3 ประโยคฝังใจจาก Sean D’Souza

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ที่อ่านบล็อกนี้ยังไม่รู้จัก Sean D’Souza (อ่านว่า “ฌอน เดอ ซูซ่า”*) หรือไม่ก็เพิ่งได้ยินชื่อเขาในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผมเองก็ไม่เคยรู้จักฌอนจนกระทั่ง ‘ทอย DataRockie‘ ชวนไปเข้าเวิร์คช็อปกับเขาเมื่อวันอาทิตย์

ฌอนเป็นผู้เขียนหนังสือ The Brain Audit – ฟังตอนแรกนึกว่าเป็นหนังสือแนว productivity หรือ neuroscience แต่เปล่าเลย มันคือหนังสือด้าน marketing ที่ได้ 4.46 ดาวบน Goodreads (574 ratings & 56 reviews)

คะแนนสูงมาก แต่คนรีวิวยังไม่เยอะเมื่อเทียบกับหนังสือ bestseller อื่นๆ แถมยังเป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2009

ก่อนเข้าเวิร์คช็อป ผมลองไปหาหนังสือเล่มนี้ในเว็บร้านหนังสือภาษาอังกฤษก็หาไม่ได้ โชคดีที่ฌอนและเรนูก้า (ภรรยา) นำติดมือมาที่เวิร์คช็อปด้วย และข่าวดีก็คือสำนักพิมพ์วีเลิร์นเพิ่งเอามาแปลไทยและจะวางตลาดเร็วๆ นี้

หลังจากได้เรียนและได้นั่งคุยกับฌอน จึงรู้ว่าเขาคือช้างเผือก (hidden gem) และเป็นคนที่สองในชีวิตที่หลังจากได้พบกันครั้งแรกแล้วทำให้ผมอุทานในใจว่า “He has his life figured out.” (คนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้คือพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผม)

ช่วงนี้คงจะมีคนเขียนสรุป The Brain Audit ออกมาเรื่อยๆ ลองไปชิมลางได้ที่เพจ ‘DataRockie‘ ‘สรุปไปเรื่อย by ทนายกอล์ฟ‘ และ ‘BenNote‘ ครับ

ส่วนผมเอง แทนที่จะสรุปหนังสือ ผมอยากจะยก 3 ประโยคฝังใจที่ได้ยินจากฌอนมาเล่าสู่กันฟังครับ


“People think they want more information. What they actually want is results.”

ผมว่านี่เป็นประโยคที่สำคัญมากทั้งสำหรับผู้สอนและนักเรียน

ว่าเราไม่ได้สอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้มากขึ้น และการที่เราเรียนเราก็ไม่ได้อยากมีความรู้มากขึ้นนักหรอก

สิ่งที่เราต้องการคือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ หรือพูดง่ายๆ คือเห็นความเปลี่ยนแปลง

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Theodore Levitt อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ดผู้ล่วงลับ

“People don’t want to buy a quarter-inch drill. They want a quarter-inch hole.”

คนเราไม่ได้ต้องการซื้อสว่าน เขาต้องการเจาะรูต่างหาก

ซึ่ง Seth Godin ที่เป็นกูรูด้านการตลาดอีกคนก็ชวนคิดต่ออีกว่า สว่านเป็นเพียง feature เป็นเพียงสิ่งที่พาเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือรูบนกำแพงต่างหาก

แต่ถ้ามองให้ลึกไปยิ่งกว่านั้น คนเราไม่ได้ต้องการแค่รูบนกำแพง เราต้องการติดตั้งชั้นวางของ หรือไม่เราก็ต้องการความรู้สึกที่ว่าบ้านนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นเมื่อเอาของขึ้นไปเก็บไว้บนชั้นแล้ว และเราก็ยังอยากรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่ได้ติดตั้งชั้นนี้ด้วยตัวเอง และอยากให้ภรรยาชื่นชมว่าเราก็มีฝีมือเรื่องงานช่างอยู่เหมือนกัน

จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากซื้อสว่าน สิ่งที่เราอยากซื้อคือความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและความอิ่มอกอิ่มใจต่างหาก

ในฐานะคนใฝ่รู้ บางทีเราก็สนุกกับการเรียนจนเพลิน จนเราลืมไปเลยว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร ยิ่งถ้าเราเป็นพวกชอบเข้าคอร์ส ชอบซื้อหนังสือพัฒนาตนเองอยู่แล้วด้วย เราอาจจะเผลอปล่อยให้การเรียนรู้มาบดบังการลงมือทำไปเลยก็ได้

และในฐานะคนสอน บางทีเราก็มัวแต่โฟกัสแต่สิ่งที่อยากสอนมากเกินไป โดยลืมคำนึงว่าแท้จริงแล้วคนที่มาเรียนเขาไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ แต่เขาต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหรือในธุรกิจของเขาต่างหาก

ถ้าเราจับหลักนี้ได้ เราจะเป็นคนสอนที่มีนักเรียนมาเรียนซ้ำอยู่เรื่อยๆ

และถ้าเราจับหลักนี้ได้ เราจะเป็นนักเรียนที่ไม่ได้แค่เรียนเอามัน แต่เรียนเพื่อนำมันไปสร้างคุณค่าให้กับตนเองและผู้อื่นได้อย่างแท้จริง


“Success in my workshop is measured by the energy of my students at the end of the class.”

หลังจบเวิร์คช็อปตอนห้าโมง ฌอนถามผมว่าสังเกตมั้ยว่า แม้นักเรียนเกือบ 80 คนมาเริ่มเรียนตั้งแต่ 8.32** แต่ไม่มีใครหมดแรงเลย ทุกคนเดินออกจากห้องโดยยังมีพลังงานอยู่เต็มเปี่ยม เขาบอกว่านี่แหละคือหนึ่งในมาตรวัดว่าเวิร์คช็อปที่เขาจัดนั้นเป็นเวิร์คช็อปที่ดีหรือไม่

เวิร์คช็อปหรือเทรนนิ่งส่วนใหญ่ ถ้ากินเวลาทั้งวัน เรามักจะเดินออกจากห้องด้วยความสะโหลสะเหล เพราะเนื้อหาอันมากมายที่สมองประมวลไม่ทัน

ฌอนเล่าว่าเขาเคยเป็นคนสอนที่อัดความรู้เท่าที่เขามีให้กับนักเรียน พูดอยู่คนเดียว 3 ชั่วโมงเต็ม นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าหลับคาห้องฌอนก็ยังไม่รู้เรื่อง มาภายหลังจึงตระหนักว่าวิธีนี้ไม่น่าเวิร์ค จะมีประโยชน์อะไรที่เราใส่เนื้อหาไปมากมายแต่คนเรียนกลับจำได้นิดเดียว

ฌอนบอกว่าตอนที่เขาสอนวันนี้เห็นหลายคนจดโน้ตกันจริงจัง แต่เขาไม่ได้สนใจหรอกว่านักเรียนจะจดโน้ตเยอะแค่ไหน หรือจะกลับไปอ่านทบทวนหรือไม่ เขาชี้ไปที่หัวตัวเองแล้วพูดว่า “สิ่งที่ผมสนใจคือนักเรียนจำเนื้อหาที่ผมสอนโดยไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่านโน้ตได้แค่ไหน”

ซึ่งผมก็พบว่าตัวเองจำเนื้อหาหลักๆ ของ The Brain Audit Workshop ได้เกือบหมด การเรียนการสอนอาจจะยาวประมาณ 7 ชั่วโมง แต่ฌอนพูดเนื้อหาในสไลด์ไม่เกินชั่วโมงกว่า ที่เหลือเป็นกิจกรรมกลุ่มที่ให้พวกเราวิเคราะห์และพูดคุยถึงปัจจัยทั้ง 7 ข้อที่จะทำให้ลูกค้าเลือกซื้อของจากธุรกิจของเรามากกว่าคู่แข่ง

ฌอนเปรียบการเรียนการสอนเหมือนวงออเคสตร้า ผู้สอนมีหน้าที่เป็นวาทยกร ซึ่งไม่ได้เล่นเครื่องดนตรีแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เขาต้องคอยไกด์ให้นักดนตรีในวง (ซึ่งก็คือนักเรียน) ได้เล่นเครื่องดนตรีของตัวเองออกมาให้ตรงจังหวะและสอดคล้องกับนักดนตรีคนอื่นๆ

“ถ้าผู้สอนมัวเอาแต่พูด นักดนตรีคนอื่นก็จะได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งที่มีเครื่องดนตรีอยู่ในมือ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก”

อีกประเด็นคือเวิร์คช็อปนี้มีเบรคอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีการเร่งรัด และหากมีข้อสงสัยอะไรฌอนก็พร้อมตอบทุกคำถาม แต่สุดท้ายก็ยังจบตรงเวลา

เมื่อนักเรียนมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กัน และได้นำความรู้ที่ฟังจากฌอนมาลองพูดคุยถกเถียง หากติดปัญหาอะไรก็ถามเขาได้ การเรียนเวิร์คช็อปนี้จึงรู้สึกสบายๆ แต่ก็ได้เนื้อหาสาระกลับไปแบบไม่ต้องพยายาม

และนี่คือความเก๋าของฌอนที่ผมชื่นชมและอยากจะทำให้ได้อย่างนั้นบ้างในอนาคต


“I don’t believe in hard work.”

