ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ที่อ่านบล็อกนี้ยังไม่รู้จัก Sean D’Souza (อ่านว่า “ฌอน เดอ ซูซ่า”*) หรือไม่ก็เพิ่งได้ยินชื่อเขาในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมเองก็ไม่เคยรู้จักฌอนจนกระทั่ง ‘ทอย DataRockie‘ ชวนไปเข้าเวิร์คช็อปกับเขาเมื่อวันอาทิตย์
ฌอนเป็นผู้เขียนหนังสือ The Brain Audit – ฟังตอนแรกนึกว่าเป็นหนังสือแนว productivity หรือ neuroscience แต่เปล่าเลย มันคือหนังสือด้าน marketing ที่ได้ 4.46 ดาวบน Goodreads (574 ratings & 56 reviews)
คะแนนสูงมาก แต่คนรีวิวยังไม่เยอะเมื่อเทียบกับหนังสือ bestseller อื่นๆ แถมยังเป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2009
ก่อนเข้าเวิร์คช็อป ผมลองไปหาหนังสือเล่มนี้ในเว็บร้านหนังสือภาษาอังกฤษก็หาไม่ได้ โชคดีที่ฌอนและเรนูก้า (ภรรยา) นำติดมือมาที่เวิร์คช็อปด้วย และข่าวดีก็คือสำนักพิมพ์วีเลิร์นเพิ่งเอามาแปลไทยและจะวางตลาดเร็วๆ นี้
หลังจากได้เรียนและได้นั่งคุยกับฌอน จึงรู้ว่าเขาคือช้างเผือก (hidden gem) และเป็นคนที่สองในชีวิตที่หลังจากได้พบกันครั้งแรกแล้วทำให้ผมอุทานในใจว่า “He has his life figured out.” (คนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้คือพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผม)
ช่วงนี้คงจะมีคนเขียนสรุป The Brain Audit ออกมาเรื่อยๆ ลองไปชิมลางได้ที่เพจ ‘DataRockie‘ ‘สรุปไปเรื่อย by ทนายกอล์ฟ‘ และ ‘BenNote‘ ครับ
ส่วนผมเอง แทนที่จะสรุปหนังสือ ผมอยากจะยก 3 ประโยคฝังใจที่ได้ยินจากฌอนมาเล่าสู่กันฟังครับ
“People think they want more information. What they actually want is results.”
ผมว่านี่เป็นประโยคที่สำคัญมากทั้งสำหรับผู้สอนและนักเรียน
ว่าเราไม่ได้สอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้มากขึ้น และการที่เราเรียนเราก็ไม่ได้อยากมีความรู้มากขึ้นนักหรอก
สิ่งที่เราต้องการคือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ หรือพูดง่ายๆ คือเห็นความเปลี่ยนแปลง
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Theodore Levitt อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ดผู้ล่วงลับ
“People don’t want to buy a quarter-inch drill. They want a quarter-inch hole.”
คนเราไม่ได้ต้องการซื้อสว่าน เขาต้องการเจาะรูต่างหาก
ซึ่ง Seth Godin ที่เป็นกูรูด้านการตลาดอีกคนก็ชวนคิดต่ออีกว่า สว่านเป็นเพียง feature เป็นเพียงสิ่งที่พาเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือรูบนกำแพงต่างหาก
แต่ถ้ามองให้ลึกไปยิ่งกว่านั้น คนเราไม่ได้ต้องการแค่รูบนกำแพง เราต้องการติดตั้งชั้นวางของ หรือไม่เราก็ต้องการความรู้สึกที่ว่าบ้านนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นเมื่อเอาของขึ้นไปเก็บไว้บนชั้นแล้ว และเราก็ยังอยากรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ได้ติดตั้งชั้นนี้ด้วยตัวเอง และอยากให้ภรรยาชื่นชมว่าเราก็มีฝีมือเรื่องงานช่างอยู่เหมือนกัน
จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากซื้อสว่าน สิ่งที่เราอยากซื้อคือความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและความอิ่มอกอิ่มใจต่างหาก
ในฐานะคนใฝ่รู้ บางทีเราก็สนุกกับการเรียนจนเพลิน จนเราลืมไปเลยว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร ยิ่งถ้าเราเป็นพวกชอบเข้าคอร์ส ชอบซื้อหนังสือพัฒนาตนเองอยู่แล้วด้วย เราอาจจะเผลอปล่อยให้การเรียนรู้มาบดบังการลงมือทำไปเลยก็ได้
และในฐานะคนสอน บางทีเราก็มัวแต่โฟกัสแต่สิ่งที่อยากสอนมากเกินไป โดยลืมคำนึงว่าแท้จริงแล้วคนที่มาเรียนเขาไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ แต่เขาต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหรือในธุรกิจของเขาต่างหาก
ถ้าเราจับหลักนี้ได้ เราจะเป็นคนสอนที่มีนักเรียนมาเรียนซ้ำอยู่เรื่อยๆ
และถ้าเราจับหลักนี้ได้ เราจะเป็นนักเรียนที่ไม่ได้แค่เรียนเอามัน แต่เรียนเพื่อนำมันไปสร้างคุณค่าให้กับตนเองและผู้อื่นได้อย่างแท้จริง
“Success in my workshop is measured by the energy of my students at the end of the class.”
