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเห็นเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติเขียนเรื่องการนั่งสมาธิถึงสามครั้ง และคนที่เขียนแต่ละตอนก็มาจากคนละประเทศด้วย ซึ่งนั่นแสดงว่าฝรั่งเริ่มหันมาสนใจศาสตร์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะนับถือศาสนาคริสต์ซะเป็นส่วนใหญ่

เราเองในฐานะคนไทยที่มีสัดส่วนชาวพุทธสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ย่อมรู้จักการนั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมไม่แน่ใจว่าพวกเราเองเห็นคุณค่าเรื่องการนั่งสมาธินี้แค่ไหน เพราะอะไรที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเรามัก take it for granted

แต่ผมคิดว่าการนั่งสมาธินั้นเป็นหนึ่งในกิจกรรม Low Risk / High Return แบบขั้นสุด เพราะแค่นั่งเงียบๆ เฉยๆ เพียงวันละห้านาที ก็ถือเป็นการ “ออกกำลังใจ” ที่จะช่วยให้เราคลายกังวล หลับสนิทยิ่งขึ้น หัวสมองปลอดโปร่ง เข้าใจตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน และรักษาสมดุลย์ในใจได้แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้าย ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็น “ผลตอบแทน” ที่มีค่ามหาศาล

ก่อนจะจบบทความนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้ดูการ์ตูนสองนาที ผมว่ามันเป็นวีดีโอที่อธิบายการนั่งสมาธิที่เข้าใจง่ายและลึกซึ้งเอามากๆ

ใครมีความเห็นหรือคำถามอะไรมาพูดคุยกันได้ที่ Facebook Page: Anontawong’s Musings นะครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เคล็ดลับหลับสบาย

20150720_SleepwellSecret

เกือบทุกเย็นผมจะปั่นจักรยานปันปั่นไปหาแฟนที่ตึกเอ็มไพร์ และขับรถกลับบ้านด้วยกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำเวลานั่งอยู่ในรถด้วยกัน คือถามว่า วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง 5 เรื่อง

ของแฟนผมได้แก่

1. ถึงที่ทำงานแต่เช้า ทำให้ทำงานได้อย่างมีสมาธิและงานเสร็จไปเยอะ
2. ไม่กินน้ำหวาน (หลังจากรู้ตัวว่าน้ำหนักขึ้นเร็วไปนิดจนหมอสูฯทัก)
3. ผมซื้อ Pretzel Wrap จาก Auntie Anne’s ไปให้ทาน
4. ผมต่อรองกับผู้รับเหมาสำเร็จ (ผมเจรจาไม่ค่อยเก่งเพราะใจอ่อนเกินไป)
5. ถ่ายท้องคล่อง (คุณแม่ตั้งครรภ์มักจะมีปัญหาท้องผูก)

เรื่องดีๆ ของผมได้แก่

1. ผู้รับเหมาขนของเข้าบ้านแล้ว (หลังจากใช้เวลาหามาร่วมครึ่งปี)
2. แม่ทำผลไม้ให้กิน แม้ว่าเมื่อคืนจะมีงอนกันนิดหน่อย
3. เจ้านายอนุมัติเรื่องงบงานชิ้นใหม่อย่างง่ายดายเกินคาด
4. อ่านหนังสือ The Life-Changing Magic of Tidying จบ
5. แฟนอารมณ์ดี แม้ว่าเขาจะทำงานหนักมาทั้งวัน

ถ้าใครไม่มีโอกาสทบทวนตอนเดินทางกลับบ้าน ก็ลองทบทวนด้วยการเขียนไดอารี่ก่อนเข้านอนก็ได้ครับ ได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำเพราะเรามีเวลาคิดเงียบๆ คนเดียวอย่างช้าๆ

การทบทวนแบบนี้ ผมว่ามีข้อดีสองอย่าง

หนึ่ง ทำให้เราได้ลับสมองโดยย้อนกลับไปคิดว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง
และสอง ทำให้เราเห็นคุณค่าในสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน

ที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าเราจะมีวันแย่ๆ มา เราก็ยังสามารถนึกเรื่องดีๆ ได้ครบห้าข้อได้ แม้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติซักหน่อยก็เถอะ