ฌอนบอกว่าเขาไม่เชื่อในการทำงานหนัก

ฟังดูประหลาดเมื่อออกจากปากคนที่ตื่นนอนตีสี่ ย้ายถิ่นฐานจากอินเดียมานิวซีแลนด์เมื่อ 25 ปีที่แล้ว และเปลี่ยนอาชีพจากนักวาดการ์ตูนมาทำเรื่องการตลาด ดำเนินธุรกิจที่มีนักเรียนหลายพันคนโดยมีคนทำงานแค่สองคนคือตัวฌอนเองและเรนูก้าผู้เป็นภรรยา

“ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่อง hard work แล้วคุณเชื่อเรื่องอะไร?” ผมถามฌอน

“I believe in patterns” ฌอนตอบ ผมไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรแบบนี้มาก่อน

ฌอนยกตัวอย่างโดยเล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตเชื่อมาตลอดว่าวาดรูปไม่เป็น ฌอนใช้เวลาสอนอยู่เพียงไม่กี่นาที ผู้หญิงคนนั้นก็วาดรูปยีราฟได้

“พอเธอเข้าใจแพทเทิร์นแล้วว่ายีราฟควรจะวาดอย่างไร เธอก็วาดได้เลย เธอไม่ต้อง work hard ใดๆ ทั้งสิ้น”

แต่ฌอนก็ขยายความว่า แม้จะวาดรูปเป็นแล้ว เราก็ควรฝึกวาดทุกวันอยู่ดี เพราะยิ่งเราฝึกฝนเยอะ ‘ฐานข้อมูล’ ของเราก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น

“ผมอาจจะสอนคุณให้วาดรูปมือ แล้วคุณก็จะวาดรูปมือได้ แต่ถ้าคุณไม่ฝึกเพิ่ม คุณก็จะวาดรูปมือได้แค่แบบเดียว ส่วนผมจะวาดรูปมือได้หลายแบบเพราะผมฝึกวาดรูปมือมานาน ทำให้ผมมีดาต้าเบสที่ใหญ่กว่า”

ฌอนถามว่าผมใช้กล้อง DSLR เป็นมั้ย ผมตอบว่าใช้ไม่เป็น ฌอนเลยชี้ไปที่ ‘ยศ’ *** ที่นั่งอยู่ข้างผมว่า ตอนที่ทอยกับยศไปเจอเขาที่สิงคโปร์เมื่อหลายเดือนที่แล้ว เขาสอนยศให้ใช้กล้อง DSLR ใน 3 ขั้นตอน

และเพื่อพิสูจน์ว่ายศจำได้จริงๆ ฌอนบอกให้ยศสอนการใช้กล้อง DSLR กับผมโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าส่วนประกอบต่างๆ ในกล้องมีชื่อเรียกว่าอะไร

ฌอนยื่นกล้อง DSLR มาให้ยศ แล้วยศก็ทำการสอนผมจบภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที แล้วผมก็ลองถ่ายรูปฌอนดู รูปออกมาใช้ได้เลยทีเดียว (ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไป)

“ดังนั้น ถ้าเรามีครูที่สอนแพทเทิร์นเราได้ เราก็จะเก่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วใช่มั้ย? แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนตัวจริง คนไหนตัวปลอม?” ผมถามฌอน

ฌอนยิ้มและตอบว่า “ตรงนั้นแหละที่ยาก” แต่ก็ไม่ได้แนะนำต่อว่าผมควรจะหาอย่างไร ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้ผมไขต่อ

“นอกจากเรื่องแพทเทิร์นแล้วยังเชื่อเรื่องอะไรอีก” ผมถามฌอนต่อ

ฌอนบอกว่าเขาเชื่อเรื่องความเร็ว (speed)

ถ้าเราทำงานบางอย่างได้จนชำนิชำนาญ เราก็จะทำงานชิ้นเดิมเสร็จได้เร็วขึ้น ทำงานได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักไปกว่าเดิม

แต่ก่อนฌอนอาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเขียนบทความได้หนึ่งบทความ มาตอนนี้เขาอาจจะใช้เวลาแค่ 30-45 นาทีก็เขียนบทความเสร็จแล้ว

อีกตัวอย่างคือฌอนทำอาหารกินเอง แถมยังทำอาหารให้ครอบครัวของภรรยาด้วย หลายคนมองว่าชีวิตยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาทำ แต่ฌอนบอกว่าเขาใช้เวลาทำอาหารไม่นาน มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เหน็ดเหนื่อยหรือเสียเวลา

ความเร็วที่เกิดจากความชำนาญคือสิ่งที่จะทำให้เรา productive ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น


การสนทนากับฌอนทำให้ผมพบว่าเขาเป็น ‘ครู’ ที่เก่งมาก สามารถหา ‘หัวใจ’ ของศาสตร์นั้นๆ และถ่ายทอดออกมาได้อย่างเรียบง่าย แถมคนที่เรียนจากเขาก็จดจำได้และนำเอาไปใช้งานได้จริง นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้มารู้จักกับคนเจ๋งๆ แบบนี้

ขอบคุณทอยอีกครั้งที่แนะนำที่พาให้ผมได้มารู้จักฌอน และขอตอบแทนด้วยการติดตามผลงานของ Sean D’Souza และนำงานของเขามาเผยแพร่ให้คนไทยได้เรียนรู้และสร้างประโยชน์ในอนาคตครับ


* Sean D’Souza อ่านว่า “ฌอน เดอ ซูซ่า” อ้างอิงจากการถาม ChatGPT และฟังจากพิธีกรอ่านชื่อฌอนในพ็อดแคสต์ ฌอนเป็นชาวอินเดีย เกิดและโตที่เมืองมุมไบ ก่อนย้ายไปนิวซีแลนด์ในปี 2000 เหตุผลที่ชื่อและนามสกุลฌอนไม่เหมือนคนอินเดียก็เพราะว่าบรรพบุรุษของฌอนมาจากกัว (Goa) เมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย กัวเคยตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส คนในเมืองนี้จึงหันมา (หรือถูกบังคับให้) นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เข้ารับศีลล้างบาปและเปลี่ยนชื่อ จากชื่อเดิมแบบอินเดียมาเป็นชื่อคริสเตียน เช่น Sean, Francisco, Maria, Pedro, João นามสกุลก็เปลี่ยนตามตระกูลคริสต์โปรตุเกส เช่น D’Souza, Fernandes, Rodrigues, Pereira, หรือ Gomes นั่นเอง

** ฌอนเขียนไว้ชัดเจนในอีเมลที่แจ้งนักเรียนว่าเริ่มเรียนตอน 8.32 จนแฟนผมก็ทักว่าทำไมเป็นเวลานี้ นักเรียนคนอื่นก็คุยกันเองก่อนเริ่มคลาสเหมือนกันว่าเป็นเวลานี้ ผมคิดว่ามันคือทริคเล็กๆ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าคลาสนี้พิเศษและจำเวลาเริ่มเรียนได้ไม่พลาด

*** ‘ยศ’ สรกฤช อ้นมณี (Sorakrich Oanmanee) เป็น Deputy Director, Data Analytics ที่ CJ Express Group และเจ้าของเพจ มาลองเรียน – Malonglearn

รีวิวชีวิตหลังอ่าน Fluke ครบ 1 ปี

รีวิวชีวิตหลังอ่าน Fluke ครบ 1 ปี

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ทราบข่าวดีว่าหนังสือ Fluke ของ Brian Klaas ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยแล้วโดยสำนักพิมพ์ Sophia ในเครืออมรินทร์ ภายใต้ชื่อ ‘Fluke บังเอิญอย่างมีนัยสำคัญ‘ สำนวนแปลของคุณจิตติณี รองหานาม

เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นคนไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์อันผันผวนของโลกเป็นอย่างยิ่ง

ผมได้อ่าน Fluke ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 และเขียนถึงหนังสือเล่มนี้สองเดือนต่อมา โดยยกให้ Fluke เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี

สำหรับผม หนังสือเปลี่ยนชีวิต คือหนังสือที่อ่านแล้วเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด และการกระทำของเราอย่างจับต้องได้ และบทเรียนต่างๆ จะกลับมาหาเราอยู่เรื่อยๆ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น Outlive, Four Thousand Weeks, The Psychology of Money หรือ Sapiens

Fluke ก็ทำงานอย่างนั้นกับผมเช่นกัน โดยหนังสือ Fluke จะมีความคล้าย Sapiens ตรงที่มันช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ไม่ได้บอกชัดๆ ว่าความรู้ที่ได้มันจะมีประโยชน์อะไรในเชิงปฏิบัติ (practical use) ต้องทอดเวลาให้ผ่านไปพอสมควรเราถึงจะประสบได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ซึมซับจากหนังสือแบบนี้มันมีประโยชน์กับเรายังไง

Fluke เป็นหนังสือที่อ่านสนุก แต่ไม่ได้อ่านง่าย แถมการแปลเป็นไทยก็ไม่ง่าย แค่คำที่เป็นคีย์เวิร์ดอย่าง divergence กับ convergence ก็แปลยากมากแล้ว ฉบับภาษาไทยแปลคำว่า divergence เป็น “ดำเนินไปแบบไร้ทิศทาง” และแปล convergence ว่า “มีทิศทางที่จะบรรจบกันในท้ายสุด”

แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราใจเย็นๆ และค่อยๆ อ่าน เราจะได้รับคุณค่าบางอย่างที่จะติดตัวเราไปอย่างไม่ต้องสงสัย

และจากนี้ไปคือบางสิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือ Fluke: Chance, Chaos and Why Everything We Do Matters ครับ


Experiment More

คำนี้เป็นประโยคติดปากที่ผมพูดกับภรรยาเป็นประจำ และภรรยาก็ทำด้วยเหมือนกัน

ปกติผมเป็นคนที่ไม่ได้เสาะแสวงหาอะไร เป็นคนมีความสุขง่ายๆ กับเรื่องเดิมๆ มีร้านประจำไม่กี่ร้าน และพอไปร้านประจำก็จะสั่งแต่เมนูที่เราชอบ

แต่พออ่าน Fluke ก็เข้าใจว่า กว่าโลกของเราจะมาถึงปัจจุบันนี้ได้ มันผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยห้องทดลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการ ที่ใช้หลักการ survival of the fittest ใครอ่อนแอก็แพ้ไป ใครที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมกว่าก็ได้ไปต่อ จนเราวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวและกลายมาเป็นมนุษย์ที่ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้

ดังนั้น ชีวิตเราจึงไม่ควรหยุดทดลอง โดยเฉพาะการทดลองที่มี limited downside เพราะมันจะเปิดโอกาสให้เราได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ และทำให้เรามีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

ผมกับแฟนเลยเริ่มลองไปกินร้านใหม่ๆ หรือถ้าไปร้านเดิมก็จะลองสั่งเมนูที่ไม่เคยลอง

ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงการเลือกอ่านหนังสือด้วย ปีที่แล้วผมอ่านนิยายจบไปสองเล่ม ปีนี้อีกสองเล่ม หลังจากที่ไม่ได้อ่านนิยายมาหลายปี ส่วนภรรยาก็ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำเช่นลงเรียนร้องเพลงและเรียนเปียโน

เรื่องการทำงาน ผมก็ลองขยับน้องในทีมให้ไปทำงานในตำแหน่งที่เขาไม่เคยลอง ทำให้เขาได้พบจุดแข็งใหม่ๆ และความเป็นไปได้อื่นในวิชาชีพของเขา

พอเรามีมายด์เซ็ตที่จะ experiement ไปเรื่อยๆ ข้อเสียคือบางครั้งทดลองแล้วไม่เวิร์ค แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการเรียนรู้และความมีชีวิตชีวา ซึ่งผมคิดว่าสำคัญเหมือนกันสำหรับคนที่มี routine เดิมๆ


Don’t Over-Optimize Your Life. Have Some Slack.

เราอาจบูชา productivity และ effectiveness มากเกินไปนิด พยายามที่จะ optimize ทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีอะไรที่มีมากเกินความจำเป็น

แต่ในโลกที่ผันผวนและ Fluke บางอย่างส่งผลกระทบแบบที่เราคาดไม่ถึง การมี “มากเกินไปหน่อย” ในบางเรื่องก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Morgan Housel ในหนังสือ The Psychology of Money ว่าเขาเชื่อว่าเราควรมีเงินสดมากเกินจำเป็นไปอีกนิดนึง เพื่อที่ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะได้ใช้เงินสดสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะได้ไม่ต้องไปขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หรือแม้กระทั่งกู้หนี้ยืมสินใครเขา

โลกของเรา optimize ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในแง่นึงมันก็ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็ว แต่ในอีกแง่มันก็เปราะบางมาก

ยกตัวอย่างวิกฤติเรือ Ever Given ของบริษัท Evergreen Marine

วันที่ 23 มีนาคม 2021 เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ Ever Given ออกจากท่าเรือในจีนและมุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ แต่ระหว่างที่แล่นผ่านคลองสุเอซก็เกิดลมแรงจนเรือสูญเสียการควบคุม หัวเรือไปเกยเข้ากับฝั่ง และกีดขวางเส้นทางของคลองสุเอซอยู่ 6 วัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 54,000 ล้านดอลลาร์

เรือแค่ลำเดียวไม่เคยสร้างความเสียหายระดับนี้ได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเหตุผลที่มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราได้ปรับแต่งโลกให้มีประสิทธิภาพเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างให้ความยืดหยุ่นเลย

ปีที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้เครื่องจอฟ้าไปทั่วโลก ส่วนปีนี้ก็มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในโปรตุเกส สเปน และฝรั่งเศส ที่โกลาหลกันน่าดู เพราะระบบไฟฟ้าเชื่อมโยงถึงกันหมด ทำให้มี economy of scale แต่พอมีปัญหาก็สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง

ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้วยังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ ประเทศของเราก็มีโอกาสเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ได้เช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้เลยก็เช่นการมีเงินสดติดตัวหรือติดบ้านไว้บ้าง เผื่อว่าวันหนึ่งระบบธนาคารมีปัญหา หรือมีวิทยุใส่ถ่านเอาไว้รับข่าวสารในวันที่อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้

ส่วนในเรื่องการทำงานหรือการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ระวังอย่าใส่อะไรลงไปในตารางชีวิตจนเต็มเอี้ยด ควรจะมีเวลาอยู่เฉยๆ มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ มีพื้นที่ให้ปรับตัวเมื่อเกิดสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราควรให้ความสำคัญกับ resiliency มากกว่า optimization


ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด (โดยไม่ต้องใช้ศรัทธา)

ด้วยวัฒนธรรมตะวันออก เราได้ยินกันมานานว่าทุกอย่างนั้นเชื่อมโยงกัน

แต่สำหรับผมที่ยังไม่ได้ภาวนาหรือมีประสบการณ์จน ‘เห็น’ ได้ด้วยตัวเอง คำว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราจำมาจากตำราและครูบาอาจารย์ เราเข้าใจในเชิงทฤษฎี แต่มันก็เป็นเพียงสุตมยปัญญาที่เราจำเขามาเท่านั้น

ความเจ๋งของหนังสือ Fluke ก็คือมันทำให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งโดยไม่ต้องมีศรัทธาในพระคัมภีร์หรือพระเถระใดๆ สุตมยปัญญาจึงปรับระดับขึ้นมาเป็นจินตามยปัญญาหรือปัญญาที่เกิดจากการคิดและไตร่ตรองมาดีแล้ว

ในบทความ ‘Fluke หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024‘ ผมเล่าว่าถ้าอุกกาบาตเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วมาถึงช้ากว่านี้แค่นาทีเดียว ไดโนเสาร์ก็อาจจะไม่สูญพันธุ์และเผ่าพันธุ์ Sapiens ก็น่าจะไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้