หลังจบเวิร์คช็อปตอนห้าโมง ฌอนถามผมว่าสังเกตมั้ยว่า แม้นักเรียนเกือบ 80 คนมาเริ่มเรียนตั้งแต่ 8.32** แต่ไม่มีใครหมดแรงเลย ทุกคนเดินออกจากห้องโดยยังมีพลังงานอยู่เต็มเปี่ยม เขาบอกว่านี่แหละคือหนึ่งในมาตรวัดว่าเวิร์คช็อปที่เขาจัดนั้นเป็นเวิร์คช็อปที่ดีหรือไม่
เวิร์คช็อปหรือเทรนนิ่งส่วนใหญ่ ถ้ากินเวลาทั้งวัน เรามักจะเดินออกจากห้องด้วยความสะโหลสะเหล เพราะเนื้อหาอันมากมายที่สมองประมวลไม่ทัน
ฌอนเล่าว่าเขาเคยเป็นคนสอนที่อัดความรู้เท่าที่เขามีให้กับนักเรียน พูดอยู่คนเดียว 3 ชั่วโมงเต็ม นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าหลับคาห้องฌอนก็ยังไม่รู้เรื่อง มาภายหลังจึงตระหนักว่าวิธีนี้ไม่น่าเวิร์ค จะมีประโยชน์อะไรที่เราใส่เนื้อหาไปมากมายแต่คนเรียนกลับจำได้นิดเดียว
ฌอนบอกว่าตอนที่เขาสอนวันนี้เห็นหลายคนจดโน้ตกันจริงจัง แต่เขาไม่ได้สนใจหรอกว่านักเรียนจะจดโน้ตเยอะแค่ไหน หรือจะกลับไปอ่านทบทวนหรือไม่ เขาชี้ไปที่หัวตัวเองแล้วพูดว่า “สิ่งที่ผมสนใจคือนักเรียนจำเนื้อหาที่ผมสอนโดยไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่านโน้ตได้แค่ไหน”
ซึ่งผมก็พบว่าตัวเองจำเนื้อหาหลักๆ ของ The Brain Audit Workshop ได้เกือบหมด การเรียนการสอนอาจจะยาวประมาณ 7 ชั่วโมง แต่ฌอนพูดเนื้อหาในสไลด์ไม่เกินชั่วโมงกว่า ที่เหลือเป็นกิจกรรมกลุ่มที่ให้พวกเราวิเคราะห์และพูดคุยถึงปัจจัยทั้ง 7 ข้อที่จะทำให้ลูกค้าเลือกซื้อของจากธุรกิจของเรามากกว่าคู่แข่ง
ฌอนเปรียบการเรียนการสอนเหมือนวงออเคสตร้า ผู้สอนมีหน้าที่เป็นวาทยกร ซึ่งไม่ได้เล่นเครื่องดนตรีแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เขาต้องคอยไกด์ให้นักดนตรีในวง (ซึ่งก็คือนักเรียน) ได้เล่นเครื่องดนตรีของตัวเองออกมาให้ตรงจังหวะและสอดคล้องกับนักดนตรีคนอื่นๆ
“ถ้าผู้สอนมัวเอาแต่พูด นักดนตรีคนอื่นก็จะได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งที่มีเครื่องดนตรีอยู่ในมือ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก”
อีกประเด็นคือเวิร์คช็อปนี้มีเบรคอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีการเร่งรัด และหากมีข้อสงสัยอะไรฌอนก็พร้อมตอบทุกคำถาม แต่สุดท้ายก็ยังจบตรงเวลา
เมื่อนักเรียนมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กัน และได้นำความรู้ที่ฟังจากฌอนมาลองพูดคุยถกเถียง หากติดปัญหาอะไรก็ถามเขาได้ การเรียนเวิร์คช็อปนี้จึงรู้สึกสบายๆ แต่ก็ได้เนื้อหาสาระกลับไปแบบไม่ต้องพยายาม
และนี่คือความเก๋าของฌอนที่ผมชื่นชมและอยากจะทำให้ได้อย่างนั้นบ้างในอนาคต
“I don’t believe in hard work.”