จริงๆ แล้วในวันแย่ๆ ยิ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนึกถึงเรื่องดีๆ ห้าข้อ เพราะมันจะช่วยเปลี่ยนมู้ดเราได้เยอะเลย ทำให้เรามีความสบายใจขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น และหลับได้สนิทขึ้นครับ

ขอบคุณปันปั่น

20150708_PunPun

เกือบทุกเช้าผมจะขับรถไปส่งแฟนที่ตึกเอ็มไพร์ แยกนราธิวาส-สาทร จอดรถที่ตึกนี้ แล้วจึงค่อยปั่นจักรยานของปันปั่นกลับมาที่ออฟฟิศที่พระราม 4

จักรยานปันปั่นคืออะไร?

มันคือโครงการของกทม.ที่ได้ติดตั้ง “สถานีจักรยาน” เอาไว้หลายจุดด้วยกัน โดยเฉพาะเส้นสาทร วิทยุ สีลม พญาไท และสุขุมวิท โดยหลังจากเราสมัครสมาชิกแล้ว เราสามารถยืมจักรยานจากสถานีหนึ่ง แล้วไปคืนที่สถานีหนึ่งได้เลย ถ้าขี่นานไม่เกิน 15 นาทีก็ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ถ้านานกว่านั้นก็คิดชั่วโมงละ 10 บาท โดยเราสามารถเติมเงินลงบัตรได้ที่ทุกสถานี

ก่อนจะมีจักรยานปันปั่น ผมต้องเดินจากตึกเอ็มไพร์ไปตึกอื้อจื่อเหลียง ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง หรือถ้านั่งมอเตอร์ไซค์ก็เสียตังค์ 40 บาท หากสัปดาห์หนึ่งใช้มอเตอร์ไซค์ซัก 3 ครั้ง ปีหนึ่งก็ใช้เงินร่วมหกพันแล้ว

พอมีปันปั่น ชีวิตก็ดีขึ้น ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็ถึงออฟฟิศ แถมยังไม่ต้องเสียเงินเลยซักบาท

ผมคิดจะเขียนบทความนี้ เนื่องจากสะกิดใจบล็อกตัวเองเมื่อวันก่อนเรื่อง 9 สาเหตุที่ลูกน้องเบื่อเจ้านาย 

โดยสาเหตุที่ทำให้ลูกน้องไม่พอใจเจ้านายบ่อยที่สุด ก็คือการไม่เห็นคุณค่าในงานที่ลูกน้องทำออกมา (Not recognizing employee achievements)

ผมว่าเราๆ ท่านๆ ก็เห็นคุณค่าของ “งานสาธารณะ” ที่คนอื่นทำให้เราน้อยไปหน่อยเหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นคนเก็บขยะที่แวะเวียนมาบ้านเราสัปดาห์ละสามหน

หรือพนักงานการไฟฟ้าที่ต้อง “ลงสนาม” เพราะหม้อแปลงระเบิดและไฟดับไปทั่วหมู่บ้าน (ผมไม่แน่ใจว่างานเค้าเสี่ยงชีวิตแค่ไหนเหมือนกัน เพราะบางทีฝนยังตกหนักอยู่แต่ไฟก็กลับมาแล้ว)

หรือพนักงานการรถไฟที่ต้องคอยกั้นรถยนต์เวลารถไฟมา

ลองคิดภาพว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้ หรือมีแต่พวกเขาบกพร่องต่อหน้าที่ ชีวิตของเราจะเดือดร้อนแค่ไหน

แต่เรากลับไม่เคยพูดขอบคุณคนเหล่านี้เลย แม้กระทั่งในใจ

อาจจะเพราะว่าเราไม่เห็นเขา หรืออาจจะเพราะว่าเราคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาก็ต้องทำอยู่แล้ว

แต่เวลาเราทำงานของเรา แล้วหัวหน้าหรือใครก็แล้วแต่มาชมเรา เราก็ชื่นใจไม่ใช่เหรอ?

ผมว่าคนที่ทำงานสาธารณะก็ควรมีโอกาสได้ชื่นใจด้วยเหมือนกัน

กลับมาที่เรื่องปันปั่นต่อ

ผมอยากจะเขียนว่าแนะนำโครงการนี้สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง เผื่อใครจะอยากคิดใช้งานดูบ้างครับ

  1. เข้าไปดูก่อนว่ามีสถานีปันปั่นอยู่ที่ไหนบ้าง จะได้รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้ใช้รึเปล่า
  2. สมัครสมาชิกโดยดูขั้นตอนได้ที่นี่ 
  3. เมื่อได้บัตรมาแล้วก็ไปใช้ได้เลย!

