สบตากับความจริง

20151107_TruthSetFree

The truth will set you free, but first it will piss you off.

ความจริงจะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ แต่ก่อนหน้านั้นมันจะทำให้คุณเสียอารมณ์ซะก่อน

– Gloria Steinem

—–

บ่อยครั้ง ที่ผมพบว่าตัวเองไม่ค่อยกล้าสบตากับความจริง

อย่างวีดีโอที่ไปออกรายการโฮมรูมเรื่องจัดบ้านแบบคอนมาริเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว จนบัดนี้ผมก็ยังไม่กล้าดู เพราะเขินตัวเองที่พูดเร็วและฟังไม่รู้เรื่อง

เวลาเล่นดนตรีในงานประจำปี เราจะมีอัดเสียงไว้ ผมก็ไม่ค่อยกล้าเปิดฟัง เพราะกลัวว่าตัวเองเองจะร้องเพลงเพี้ยน

หรือบางเดือนที่รายจ่ายทำท่าจะมากกว่ารายได้ ผมก็มักไม่ค่อยเตรียมตัวเรื่องเงินในบัญชีให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

มานั่งวิเคราะห์ตัวเอง ที่เราไม่กล้าเผชิญความจริงก็น่าจะเป็นเพราะมันดันขัดแย้งกับตัวตนที่เราวาดขึ้นมา ว่าเป็นคนพูดรู้เรื่อง ร้องเพลงเพราะ และมีเงินใช้ไม่ขาดมือ

หรืออีกคำอธิบายหนึ่งก็คือ ผมอาจจะพยายามหลีกเลี่ยง “ความเจ็บปวด” ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่หวังไม่ตรงกับสิ่งที่เป็น

พูดง่ายๆ ก็คือขี้ขลาดนั่นเอง

สมองรู้ดีว่าการสบตากับความจริงจะทำให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์และเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง เป็นสิ่งที่เป็นคุณกับเราในระยะยาว

แต่หัวใจของเรากลับกลัวจะเจ็บปวด กลัวจะต้องอารมณ์เสีย และกลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตัวเอง

เขียนบล็อกตอนนี้จบ ผมว่าจะจัดการเรื่องที่ผัดวันไว้มานานให้เรียบร้อยซะหน่อย

เพราะยังไงๆ ความจริงก็เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว จริงมั้ยอานนทวงศ์?

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

น่ากลัวก็น่าลอง

20150906_IfItScaresYou

If it scares you, it might be a good thing to try.

ถ้ามันน่ากลัว มันก็น่าลอง

– Seth Godin

—–

น่ากลัวในความหมายของเซ็ธ โกแดง ไม่ใช่น่ากลัวแบบบ้านผีสิงนะครับ

แต่น่ากลัวในแบบที่ทำให้เราสึกว่าว่า เออ เราจะทำได้มั้ยนะ

การพูดต่อหน้าคนเยอะๆ

การอาสารับงานที่ไม่เคยทำมาก่อน

การเดินเข้าไปทักทายคนที่เราอยากคุยด้วยมานาน

หรือการเขียนความคิดของเราลงบล็อกให้โลกทั้งใบได้เห็น (พร้อมด้วยคำชมและคำวิจารณ์)

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราใจเต้นเร็วกว่าปกติ และอาจกังวลจนถึงขั้นนอนไม่หลับเลยก็ได้

แต่อย่าลืมว่า เราเคยผ่านสิ่งที่เรา “เคย” ทำไม่ได้มานักต่อนักแล้ว

ตอนหัดปั่นจักรยานสองล้อ เราได้แผลมาตั้งเท่าไหร่

ตอนลงสระครั้งแรก เราสำลักนั้ำไปกี่รอบ

ต้องขอบคุณตัวเองในตอนนั้นที่ไม่ยอมแพ้ และพยายามจนกระทั่งเราสามารถปั่นจักรยานและว่ายน้ำได้โดยแทบไม่ต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ

ถ้าตอนเด็กๆ เราถอดใจง่ายๆ เหมือนตอนเป็นผู้ใหญ่ ป่านนี้ก็คงยังว่ายน้ำไม่เป็น

เรื่องที่ทำให้เรากลัวในตอนนี้ ถ้าเราลองเผชิญหน้ากับมันซักตั้ง

หรือสองตั้ง-สามตั้ง-สี่ตั้ง เหมือนที่เราทำสมัยหัดปั่นจักรยาน

ร่างกายและจิตใจก็จะเริ่มเคยชินกับสิ่งที่เราคิดว่าน่ากลัว

และนั่นก็หมายถึงว่าเราได้เติบโตขึ้นอีกนิดนึงแล้ว

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

กลัวไปสองไพเบี้ย

20150725_FearNotPreventDeath

“Fear does not prevent death. It prevents life.”

ความกลัวไม่ได้ป้องกันความตาย มันปิดโอกาสไม่ให้เราได้ใช้ชีวิตต่างหาก

– Naguib Mahfouz

—–

เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว สมัยเรายังเป็นมนุษย์ถ้ำ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสิงห์สาราสัตว์และหาอาหารด้วยการออกท่องเที่ยวไปในป่าเขา

เมื่อเราพบเจอสิ่งแปลกปลอม เช่นเสียงบางอย่างในพุ่มไม้ เราจะต้องหันไปมองทันทีว่าเสียงนั้นเกิดจากอะไร

ถ้าเห็นว่าเป็นกระต่าย เราก็จะวิ่งเข้าหาเพื่อล่ามันมาทำเป็นอาหารให้ครอบครัวของเรา

แต่ถ้าเป็นเสือ เราก็ต้องวิ่งหนีให้เร็วที่สุดเพื่อรอดจากการเป็นอาหารให้ครอบครัวของมัน

ด้วยความที่มนุษย์เคยอยู่ “ระดับกลาง” ของห่วงโซ่อาหารเช่นนี้เอง ร่างกายและสมองของเราจึงพัฒนาความรู้สึกที่เรียกว่า “ความกลัว” ขึ้นมา

—–

ภาษาฝรั่งจะมีคำว่า Fight or Flight

Flight ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเที่ยวบิน แต่หมายถึงการหนี

Fight or Flight ก็คือจะสู้หรือจะหนี

เวลาที่มนุษย์ถ้าได้ยินเสียงแปลกๆ ในพุ่มไม้ เขาต้องตัดสินใจแล้วสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้นอ่อนแอกว่าหรือแข็งแรงกว่า

ถ้ามันอ่อนแอกว่า เราก็จะเลือกที่จะสู้ (Fight)

แต่ถ้าประเมินแล้ว “ศัตรู” น่าจะแข็งแรงกว่า เราจะรู้สึกกลัว และวิ่งหนี (Flight)

“ความกลัว” จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเอาชีวิตรอดและดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์

—–

ตัดกลับมาในสมัยนี้

มนุษย์ส่วนใหญ่ออกมาอยู่ในสังคมเมือง และไม่ต้องหากินด้วยการล่าสัตว์อีกต่อไปแล้ว

แม้สังคมและสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ในทางชีวภาพเราก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากกับบรรพบุรุษมนุษย์ถ้ำของเราเลย

“ต่อมความกลัว” ที่เคยจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตเมื่อหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ตอนนี้มันก็ยังคงทำงานอยู่ ทั้งๆ ที่จริงๆ ชีวิตประจำวันของเราไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว

ลองยกตัวอย่างสิ่งที่เรากลัวดูก็ได้

กลัวการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ
กลัวใครจะมาเห็นหน้าสด
กลัวการทำงานประจำไปจนแก่
กลัวออกมาทำธุรกิจเองแล้วจะเจ๊ง
กลัวลูกไม่ได้เข้าโรงเรียนดีๆ
กลัวไม่มีเงินใช้ตอนแก่
กลัวว่าถ้าขาดคนๆ นี้ไปแล้วจะอยู่ไม่ได้
กลัวว่าถ้าฟีดแบ็คหัวหน้าแล้วจะหมดอนาคต
กลัวว่าไปเที่ยวต่างประเทศแล้วจะเก็บเงินไม่ได้ตามเป้า
ฯลฯ

และบางทีความกลัวเหล่านี้ก็ผลักดันที่เราทำอะไรไม่ฉลาดออกไป

หรือแย่กว่านั้น คือไม่ยอมทำอะไรเลย

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ต่อให้เราพูดต่อหน้าคนออกมาได้ห่วยแค่ไหน หรือใครมาเห็นหน้าสดของเรา หรือหัวหน้าไม่พอใจที่เราพูดกับเขาตรงๆ โอกาสที่เราจะ “รอดชีวิต” จากเหตุการณ์ที่เรากลัวก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 99.99%

Fear does not prevent death. It prevents life.

จริงอยู่ ในสมัยก่อน ความกลัวอาจช่วยชีวิตคุณได้

แต่สำหรับสมัยนี้ ความกลัวจะทำให้คุณพลาดอะไรดีๆ ไปอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงแล้วว่า สิ่งที่เรากลัวนั้นมีโอกาสส่งผลร้ายแรงได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่น และถ้าเราข้ามความกลัวนั้นไปได้ ก็จะมีสิ่งดีๆ รออยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

อย่าปล่อยให้ความกลัวมาทำให้คุณอดใช้ชีวิตเลยนะครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ความโกรธเป็นเพียงเสื้อคลุม

20150622_AngerUniform

Anger is just the uniform of fear

ความโกรธเป็นเพียงเครื่องแบบของความกลัว

– James Altucher

—–

หนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมากตอนหนุ่มๆ คือเรื่อง Conversations with God เขียนโดย Neale Donald Walsch และได้รับการแปลเป็นไทยภายใต้ชื่อ “สนทนากับพระเจ้า” โดยสำนักพิมพ์ Oh My God!

พระเจ้าถามนีลว่า รู้มั้ยว่าอะไรที่ตรงข้ามกับความรัก?

ปรากฎว่าคำตอบไม่ใช่ความเกลียด

พระเจ้าบอกว่า อารมณ์ที่ตรงข้ามกับความรักคือความกลัว

และ “รัก” กับ “กลัว” คือสองอารมณ์พื้นฐานที่สุดของมนุษย์

ส่วนอารมณ์หรือการกระทำอื่นๆ ล้วนต่อยอดมาจากสองอารมณ์นี้ทั้งนั้น

เพราะความเมตตาก็มาจากความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
ความกล้าก็มาจากความรักในสิ่งที่ตัวเองต้องการปกป้อง
ความขยันและมุมานะก็มาจากความรักที่จะให้ชีวิตหรือผลงานออกมาดี

แล้วความกลัวล่ะ?
คนเราหึง ก็เพราะว่ากลัวแฟนจะไปมีคนใหม่
คนเราโกหก เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ความจริงจะโดนลงโทษ
คนเราโกรธ เพราะมีใครมาทำให้ “ตัวตน” ของเขากระทบอย่างรุนแรง และความกลัวที่ “ตัวตน” จะเสียหายนี่แหละ จึงต้องสร้างความโกรธขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง

—–

บริษัทเคยส่งผมเข้าเรียนวิชา EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ที่สอนโดย Dr.Leonard Yong 

ผมจำสิ่งที่เขาสอนไม่ค่อยจะได้แล้ว แต่บทเรียนที่ผมจำได้กลับเป็นเรื่องที่เขาแชร์ให้ฟังเล่นๆ

เขาถามพวกเราว่า ผู้ชายรับมือกับแฟนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยังไง?

เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า เวลาผู้หญิงหงุดหงิด โวยวายใส่ฝ่ายชาย แล้วบอกว่า “ไปเลยนะ ไปไกลๆ เลย” ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เดินหนีไปจริงๆ อาจจะเพราะรำคาญ หรืออาจจะเพราะหวังดีจริงๆ เลยหายหน้าไปตามคำขอ

แต่ดร.ลีโอนาร์ดบอกว่า อย่าเดินหนีไปเด็ดขาด เพราะจะทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม!

วิธีที่ได้ผลกว่า คือเขยิบเข้าไปใกล้แฟนที่กำลังโกรธ

แล้วกอดเธอครับ

อาจจะโดนทุบบ้างซักสองสามที แต่ยังไงก็ดีกว่าเดินหนีไปตอนเธอโกรธแน่นอน

—–

ตอนเรายังเด็ก เวลาเรากลัวผี การมีใครซักคนมากอดเรานี่ช่วยให้หายกลัวไปได้เยอะเลย

ถ้าความโกรธเป็นเพียงเครื่องแบบหรือเสื้อคลุมที่อำพรางความกลัว

การที่แฟนกำลังโกรธเราก็อาจจะเป็นเพราะเธอกำลังกลัวอะไรบางอย่าง

ดังนั้น โกรธเมื่อไหร่ ก็กอดเมื่อนั้น!

ลองแล้วได้ผลลัพธ์ยังไงมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