หรือการมาเที่ยวกันของคู่รักชาวอเมริกันในเมืองเกียวโต ทำให้ชาวเมืองเกียวโตนับแสนคนรอดชีวิตในอีก 19 ปีต่อมา แต่ชาวเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสองแสนกว่าคนต้องดับสูญ

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธผสมพราหมณ์ เราจึงคุ้นเคยกันดีเรื่องของกฎแห่งกรรมและเจ้ากรรมนายเวร ที่เชื่อว่าหากเราเคยทำร้ายใครมา ถึงวันหนึ่งเราก็จะโดนเขาทำร้ายกลับด้วยเช่นกัน

แต่กฎแห่งกรรมที่เราคุ้นเคยมันคือการปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงของคนสองคนหรือคนกลุ่มหนึ่ง มีคู่กรณีที่พอจะจับต้องได้

แต่การตัดสินใจของ Henry L. Stimson ที่หลงรักเมืองเกียวโตเมื่อ 19 ปีที่แล้ว และขอให้ประธานาธิบดีทรูแมนถอดเกียวโตออกจากลิสต์เมืองเป้าหมายของระเบิดปรมาณู เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องกฎแห่งกรรมที่เราได้ยินได้ฟังกันมา เพราะนาย Stimson ไม่ได้มีความแค้นกับใครเลยในเมืองฮิโรชิม่าหรือนางาซากิ แต่การตัดสินใจของเขาที่จะเซฟเมืองเกียวโตก็ทำให้คนเกือบสองแสนในอีกสองเมืองนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน

ในหนังสือยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่บอกถึงความเชื่อมโยงกันและกันที่เราคาดไม่ถึง เช่นการปล่อยหมาป่า 31 ตัวเข้าไปใน Yellowstone National Park ในปี 1995 ทำให้กวางเอลก์ปรับพฤติกรรมการกิน จนต้นไม้ขึ้นได้อุดมสมบูรณ์ขึ้น แม่น้ำเปลี่ยนทิศ สัตว์ที่เคยหายไปจากป่านี้หวนกลับมา และระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ขึ้น

เมื่อได้อ่าน Fluke เราจะเห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งโดยไม่ต้องอาศัยศรัทธาหรือความเชื่อทางจิตวิญญาณใดๆ


เราอาจได้รับโชคแห่งโคคุระมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

หลังจากปล่อยระเบิดที่ฮิโรชิม่าแล้ว เมืองเป้าหมายถัดไปคือโคคุระ แต่ปรากฎว่าตอนที่เครื่องบินปล่อยระเบิดไปถึงนั้นเมืองนี้มีเมฆบัง มองไม่เห็นเป้าหมายด้านล่าง นักบินจึงบินไปปล่อยระเบิดที่เมืองนางาซากิแทน

ชาวโคคุระไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตัวเองเฉียดเส้นยาแดงผ่านแปดแค่ไหน เป็นความโชคดีที่เราไม่รู้ตัว จนเกิดคำสำนวนที่เรียกว่า ‘โชคแห่งโคคุระ’

เมื่อมองยอนกลับไป เราอาจจะเคยพบประสบการณ์หวาดเสียว เกือบเจออุบัติเหตุและคลาดแคล้วไปนิดเดียว

แต่นั่นคือเฉพาะเหตุการณ์ที่เรารู้ตัวเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย แต่มันก็ทำให้รอดมาได้เหมือนชาวเมืองโคคุระ

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ เราจะไม่หงุดหงิดเวลาที่อะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เช่นมีเหตุการณ์ทำให้การเดินทางของเราล่าช้า เราก็สามารถบอกตัวเองได้ว่า อ้อ มันอาจจะช่วยให้เรารอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆ ก็ได้นะ

ลองมองไปทุกอุบัติเหตุหรือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น หากคนที่เกี่ยวข้องออกจากบ้านช้าเพียงนิดเดียว หรือแวะกลางทางแค่แป๊บเดียว เขาก็อาจจะแคล้วคลาดไปแล้วก็ได้


ทุกเรื่องดีและร้ายทำให้เราได้เป็นเราในวันนี้

Brian Klaas ผู้เขียนหนังสือบอกว่า เพราะการฆาตกรรมหมู่ของภรรยาคนแรกของคุณปู่ จึงทำให้เขาได้เกิดมา และได้รับประสบการณ์ทั้งหมดที่มีในชีวิต

เรื่องร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา ทำให้เราเดินทางมาถึงจุดที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน

และเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ส่งผลให้เกิดเรื่องร้ายๆ ในอนาคตได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราปลูกต้นไม้ในวันนี้ อีก 20 ปีข้างหน้าอาจจะมีเด็กคนหนึ่งปีนต้นไม้ต้นนี้และตกลงมาขาหักก็ได้

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราไม่ควรปลูกต้นไม้ เพราะความน่าจะเป็นก็คือต้นไม้ต้นนี้น่าจะสร้างประโยชน์มากกว่าโทษ เราไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าสิ่งที่เราทำจะก่อให้เกิดแต่สิ่งดีงาม แต่เราก็ควรเลือกทำสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ดี


เรามึความหมายกับใครบางคนเสมอ

ชื่อเต็มของหนังสือเล่มนี้คือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters – โชคชะตา ความยุ่งเหยิง และเหตุผลที่ทุกสิ่งที่เราทำนั้นส่งผลกระทบกับอะไรบางอย่างเสมอ

นักท่องเที่ยวชาวมาซิโดเนียเหนือชื่อ ‘อีวาน’ ถูกกระแสน้ำพัดออกไปจากชายฝั่ง

เพื่อนๆ ของเขารีบแจ้งหน่วยยามฝั่ง แต่การค้นหาล้มเหลว อีวานถูกประกาศว่าสูญหายในทะเลและถูกสันนิษฐานว่าอาจเสียชีวิต

แต่อีก 18 ชั่วโมงต่อมา อีวานก็ถูกพบตัว และยังมีชีวิตอยู่!

ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก่อนที่อีวานจะจมลงสู่พื้นบาดาล เขาเห็นลูกฟุตบอลลูกเล็กๆ กำลังลอยอยู่ไกลๆ เขาใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ว่ายไปหาบอลลูกนั้น และเกาะมันไว้ทั้งคืนจนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือ

เมื่อเรื่องราวการรอดชีวิตของอีวานกลายเป็นข่าวในกรีซ ผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับช็อก เพราะเธอจำลูกบอลที่ช่วยชีวิตอีวานได้

มันคือลูกบอลที่ลูกชายทั้งสองของเธอเล่นกันเมื่อ 10 วันก่อนหน้านี้และเตะพลาดตกลงไปในทะเล

ลูกบอลได้ลอยละล่องในท้องทะเลเป็นระยะทาง 120 กิโลเมตรจนมาพบกับอีวานที่กำลังจะจมน้ำพอดิบพอดี

เด็กชายทั้งสองไม่ได้คิดอะไรมากกับลูกบอลที่หายไป พวกเขาก็แค่ซื้อบอลลูกใหม่

กว่าจะได้มารู้ในภายหลังว่า หากไม่ใช่เพราะการเตะบอลพลาดครั้งนั้น อีวานก็คงไม่รอดชีวิต

เราทุกคนเป็นเหมือนก้อนหินที่ตกน้ำ หินทุกก้อนย่อมสร้างแรงกระเพื่อมออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าเราพูดและทำดีกับลูกเราในวันนี้ ลูกของเราก็จะพูดดีและทำดีกับลูกกับหลานของเขา คำพูดของเราไม่ได้มีผลแค่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่จะส่งผลไปถึงคนที่เราไม่มีวันได้เจออีกมากมายหลายร้อยหลายพันชีวิต

ประโยคหนึ่งที่ผู้เขียนใช้บ่อยๆ คือ We control nothing, but we influence everything. เราควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่เราส่งผลกับทุกสิ่งทุกอย่าง

ดังนั้น ไม่ว่าเราจะมองว่าตัวเองตัวเล็กแค่ไหน งานที่เราทำดูเล็กน้อยแค่ไหน ขอให้มั่นใจเถอะว่าการมีอยู่ของเรานั้นทำโลกนี้ไม่เหมือนเดิม


เราคืออุบัติเหตุของจักรวาล

เวลาเกิดสิ่งดีๆ เรามักจะบอกว่าเราโชคดี แต่พอเกิดเรื่องราวร้ายๆ เรามักจะมองหาเหตุผลหรือความหมายว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา จนมีคำพูดที่ว่า Everything happens for a reason.

แต่ Klaas มองว่า Not everthing happens for a reason. Things just happen.

ซึ่งใกล้เคียงกับคอนเซ็ปต์ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” หรือ “ตถตา” ของท่านพุทธทาส

ไม่ได้บอกว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป ทุกสิ่งมีที่มาที่ไปเสมอตามหลักอิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี้จึงเกิดสิ่งนี้ เพียงแต่มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์

เอาเข้าจริง Klaas เชื่อในทฤษฎี Determinism หรือนิยัตินิยม ที่เชื่อว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดยเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งถ้ามองกันแบบสุดทางเลยก็คือ การที่คุณมานั่งอ่านบทความผมอยู่ตรงนี้มันถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่บิ๊กแบงแล้ว

[ถ้าอยากเข้าใจนิยัตินิยมมากขึ้น แนะนำให้อ่านงานของ Robert Sapolsky เช่นเรื่อง Behave ที่สำนักพิมพ์ Sophia เพิ่งเอามาแปลเช่นกัน และมีเล่มภาคต่อที่ยังไม่ได้แปลคือ Determined จากนักเขียนคนเดียวกัน]

ดังนั้น ถ้าวางความรู้จากพระคัมภีร์ลง การที่มนุษย์ได้เกิดมาอาจไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย

แต่การที่ชีวิตไม่มีความหมาย ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีคุณค่า

ตรงกันข้าม การที่เราได้เกิดมา นับเป็นลูกฟลุกซ้อนลูกฟลุกนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าพ่อแม่ของเราไม่ได้เจอกัน รวมถึงบรรพบุรุษของเราตลอดทั้งสายไม่ได้มาพบกันตามจังหวะและเวลาเช่นนั้นเป๊ะๆ เราย่อมไม่ได้เกิดมา

ซึ่งนั่นก็รวมถึงการเกิดของลูกเราด้วย ถ้าสเปิร์มอีกตัวเจาะไข่ได้สำเร็จก่อนเพียงเสี้ยววินาที เด็กที่เกิดมาก็จะเป็นเด็กอีกคนที่ไม่ใช่ลูกของเราคนปัจจุบัน

การที่เราได้มีโอกาสมีชีวิตและได้รับประสบการณ์ต่างๆ ได้กินของอร่อย ได้ทำงานที่รัก ได้ท่องเที่ยว ได้หัวเราะ ต้องนับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง เพราะเพียงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรเพียงนิดเดียว ทุกอย่างอาจแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ในเมื่อเราเป็นอุบัติเหตุของจักรวาล – We are a cosmic fluke. – สิ่งเดียวที่เราทำได้คือใช้สิทธิ์นี้ให้คุ้มค่า ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ให้สมฐานะความมหัศจรรย์ทุกอย่างที่ทำให้เราได้เป็นเราอย่างทุกวันนี้ครับ


อ่านต่อ: Fluke หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024

12 ข้อที่คนทำงานควรเอาอย่าง ‘ปลาสบการณ์จริง’

เป็นเวลาพักใหญ่แล้วที่ผมได้อ่านหนังสือ ‘ปลาสบการณ์จริง’ ของพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่สัมภาษณ์ ‘คุณปลา iberry’ ผู้ปลุกปั้นร้านอาหารอย่าง iberry, กับข้าว’ กับปลา, รส’นิยม, เบิร์นบุษบา, ทองสมิทธ์, ทองสวีท, เจริญแกง, ฟ้าปลาทาน, โรงสีโภชนา, Fran’s, อันเกิม-อันก๋า และชิ้นโบแดง

เรื่องความเพลิดเพลินในการอ่านนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง คุณปลาเป็นคนมีของ ส่วนพี่เอ๋ก็เล่าเรื่องเก่งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้มากไปกว่านั้น คือมุมมองที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากๆ สำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ไม่เคยคิดทำร้านอาหาร

เลยขอคัดบางคำพูดมาบอกเล่าไว้ในพื้นที่นี้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนทำงานไม่มากก็น้อยครับ

  1. รู้ไม่เยอะคือข้อได้เปรียบ

“ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลยค่ะลองคิดคำนวณเองคิดแค่ว่าฉันลงทุนเท่านี้ต้องขายได้เท่านี้จะเรียกว่าคิด feasibility ก็ได้ ศึกษาความเป็นไปได้ แต่ทำแบบบ้านๆ เลยคิดเรื่องง่ายๆ ค่าเช่าเท่านี้ ค่าของเท่านี้ ต้องขายได้เท่าไหร่มันก็เลยบ้าๆ บอๆ ข้อได้เปรียบคือปลาไม่รู้เยอะ ไม่ค่อยได้อ่านเยอะ อ่านพวก MBA ศึกษาเล็กๆ น้อยๆ บัญชีก็ทำไม่เป็น ต้องโทรไปหาพี่ที่เป็นเป็นบัญชี ช่วยอธิบายภายใน 3 วันได้ไหม เราไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง จู่ๆ ก็กระโดดลงไปทำเลย แล้วไปเรียนรู้เอาทีหลัง”

คนทำงานบริษัทนั้นจะมีอาการอย่างหนึ่ง คือความรู้ทางตำราเยอะ (book smart) แต่ความรู้ทางโลกน้อย (street smart) บางทีความรู้ในตำราก็เลยทำให้เราคิดเยอะเกินไป กลัวเกินไปที่จะเสี่ยง จึงติดอยู่ในพื้นที่เดิมๆ เป็นเวลาหลายปีหรือแม้กระทั่งหลายสิบปี

  1. บ้าบิ่นอย่างมีสติ

“เหมือนแม่ให้เงินมาโรงเรียน 100 บาท ปลาจะกล้ามากเลยกับการใช้ 30 แต่ไม่เกิน 50 บาท จะยักอีกส่วนไว้ เพราะรู้ว่าต่อให้เจ๊ง เงินอีกก้อนก็ยังอยู่ ปลาเลยกล้าบ้าบิ่น กล้าลง กล้าทำ…ความบ้าของเราไม่ใช่มีสิบบาทลงทุนพันบาท ปลาไม่ใช่คนอย่างนั้น ปลามีความคอนเซอร์เวทีฟเหมือนกัน มีความกล้าอยู่ แต่รู้ขอบเขตของตัวเอง”

ภาษานักลงทุนน่าจะเรียกว่าการ cap your downside คือการสร้างขีดจำกัดของการสูญเสีย ต่อให้พลาดอย่างไรก็ไม่หมดตัวเพราะเราไม่ได้หน้ามืดตามัวตั้งแต่ต้น

  1. อย่ายึดติดกับตัวตนเดิม

“สำนวนจีนคือ ‘กิ่งไม้ใบหญ้าใช้แทนกระบี่’ รู้สึกเลยว่าจริงๆ ก็ไม่ต้องยึดติดกับไอติมก็ได้นี่หว่า ฉันก็ขายยำ ขายก๋วยเตี๋ยว ขายอะไรก็ได้ ได้ตังค์เหมือนกัน รู้สึก breakthrough กลายเป็นว่าตอนนี้ อะไรเจ๊งไม่สนใจละ ถ้าเจ๊งก็ปิดตอนนี้ได้เลยนะ ไม่เสียดาย เดี๋ยวเปิดใหม่ รู้สึกอย่างนั้นเลย”

คุณปลาเคยรู้สึกไม่มั่นคงกับไอศครีมไอเบอรี่ เพราะบางสาขาเปิดแล้วขายไม่ดี เคยหมดความเชื่อมั่นไปเป็นปีด้วยซ้ำ แต่หลังจากคิดได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องขายแต่ไอติมอย่างเดียว ก็เลยเป็นการปลดล็อกให้ตัวเองแบบพลิกเกม

คนทำงานอย่างเราเองมีแนวโน้มที่จะยึดติดกับสิ่งที่เราเรียนมา หรือสายงานที่เราทำมา แต่ในโลกยุคนี้ที่ความรู้ทุกอย่างอยู่แค่ปลายนิ้วมือ เราสามารถที่จะก่อร่างสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาได้ตลอด ความยากจึงไม่ใช่การสร้างใหม่ แต่คือการทิ้งตัวตนเก่า