นี่คือหน้าตาของสถานี

????

มีแผนที่ให้เราดูว่าสถานีมีที่ไหนบ้าง

????

เครื่องยืมจักรยานและเติมเงิน

????

เมื่อกดเลือกแล้ว ให้เอาบัตรแตะตรงพื้นที่สีขาวใต้จอ

ใส่รหัสประจำตัวสี่หลัก (คล้ายๆ PIN ของบัตร ATM)

????

เลือกจักรยาน

????

เอาบัตรแตะไปที่ช่องสีแดงเพื่อให้แท่นปลดล็อคจักรยาน

????

อย่าลืมเช็คเบรค กริ่ง และอานจักรยานให้เรียบร้อย

????

พอปั่นถึงที่หมายแล้ว ก็แค่เสียบจักรยานเข้าแท่นได้เลย แต่ว่าต้องออกแรงนิดนึง เพื่อให้จักรยานเข้าไปจนสุดจนแท่นมันล็อคหัวจักรยานครับ เสียบเข้าไปแล้วลองดึงจักรยานดูก็ได้ว่ามันล็อกเรียบร้อยรึยัง จากนั้นก็เดินจากมาได้เลย

ผมใช้จักรยานปันปั่นมาร่วมปี จึงขอสรุปสิ่งที่ประทับใจและข้อปรับปรุงไว้ตรงนี้ด้วยแล้วกันนะครับ

สิ่งที่ประทับใจ

  • ใช้งานง่าย
  • มีสถานีค่อนข้างถี่ ทำให้ถ้าจักรยานหมดก็สามารถเดินไปเอาอีกสถานีนึงได้
  • ฟรี! (ถ้าขี่ไม่เกิน 15 นาที)
  • Call Center: 087 029 8888 บริการดีมาก โทร.ไปไม่เกินห้าตู๊ดก็รับสาย เจ้าหน้าที่พูดจาสุภาพ และขอบคุณเราทุกครั้งที่โทร.ไปแจ้งปัญหา
  • แอดมินเพจ PUN PUN  ก็ช่วยเหลือดีมากเช่นกัน

สิ่งที่ปรับปรุงได้

  • อยากให้หมั่นตรวจเช็คเบรค เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ตอนนี้ที่เจอคือใช้ได้แต่เบรคหน้า ส่วนเบรคหลังสึกหมดแล้ว
  • บางคันเบรคอาจยังดีอยู่ แต่ยังมีปัญหาเบรคแล้วเสียงจี๊ดแสบหู จนเราไม่กล้าใช้เบรค
  • ระบบยังล่มประมาณเดือนละสองสามครั้ง ถ้าเสถียรกว่านี้ได้จะแจ่มมาก
  • แท่นจักรยานบางแท่น มีจักรยานจอดอยู่ แต่มันไม่ขึ้นโชว์ให้เราเลือก
  • แท่นจักรยานบางแท่น มีจักรยานจอดอยู่ แต่ดึงจักรยานออกไม่ได้ เหมือนแท่นมันล็อคค้างไว้
  • หน้า Login ของสมาชิก ควรจะมีปุ่ม “Forgot password?” เพื่อให้เราสามารถรีเซ็ตพาสเวิร์ดได้
  • ควรจะมี feature ให้เราเปลี่ยนพาสเวิร์ดเองได้ด้วยครับ (ตอนนี้ต้องติดต่อไปที่ทางเพจ PUN PUN อย่างเดียวเลย)

ผมบอกเรื่องที่จะปรับปรุงมาเยอะกว่าข้อดี แต่จริงๆ แล้วผมพอใจกับจักรยานปันปั่นมากนะครับ ให้คะแนน 8 เต็ม 10 เลย

สุดท้ายนี้ ผมต้องขอขอบคุณกทม. และทีมงานจักรยานปันปั่นทุกๆ คน ที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผมรวมถึงอีกหลายร้อยคนในกรุงเทพดีขึ้นครับ

– จากใจแฟนคลับปันปั่นคนหนึ่ง

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings