
เมื่อนานมาแล้ว ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ผมจำเนื้อหาไม่ได้แล้ว แต่ประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ลางๆ ก็คือ
“การตัดสินใจนี้อาจจะผิดในแง่นิติศาสตร์ แต่ถ้ามองด้วยเลนส์ของรัฐศาสตร์แล้วก็นับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
ประโยคนี้เปลี่ยนความคิดของผมที่เป็นคนชอบตัดสินว่าอะไรถูกผิด ให้กลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าเรากำลังใช้เลนส์แบบไหน
ในเรื่องเดียวกัน ถ้าใช้เลนส์ A ก็อาจจะบอกว่าเรื่องนี้ผิด แต่ถ้าใช้เลนส์ B ก็จะมองว่าเรื่องนี้ถูก
คนที่มีเลนส์ไม่มากนัก หรือยึดติดกับเลนส์ใดเลนหนึ่งมากเกินไป ก็อาจจะเสียโอกาสหรือแม้กระทั่งเสียเพื่อนเพราะทะเลาะกันโดยไม่คิดที่จะมองผ่านเลนส์คนอื่น
Charlie Munger ผู้ล่วงลับ คืออดีตมือขวาของ Warren Buffett นักลงทุนในตำนาน
สิ่งหนึ่งที่ Munger พูดเสมอ คือการสะสม mental models ซึ่งเปรียบเสมือนเลนส์ในการมองโลก
แม้จะเป็นนักลงทุนที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเงินเป็นหลัก แต่ Munger ชอบอ่านหนังสือจากหลายแขนงวิชา ทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ชีววิทยา จิตวิทยา และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเขาเชื่อว่าการเอาความรู้ต่างๆ มาผสมกันจะมีคุณค่ามากกว่าความรู้ที่แยกกันอยู่โดดๆ
Tren Griffin ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ Munger ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า บริษัทหนึ่งตัดสินใจขึ้นราคาสินค้าของตัวเอง แต่กลับขายของได้มากขึ้น
ปรากฏการณ์นี้ไม่ make sense เอาเสียเลยถ้ามองด้วยเลนส์ของเศรษฐศาสตร์ ที่มองความสัมพันธ์ระหว่างซัพพลายกับดีมานด์ แต่ถ้าเรามองด้วยเลนส์ของจิตวิทยา เราจะเข้าใจว่าลูกค้ามักจะมองว่าราคาที่แพงแปลว่าของน่าจะมีคุณภาพดี ก็เลยมีลูกค้าซื้อมากขึ้น
ผมเป็นแฟนหนังสือของ Dan Brown เล่มแรกที่อ่านคือ The Da Vinci Code ก่อนจะกลับไปไล่อ่านหนังสือของเขาครบทุกเล่ม
นิยายของ Dan Brown คือ action thriller ที่พาไปรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของสถานที่ต่างๆ แต่ก็มักจะถูกค่อนแคะว่าตัวละครไม่มีมิติและบทพูดดูเชยๆ ไม่สละสลวย
ตอนนี้ผมกำลัง “ฟัง” หนังสือเล่มล่าสุดของเขาอยู่ ชื่อว่า The Secret of Secrets ที่ดำเนินเรื่องราวในกรุงปรากแห่งสาธารณรัฐเช็ก
พระเอกยังคงเป็นโรเบิร์ต แลงดอนเหมือนเดิม (พูดแล้วก็นึกถึงหน้าทอม แฮงค์ขึ้นมาทันทีเพราะแสดงหนังจากนิยาย Dan Brown หลายเรื่อง)
ส่วนนางเอกรอบนี้ชื่อ Katherine Solomon ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านจิตสำนึก (Noetic scientist) ที่มองว่าจิตสำนึก – หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ – ไม่ได้อยู่ในร่างกายคน (non-local models of consciousness) แต่เป็น “จิตสำนึกสากล” (universal consciousness) ที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง สมองของคนเราเป็นเหมือนวิทยุที่จูนคลื่นเข้ากับจิตสำนึกนี้ได้เท่านั้นเอง
หัวข้อที่ Noetic scientist ศึกษาก็เช่นเรื่อง โทรจิต (telepathy) และการหยั่งรู้ล่วงหน้า (precognition) ซึ่งจากมุมคนไทยก็อาจจะมองว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหรือเป็น pseudoscience รึเปล่า
ในบทที่ 72 มีบทสนทนาของแลงดอนและแคทเธอรินที่ผมชอบมาก โดยแคทเธอรินรู้ตัวดีว่าวงการที่เธออยู่นั้นมี replication crisis นั่นคือพอมีการทำงานวิจัยแล้วได้ผลทดลองแบบหนึ่ง แต่พอนักวิจัยกลุ่มอื่นลองทำการทดลองเดิมอีกครั้ง กลับไม่อาจได้ผลลัพธ์แบบเดิม
พอเป็นการทดลองที่ไม่อาจทำซ้ำได้ นักวิทยาศาสตร์ด้านจิตสำนึกที่ทำการทดลองเหล่านี้จึงถูกสังคมตั้งคำถามว่ากุเรื่องขึ้นมาหรือดัดแปลงผลการทดลองหรือไม่ คุณกำลังหลอกลวงประชาชนอยู่รึเปล่า
จากนี้ไปคือบทสนทนาบางส่วนของแลงดอนและแคทเธอรินครับ
แคทเธอริน: ถ้านักกีฬาโอลิมปิกคนหนึ่งสร้างสถิติโลกขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังไม่มีใครทำเหมือนกับนักกีฬาคนนั้นได้ เรากลับไม่เคยสงสัยว่ากล้องโทรทัศน์หลอกตาเรา หรือผู้ชมเกิดอาการประสาทหลอนไปเอง เราก็แค่มองว่ามันเป็นผลงานที่สุดยอดเท่านั้น เพียงเพราะเราไม่สามารถทำสิ่งเดียวกันซ้ำได้อีก ไม่ได้แปลว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักหน่อย
แลงดอน: ก็ฟังดูยุติธรรมดี แต่นั่นมันโลกกีฬา สิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำซ้ำได้ (repeatability) เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เหรอ
แคทเธอริน: ใช่ และฉันก็เห็นด้วยว่าความสามารถในการทำซ้ำได้เป็นภาระที่สมเหตุสมผลสำหรับการทดลองระดับ macro แต่โลกควอนตัมไม่ได้ทำงานอย่างนั้นสักหน่อย นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระดับควอนตัมเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ – เอาที่จริงแล้ว “ความไม่แน่นอน” นี่แหละคือคุณลักษณะของโลกควอนตัมที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันมากที่สุด
แลงดอน: ก็จริง
แคทเธอริน: โลกควอนตัมคือโลกของความไม่แน่นอน — ทั้งความผันผวนของควอนตัม (quantum fluctuations), การลอดอุโมงค์ควอนตัม (quantum tunneling) ความโกลาหล (chaos), ภาวะซ้อนทับ (superpositions), และทวิภาวะ (dualities) พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะกฎฟิสิกส์แบบดั้งเดิมไม่อาจใช้ได้กับโลกนี้
แลงดอน: โอเค แล้วเรื่องจิตสำนึกล่ะ?
แคทเธอริน: จิตสำนึกไม่ได้เป็นอวัยวะที่จับต้องได้ในร่างกายของเรา มันดำรงอยู่ในขอบเขตของโลกควอนตัม จึงเป็นเรื่องยากเกินที่จะคาดเดาหรือทำซ้ำ (extremely difficult to observe with any predictability or repeatability.) คุณสามารถใช้จิตสำนึกสังเกตลูกบอลที่กระดอนอยู่ได้ แต่เมื่อคุณใช้จิตสำนึกเพื่อสังเกตจิตสำนึกของตัวเองมันย่อมจะวนหลูปไม่รู้จบ เหมือนการพยายามดูว่าตาของตัวเองสีอะไรโดยไม่มองกระจก แม้ว่าคุณจะฉลาดหรือพยายามแค่ไหนคุณก็ไม่มีทางรู้
ผมชอบมุมมองของแคทเธอรินเพราะมันชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของวิทยาศาสตร์ – อย่างน้อยก็เป็นจุดอ่อนของฟิสิกส์แบบนิวตัน (Newtonian physics) ที่เราคุ้นเคยกันว่าโลกและจักรวาลนี้นั้นสามารถจับใส่สมการได้ และถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าอะไรจริงหรือไม่ เราก็ต้องทำซ้ำๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร้ข้อกังขา
ด้วยกรอบความเชื่อแบบนี้ หลายคนจึงคิดว่าเรื่องของจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ ไม่สมเหตุสมผล พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้คุณค่าหรือน้ำหนักมากมายนัก
แต่พอแคทเธอรินชี้ให้เห็น (ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้) ว่าถ้าเรื่องของจิตใจ จิตสำนึก หรือจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของโลกควอนตัม การเรียกร้องให้ “เอามาพิสูจน์และทำซ้ำ” ก็เหมือนกับการพยายามเอาน้ำกับน้ำมันมาผสมกัน
Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money เคยทวีตไว้ว่า
“A lot of financial debates are just people with different time horizons talking over each other.”
พอแต่ละคนใช้เลนส์ไม่เหมือนกัน มันก็เลยถกเถียงกันได้ไม่รู้จบ
เวลาที่เราเห็นใครมีความคิดความเห็นที่ไม่เหมือนกับเรา เรามักจะด่วนสรุปว่าเพราะเขาจิตใจไม่ดี หรือเพราะเขาไม่ฉลาด ซึ่งการด่วนสรุปแบบนี้ก็ดูไม่ฉลาดเท่าไหร่เพราะมันจะทำให้เรากลายเป็นคนใจแคบ ขาดความเมตตา และตัดโอกาสที่เราจะเข้าใจคนอื่นและเข้าใจโลกได้มากกว่านี้
ผมจึงคิดว่าเราควรทำตัวเหมือนอาจารย์เสกสรรค์และ Charlie Munger ที่เป็นนักสะสมเลนส์หรือ mental models ที่หลากหลาย เพื่อจะได้มีความสามารถในการมองเรื่องเดียวกันจากหลายมุม และเลือกใช้เลนส์ที่เหมาะสมเพื่อบรรลุสิ่งที่เราประสงค์
เหมือนที่หลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด
ที่มันไม่เมคเซนส์ อาจเพราะเรายังมีเลนส์ไม่พอครับ