  1. งานของเรามีเสน่ห์หรือเปล่า

“ปลาคงไม่ค่อยตื่นเต้นถ้าไปกินร้านอาหารแล้วเจอแต่แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว แม้น้ำพริกถ้วยนั้นจะอร่อยมาก แต่ปลาก็คงไม่หยิบกล้องมาถ่าย แต่เราจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาขับรถหรือบินไปกระบี่ ไปกินน้ำพริกร้านหนึ่งแล้วมีผักแปลกๆ อะไรไม่รู้แนมมาด้วย ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะตูม เวลาเจอก็จะไปถามว่าใบอะไร เราไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกแบบนี้มีเสน่ห์จังเลย รู้สึกว่าเขาต้องรู้จริงเรื่องอาหารไทย เขาไปเสาะแสวงหามาจากไหนเราก็ไปดั้นด้นหาบ้าง บอกฝ่ายจัดซื้อว่าไม่เอานะผักที่คนทั่วไปใช้ ปลาอยากได้ผักแปลกๆ ที่ร้านอาหารกรุงเทพไม่ใช้กัน ปลารู้สึกว่าการจัดจานสวยงามมันเหมือนการจัดดอกไม้ มันคือศิลปะอย่างหนึ่ง การคิดแบบนี้ทำให้ร้านของเราแตกต่าง”

Seth Godin เคยเขียนถึงสิ่งที่เรียกว่า ’emotional labor’ มันคือการ ‘ใส่ใจ’ และ ‘ทุ่มเทเกินเบอร์’ ทำให้ของที่ออกมานั้นไม่เหมือนใคร และผู้คนรับรู้ได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังผลงานนี้นั้นต้องใช้พลังงานมหาศาลแค่ไหนกว่าจะเข็นงานชิ้นนี้ออกมา

เมื่อลูกค้าหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานสัมผัสได้ถึง emotional labor นี้ เขาก็จะมีใจให้กับเราเป็นพิเศษและยินดีที่จะอุดหนุนเราไปยาวๆ

  1. ทำงานให้ดีทุกชิ้น

ถาม: อาหารในร้านหนึ่ง ต้องอร่อยทุกรายการเลยไหมครับ หรือเน้นแค่ไม่กี่อย่างก็พอ

[ตอบ]: มันควรจะอร่อยทุกรายการนะคะ ไม่ควรจะบ้ง ถ้าจิ้มเมนูไหนก็อร่อยหมดนี่คนเขาจะปรบมือให้เลย แปลว่าลูกค้าไม่ต้องมานั่งแทงหวย สำหรับปลาเวลาทำวิจัยและพัฒนาอาหาร ถ้าปลายอยากจะขาย 50 เมนู มันจะมีสัก 8 เมนูที่ทำยังไงก็ไม่อร่อยสักที ปลาตัดเลยค่ะ ไม่ขายให้ลูกค้าผิดหวัง”

การทำงานของเราก็เหมือนกัน ถ้าคุณภาพงานของเราดีทุกชิ้น ไม่ต้องมานั่งลุ้น เราก็จะสร้างชื่อเสียงเป็นคนที่เชื่อมือได้ในองค์กร ส่งงานอะไรมาให้เราทำก็สำเร็จ

  1. “ชิม” งานที่เราทำเองเสมอ

ถาม: อาหารล่ะครับ กว่าจะได้รสชาติอร่อยอย่างที่เห็น

[ตอบ]: ผ่านการคิดทุกสเต็ป ทำ ปรุง ทดลอง บางทีเด็กบอกว่าอร่อย แต่เดี๋ยวก่อน น้องกินหนึ่งคำกับกินหมดถ้วยไม่เหมือนกันนะ ลองกินให้หมดถ้วยซิ แล้วบอกพี่ว่ามันยังอร่อยอยู่หรือเปล่า”

เคยกรอกแบบฟอร์มใบสมัครอะไรบางอย่าง แล้วรู้สึกว่าทำไมเขาถึงเว้นที่ว่างให้กรอกที่อยู่ไม่เยอะพอมั้ยครับ? เหตุผลก็เพราะว่าคนที่สร้างแบบฟอร์มนั้นเขาไม่ได้ทดลองกรอกมันด้วยตัวเอง

เวลาที่ทีมผมจะประกาศอะไรให้พนักงานทราบ ผมจะขอให้คนในทีมลองทำตัวเป็นพนักงานแล้วอ่านประกาศแล้วลองทำตามก่อน เพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะตรวจสอบคุณภาพงานของเราว่ามันทำให้ชีวิตคนที่ปลายน้ำดีขึ้นหรือแย่ลง

  1. เป็นหัวหน้าต้องจ่ายบอลเป็น

ถาม: คนที่เป็นหัวหน้าทีมล่ะครับ ต้องมีคุณสมบัติยังไง

[ตอบ]: ต้องแจกบอลเป็นค่ะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบริหารทีมได้ การเป็นหัวหน้าคือต้องปิดงานได้ มีเยอะเลยที่เก่ง จบปริญญาโท ฉลาด ภาษาดี แต่โยนงานไปให้แล้วไม่จบ การเป็นหัวหน้าต้องสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์จริงๆ ได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นมานั่งบอก เวลาบอกว่าช่วยทำนี่ให้หน่อย เขาต้องคิดเอง ต้องแจกบอล อยากได้ผลลัพธ์แบบนี้ ต้องใช้วิธีไหนให้ได้มา ต้องคิดเองทำเอง”

พี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Leadership คือการ get things done through others and with others – ทำงานให้สำเร็จผ่านคนอื่นและร่วมกับคนอื่น

ผู้นำจึงจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี เพราะเราต้องพึ่งพาคนอื่นเสมอ ไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องจ่ายงานเก่ง ติดตามผลได้ รู้ว่า ‘ความสำเร็จ’ สำหรับงานชิ้นนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

  1. ผู้นำคือเข็มสั้นของนาฬิกา

“ผู้บริหารคือคนที่ชี้นำว่าองค์กรจะไปทิศทางไหน การตัดสินใจของเราคือเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกา ขยับแต่ละครั้งมีนัยสำคัญ เราตัดสินใจอะไรทีมันสะเทือนไปหมด”

มู้ดของผู้บริหารจะกลายเป็นมู้ดของคนในทีม

ถ้าผู้บริหารเครียด คนในทีมก็จะเครียด ถ้าผู้บริหารเบลอ คนในทีมก็จะเบลอ

ดังนั้นก็รักษาพลังงานที่ดีจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราพูดจะถูก multiply และส่งต่อให้กับคนอื่นๆ ที่อยู่ในความดูแลของเรา

  1. โตไปไม่ป้า

ถาม: เมื่อสักครู่เล่าว่าตอนเด็กต้องเรียนรู้จากพี่ๆ ผู้ใหญ่ ตอนนี้เราโตแล้ว เราได้เรียนรู้จากคนเด็กกว่าบ้างไหม”

[ตอบ]: เยอะมากเลยค่ะ เวลาจ้างเด็กๆ ปลาบอกน้องๆ เสมอว่า คุณน้อง ถ้าร้านพี่เชย พี่เป็นป้าเมื่อไหร่ช่วยบอกด้วยนะ อยากให้มีคนมาบอกตรงๆ เฮ้ย พี่ปลา พี่เอาต์แล้ว ทุกวันนี้ปลาเลยจ้างแต่น้องๆ การตลาดเด็กๆ อยากรู้ว่าเด็กสมัยนี้คิดอะไรกัน”

ยิ่งอยู่สูงยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับว่าตัวเองอ่อนด้อยในบางเรื่อง

แต่ถ้าทำได้ และสามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้ยังมีคนกล้าเตือนเราเวลาที่เรากำลังจะไปผิดทาง ย่อมจะช่วยให้ทีมงานเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

  1. ถ้าไม่มีทีมที่เราไว้ใจ ชีวิตจะไม่มีวันสบายได้เลย

ถาม: มีคำเตือนสำหรับธุรกิจร้านอาหารไหมครับ เช่น จะเหนื่อยมากไหม

[ตอบ]: ที่มันเหนื่อยเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีทีมที่วางใจได้ พอไม่มีระบบที่ไว้วางใจ หรือระบบที่สามารถตรวจสอบได้รอบด้าน ก็ทำให้ต้องทำเองในหลายขั้นตอน เช่น การจัดซื้อ ตรวจคุณภาพอาหาร อยู่เฝ้าร้านเอง ปิดเงิน นับเงิน เด็กจะโกงหรือเปล่า สต๊อกตรงหรือเปล่า ต้องเช็กของ ตรวจสอบนู่นนี่ อันนี้เหนื่อยจริงค่ะ