ฌอนบอกว่าเขาไม่เชื่อในการทำงานหนัก
ฟังดูประหลาดเมื่อออกจากปากคนที่ตื่นนอนตีสี่ ย้ายถิ่นฐานจากอินเดียมานิวซีแลนด์เมื่อ 25 ปีที่แล้ว และเปลี่ยนอาชีพจากนักวาดการ์ตูนมาทำเรื่องการตลาด ดำเนินธุรกิจที่มีนักเรียนหลายพันคนโดยมีคนทำงานแค่สองคนคือตัวฌอนเองและเรนูก้าผู้เป็นภรรยา
“ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่อง hard work แล้วคุณเชื่อเรื่องอะไร?” ผมถามฌอน
“I believe in patterns” ฌอนตอบ ผมไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรแบบนี้มาก่อน
ฌอนยกตัวอย่างโดยเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตเชื่อมาตลอดว่าวาดรูปไม่เป็น ฌอนใช้เวลาสอนอยู่เพียงไม่กี่นาที ผู้หญิงคนนั้นก็วาดรูปยีราฟได้
“พอเธอเข้าใจแพทเทิร์นแล้วว่ายีราฟควรจะวาดอย่างไร เธอก็วาดได้เลย เธอไม่ต้อง work hard ใดๆ ทั้งสิ้น”
แต่ฌอนก็ขยายความว่า แม้จะวาดรูปเป็นแล้ว เราก็ควรฝึกวาดทุกวันอยู่ดี เพราะยิ่งเราฝึกฝนเยอะ ‘ฐานข้อมูล’ ของเราก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น
“ผมอาจจะสอนคุณให้วาดรูปมือ แล้วคุณก็จะวาดรูปมือได้ แต่ถ้าคุณไม่ฝึกเพิ่ม คุณก็จะวาดรูปมือได้แค่แบบเดียว ส่วนผมจะวาดรูปมือได้หลายแบบเพราะผมฝึกวาดรูปมือมานาน ทำให้ผมมีดาต้าเบสที่ใหญ่กว่า”
ฌอนถามว่าผมใช้กล้อง DSLR เป็นมั้ย ผมตอบว่าใช้ไม่เป็น ฌอนเลยชี้ไปที่ ‘ยศ’ *** ที่นั่งอยู่ข้างผมว่า ตอนที่ทอยกับยศไปเจอเขาที่สิงคโปร์เมื่อหลายเดือนที่แล้ว เขาสอนยศให้ใช้กล้อง DSLR ใน 3 ขั้นตอน
และเพื่อพิสูจน์ว่ายศจำได้จริงๆ ฌอนบอกให้ยศสอนการใช้กล้อง DSLR กับผมโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าส่วนประกอบต่างๆ ในกล้องมีชื่อเรียกว่าอะไร
ฌอนยื่นกล้อง DSLR มาให้ยศ แล้วยศก็ทำการสอนผมจบภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที แล้วผมก็ลองถ่ายรูปฌอนดู รูปออกมาใช้ได้เลยทีเดียว (ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไป)
“ดังนั้น ถ้าเรามีครูที่สอนแพทเทิร์นเราได้ เราก็จะเก่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วใช่มั้ย? แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนตัวจริง คนไหนตัวปลอม?” ผมถามฌอน
ฌอนยิ้มและตอบว่า “ตรงนั้นแหละที่ยาก” แต่ก็ไม่ได้แนะนำต่อว่าผมควรจะหาอย่างไร ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้ผมไขต่อ
“นอกจากเรื่องแพทเทิร์นแล้วยังเชื่อเรื่องอะไรอีก” ผมถามฌอนต่อ
ฌอนบอกว่าเขาเชื่อเรื่องความเร็ว (speed)
ถ้าเราทำงานบางอย่างได้จนชำนิชำนาญ เราก็จะทำงานชิ้นเดิมเสร็จได้เร็วขึ้น ทำงานได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักไปกว่าเดิม
แต่ก่อนฌอนอาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเขียนบทความได้หนึ่งบทความ มาตอนนี้เขาอาจจะใช้เวลาแค่ 30-45 นาทีก็เขียนบทความเสร็จแล้ว
อีกตัวอย่างคือฌอนทำอาหารกินเอง แถมยังทำอาหารให้ครอบครัวของภรรยาด้วย หลายคนมองว่าชีวิตยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาทำ แต่ฌอนบอกว่าเขาใช้เวลาทำอาหารไม่นาน มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เหน็ดเหนื่อยหรือเสียเวลา
ความเร็วที่เกิดจากความชำนาญคือสิ่งที่จะทำให้เรา productive ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น
การสนทนากับฌอนทำให้ผมพบว่าเขาเป็น ‘ครู’ ที่เก่งมาก สามารถหา ‘หัวใจ’ ของศาสตร์นั้นๆ และถ่ายทอดออกมาได้อย่างเรียบง่าย แถมคนที่เรียนจากเขาก็จดจำได้และนำเอาไปใช้งานได้จริง นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้มารู้จักกับคนเจ๋งๆ แบบนี้
ขอบคุณทอยอีกครั้งที่แนะนำที่พาให้ผมได้มารู้จักฌอน และขอตอบแทนด้วยการติดตามผลงานของ Sean D’Souza และนำงานของเขามาเผยแพร่ให้คนไทยได้เรียนรู้และสร้างประโยชน์ในอนาคตครับ
* Sean D’Souza อ่านว่า “ฌอน เดอ ซูซ่า” อ้างอิงจากการถาม ChatGPT และฟังจากพิธีกรอ่านชื่อฌอนในพ็อดแคสต์ ฌอนเป็นชาวอินเดีย เกิดและโตที่เมืองมุมไบ ก่อนย้ายไปนิวซีแลนด์ในปี 2000 เหตุผลที่ชื่อและนามสกุลฌอนไม่เหมือนคนอินเดียก็เพราะว่าบรรพบุรุษของฌอนมาจากกัว (Goa) เมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย กัวเคยตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส คนในเมืองนี้จึงหันมา (หรือถูกบังคับให้) นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เข้ารับศีลล้างบาปและเปลี่ยนชื่อ จากชื่อเดิมแบบอินเดียมาเป็นชื่อคริสเตียน เช่น Sean, Francisco, Maria, Pedro, João นามสกุลก็เปลี่ยนตามตระกูลคริสต์โปรตุเกส เช่น D’Souza, Fernandes, Rodrigues, Pereira, หรือ Gomes นั่นเอง
** ฌอนเขียนไว้ชัดเจนในอีเมลที่แจ้งนักเรียนว่าเริ่มเรียนตอน 8.32 จนแฟนผมก็ทักว่าทำไมเป็นเวลานี้ นักเรียนคนอื่นก็คุยกันเองก่อนเริ่มคลาสเหมือนกันว่าเป็นเวลานี้ ผมคิดว่ามันคือทริคเล็กๆ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าคลาสนี้พิเศษและจำเวลาเริ่มเรียนได้ไม่พลาด
*** ‘ยศ’ สรกฤช อ้นมณี (Sorakrich Oanmanee) เป็น Deputy Director, Data Analytics ที่ CJ Express Group และเจ้าของเพจ มาลองเรียน – Malonglearn