[ตอบ]: ถ้าทำไม่ได้ จะไม่มีวันที่ชีวิตสบายเลย แต่ให้ขายดีมาก แต่ถ้าในใจคุณยังไม่ยอมมอบความไว้ใจให้คนอื่นทำ โดยเอาระบบเข้าไปครอบมัน ยังไงคุณก็เหนื่อย แล้วมันจะขยายไม่ได้”

ผมจะพูดอยู่เสมอว่า ความฝันของผู้บริหาร คือการมีทีมงานที่ไว้ใจได้

เพราะผู้บริหารต้องรับทั้งผิดและรับทั้งชอบ ผู้บริหารที่มีจรรยาบรรณจะยกความดีความชอบให้ทีมงาน แต่จะแบกรับความผิดด้วยตัวเอง ดังนั้นหากทีมงานทำผิดพลาดหรือทำงานชุ่ย ชีวิตของผู้บริหารย่อมต้องเจอกับความเหน็ดเหนื่อยไม่จบไม่สิ้น

  1. ถ้าไม่ปรับปรุงก็ออกไป

“แต่ก่อนเราเด็ก เขาทำงานไม่ดีก็ไม่กล้าบอกเขา ไม่กล้าให้เขาออก เดี๋ยวคือดีดนิ้ว เรียกมาเลย ถ้าไม่ปรับปรุงก็ออกไป เราเด็ดขาดขึ้น รู้ว่าจะเลือกคนมาทำงานด้วยยังไง”

หนึ่งในจุดอ่อนของคนไทยคือเราเป็นคนใจอ่อนและไม่ค่อยอยากปะทะกับใครถ้าไม่จำเป็น

แต่หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่หัวหน้าหรือผู้บริหารจะทำให้ทีมงานได้ คือเป็น “คนใจร้ายคนนั้น” ที่จัดการกับคนที่ไม่เหมาะสมให้พ้นไปจากทีม

เพราะหากเราเก็บคนที่ไม่ได้เหมาะกับทีมเอาไว้ เราจะไม่สามารถสร้างทีมงานที่ไว้ใจได้จริงๆ เสียที

  1. หลังวิกฤติคือความงอกงาม

(หลังโควิด) “ถ้าเปรียบเป็นจอมยุทธ์คือเหมือนโดนอะไรหนักๆ ซัดใส่ พายุโหมกระหน่ำ แล้วไปบรรลุวิชาอะไรมา ตีลังกาม้วนลงมาแล้วยืนอย่างสง่างาม พายุอาจพัดคู่แข่งล้มหายตายจากไปบ้างด้วย มันทำให้เรามีมุมมองธุรกิจใหม่ๆ พบเจอเพื่อนใหม่ ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่กลายเป็นเพื่อนสนิทเราในตอนนี้ เห็นน้ำใจกัน วิกฤตก็ทำให้เราเติบโต ได้พบสิ่งดีๆ ในชีวิต ทำให้ปลาเข้าใจธุรกิจเดลิเวอรี่ มีคลาวด์คิทเช่นที่ค่าเช่าหลักหมื่นแต่ขายได้เป็นล้านต่อเดือน ทำให้ได้ลองเข้าไปในธุรกิจที่ไม่เคยทำ ได้พบโอกาสในความดิ้นรนของเรา”

เวลาเจอเรื่องหนักๆ ให้กระซิบบอกตัวเองว่า ‘หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว’ และเรื่องร้ายๆ เหมือนทุกอย่างในชีวิตที่จะผ่านพ้นไปเช่นกัน – This too shall pass.

ระวัง Ultra-Processed Food แล้ว ให้ระวัง Ultra-Processed Content ด้วย

หลังจากงานสัปดาห์หนังสือในเดือนเมษายน หนึ่งในหนังสือออกใหม่ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ Ultra-Processed People ของ Chris Van Tulleken ที่สำนักพิมพ์วีเลิร์นนำมาแปลเป็นภาษาไทย

ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ช่วงกลางปีที่แล้ว แม้จะไม่จบเล่มแต่ก็มากพอที่จะปรับพฤติกรรมให้กินขนมถุง ไส้กรอก โบโลน่า น้อยลงกว่าแต่ก่อน ส่วนพฤติกรรมอื่นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพราะปกติก็กินอาหารปรุงสดแทบทุกมื้ออยู่แล้ว

คนไทยเราโชคดีที่เข้าถึงอาหารปรุงสดได้ง่ายกว่าเมืองนอก ดังนั้นเราก็แค่มี awareness มากขึ้นและเลือกกินอาหารที่ “จะเน่าเสียภายใน 3-5 วัน” (ยกเว้นผลไม้ที่อยู่ได้นานกว่านั้น) ก็น่าจะเพียงพอและทำได้จริง เพราะสุดท้ายแล้วพฤติกรรมระยะยาวของเราจะถูกสภาพแวดล้อมเป็นตัวกำหนดอยู่ดี

หนึ่งในคำแนะนำเรื่องการบริโภคอาหารที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ที่สุดมาจาก Michael Pollan ที่เขียนไว้ในหนังสือ In Defense of Food: An Eater’s Manifesto (2008) ว่า

“Eat food. Not too much. Mostly plants.”

กินอาหารที่เป็นอาหารจริงๆ อย่ากินเยอะเกินไป และให้กินผักและผลไม้เป็นหลัก

ข้อสุดท้ายอาจจะยากหน่อย แถมผักผลไม้บ้านเราก็ดันมียาฆ่าแมลงเยอะ แต่เอาเป็นว่าถ้าเรากินผักผลไม้มากขึ้น กินอาหารที่เป็นอาหารจริงๆ และไม่กินให้อิ่มเกินไป สุขภาพของเราก็น่าจะโอเค

ส่วน ultra-processed food นั้น Pollan ไม่มองว่าเป็น “อาหาร” แต่เป็น “สิ่งแปลกปลอมคล้ายอาหารที่กินได้” (edible food-like substances)

UPF ถูกผลิตโดยการย่อยสลายวัตถุดิบหลัก (เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน จากนั้นจึงนำมารวมกันใหม่ในรูปแบบที่ อร่อยเป็นพิเศษ (hyper-palatable) เพราะเติมเกลือ น้ำตาล และไขมันในปริมาณสูง ทำให้เราหยุดกินไม่ได้ จึงได้รับแคลอรีสูง แต่มีคุณค่าทางอาหารต่ำ และเป็นสาเหตุให้คนเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทั่วโลก

วิธีดูง่ายๆ ว่าอะไรเป็น UPF คือให้ดูส่วนผสมบนซองอาหาร ถ้าเจอชื่อสารเคมีแปลกๆ และไม่ใช่สิ่งที่เราจะเห็นอยู่ในครัวบ้านเรา ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็น UPF


เมื่อวานนี้ผมได้อ่านบทความของ Cal Newport ผู้เขียนหนังสือ Slow Productivity, Digital Minimalism, Deep Work, และ So Good They Can’t Ignore You.

บทความมีชื่อว่า Are We Too Concerned About Social Media? และมีลิงก์ไปอีกบทความที่ชื่อว่า On Ultra-Processed Content ที่เขาเขียนไว้เมื่อกลางปีที่แล้ว หลังจากเดินเข้าร้านหนังสือหลายร้านแล้วเห็นหนังสือ Ultra-Processed People ติดอันดับหนังสือขายดีทุกร้าน

Newport อุปมาอุปมัยว่า “คอนเทนต์” ก็เหมือนอาหารอยู่เหมือนกัน

อาหารแปรรูปขั้นต่ำ: ข้าวกล้อง, ธัญพืชเต็มเมล็ด, ถั่วเปลือกแข็งอบแห้ง
อาหารแปรรูปขั้นกลาง: ขนมปัง, เส้นพาสต้า, อาหารกระป๋อง
อาหารแปรรูปขั้นสูง: น้ำอัดลม, ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

คอนเทนต์แปรรูปขั้นต่ำ: หนังสือ, บทความ
คอนเทนต์แปรรูปขั้นกลาง: วิทยุ, โทรทัศน์
คอนเทนต์แปรรูปขั้นสูง: โซเชียลมีเดีย

ในขณะที่วัตถุดิบสำหรับอาหารแปรรูปขั้นสูงพบได้ในทุ่งข้าวโพดขนาดใหญ่ เนื้อหาโซเชียลมีเดียนั้นดึงมาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโพสต์, ปฏิกิริยา, วิดีโอ และมีม

จากนั้นอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มจะทำการกลั่นกรองชุดข้อมูลขนาดมหึมานี้เพื่อค้นหาว่าคอนเทนต์แบบไหนที่จะทำให้ผู้ใช้งาน “บริโภคจนหยุดไม่ได้” เป็นคอนเทนต์ที่มีแคลอรีสูง (คือทำให้ใจวูบวาบ) แต่คุณค่าทางปัญญาต่ำ

ถ้าการบริโภค UPF ทำให้ร่างกายเราป่วยได้ การบริโภค UPC (Ultra-Processed Content) มากเกินไป ก็อาจทำให้จิตใจเราป่วยได้เช่นกัน

ผมรู้ตัวดีว่าคุณผู้อ่านเองน่าจะอ่านเจอบทความนี้ในโซเชียลมีเดีย ดังนั้นจะให้เลิกใช้โซเชียลมีเดียเลยก็ดูจะมีความย้อนแย้งอยู่เหมือนกัน*

เราคงไม่อาจตัด ultra-processed content ออกไปจากชีวิตได้ นอกจากเราจะเป็นคนอย่าง Cal Newport ที่ไม่ใช้โซเชียลมีเดียเลยตั้งแต่แรก

สิ่งที่เราทำได้คือมี awareness และมองให้ออกว่าเรากำลังโดนอัลกอริทึมกระตุ้นให้เราไถฟีดไม่หยุดอยู่หรือเปล่า

ถ้าเรารู้สึกตัวทัน ก็แค่ว่างมือถือไว้ไกลๆ หยิบหนังสือดีๆ ขึ้นมาอ่าน หรือหันไปคุยกับคนในครอบครัว เพื่อเติมสารอาหารคุณภาพสูงให้สมองและจิตใจครับ


* สามารถรับบทความใหม่ของ Anontawong’s Musings ผ่านทางอีเมลหรือ LINE OpenChat ได้นะครับ แค่กูเกิล “anontawong” คลิกลิงก์แรก แล้ว scroll down ไปประมาณกลางหน้าจะเห็นวิธีการสมัครครับ ถ้าใครเปิดจากแล็ปท็อปจะอยู่ด้านขวามือครับ

Trump และ Crowdstrike ทำให้นึกถึงหนังสือ Fluke อีกครั้ง

สัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ระดับโลก 2 ข่าว

  1. นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ถูกลอบยิงขณะปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์ มลรัฐเพนซิลเวเนีย กระสุนเฉี่ยวใบหูขวา แต่ถ้าก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาทีทรัมป์ไม่ได้หันหน้า วิถีกระสุนอาจแล่นเข้าที่กลางศีรษะ
  2. CrowdStrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ออกอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์ Falcon Sensor ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ Windows เกิดอาการจอฟ้า และระบบ IT ขัดข้องไปทั่วโลก

ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters ของ Brian Klaas ที่ผมเขียนถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตประจำปี 2024

เพราะอะไร จะมาเล่าให้ฟังครับ


หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ใครที่ไม่คุ้นเคย ผมขอปูเรื่องสักนิดนึงนะครับ

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ความตึงเครียดในยุโรปกำลังไต่ระดับ โดยเฉพาะในคาบสมุทรบอลข่าน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ผนวกดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในปี 1908 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวเซอร์เบียที่ต้องการรวมชาติ

วันที่ 28 มิถุนายน 1914 อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พร้อมกับภรรยาคือดัชเชสโซฟี เดินทางมาเยือนเมืองซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนีย กลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียจึงวางแผนลอบสังหารอาร์ชดยุค

ในช่วงเช้า ขณะที่ขบวนรถของอาร์ชดยุคแล่นผ่านถนนในเมือง หนึ่งในผู้ร่วมแผนการชื่อ Nedeljko Čabrinović ได้ขว้างระเบิดใส่รถของอาร์ชดยุค แต่ระเบิดพลาดเป้าและทำให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอาร์ชดยุคและภรรยาปลอดภัย

หลังจากเหตุการณ์นี้ อาร์ชดยุคตัดสินใจเปลี่ยนกำหนดการและเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ระหว่างทาง คนขับรถเกิดความสับสนในเส้นทางและเลี้ยวเข้าผิดซอย และขับผ่าน Gavrilo Princip หนึ่งในกลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียที่ยืนอยู่ในซอยนั้นพอดี

Princip สบโอกาส จึงยิงปืนสองนัด กระสุนนัดแรกถูกอาร์ชดยุคที่ลำคอ ส่วนนัดที่สองถูกดัชเชสโซฟีที่ช่องท้อง ทั้งสองเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังจากนั้น Princip พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุมในที่สุด

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ในยุโรป ออสเตรีย-ฮังการีกล่าวหาว่าเซอร์เบียอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร และส่งคำขาดให้เซอร์เบียยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวด เมื่อเซอร์เบียปฏิเสธ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงคราม ด้วยระบบพันธมิตรที่ซับซ้อนในยุโรปขณะนั้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ทยอยประกาศสงครามตามมา จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด


ในหนังสือ Fluke ผู้เขียนเล่าว่า ก่อนหน้านั้นเพียง 7 เดือน อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์และดัชเชสโซฟี ได้รับเชิญให้ไปเยือนอังกฤษ และอาร์ชดยุคก็ได้ออกทริปล่าสัตว์ที่ Welbeck Abbey (อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองแมนเชสเตอร์ประมาณ 100 กิโลเมตร)

วันนั้นเพิ่งมีหิมะตก พื้นดินจึงลื่น คนที่ทำหน้าที่โหลดประสุนปืนลื่นล้ม ทำปืนตกพื้นจนปืนลั่น กระสุนคลาดอาร์ชดยุคไปเพียงไม่กี่ฟุต

ถ้าอาร์ชดยุคโดนกระสุนปืนและเสียชีวิตใน Welbeck Abbey ตั้งแต่วันนั้น ก็น่าคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถึงแม้จะเกิด ก็คงเป็นบริบทที่ต่างออกไปจนอาจไม่ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดของนาซีที่เป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นได้

หากวิถีกระสุนเปลี่ยนเพียงนิดเดียว โลกของเราอาจไม่ได้มีหน้าตาอย่างทุกวันนี้

การหันหน้าของทรัมป์ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มือปืนจะลั่นไก อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปได้ตลอดกาลได้เช่นกัน


เมื่อวานนี้ CNN ได้พาดหัวข่าว “How the world’s tech crashed all at once” ที่อธิบายว่าทั่วโลกเกิดจอฟ้าได้อย่างไร

Costin Raiu นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า

“คนส่วนใหญ่เชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดจากการที่ AI ยึดครองโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และปิดระบบไฟฟ้า ในขณะที่ความจริงแล้ว สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า คือโค้ดที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยซึ่งนำไปสู่การอัปเดตระบบที่ผิดพลาด และสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ในระบบคลาวด์ที่เชื่อมโยงถึงกันหมด”

ในหนังสือเรื่อง Fluke ได้พูดเอาไว้ว่า เมื่อเราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมถึงกันหมด (hyperconnected world) ก็จะมีโอกาสเกิด black swans ได้มากขึ้นเช่นกัน

Black swan คือเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้และส่งผลกระทบรุนแรงหรือเป็นวงกว้าง อย่างเช่นเหตุการณ์ Crowdstrike ในครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ยและไม่เคยมีใครออกมาเตือนล่วงหน้า นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่เซอร์ไพรส์แทบทุกคนและตั้งรับกันแทบไม่ทัน

CrowdStrike สร้างระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งบริษัทก็เติบโตเป็นอย่างมากจนมีลูกค้าอยู่ทั่วโลกและมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 95 billion USD (วันนี้เหลือ 74 billion USD หลังเกิดเหตุการณ์จอฟ้า)

ส่วน Microsoft Windows ก็เป็นระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งทางตลาดเกิน 70% ที่รองลงมาคือ macOS และ Linux

เมื่อในตลาดมี “ผู้ชนะ” เพียงไม่กี่ราย ข้อดีคือมี econonomy of scale และอุปกรณณ์สามารถเชื่อมต่อกันง่ายขึ้น

แต่ข้อเสียก็คือระบบนิเวศทาง IT ไม่มีความหลากหลาย เมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา มันจึงมีผลกระทบเป็นวงกว้าง

สิ่งที่มาพร้อมกับการ (over)optimization ก็คือความเปราะบางหรือ fragility

Brian Klaas เคยให้สัมภาษณ์กับ New Statesman ไว้ว่า

“เราได้ออกแบบโลกที่มีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

โดย Klaas ยกตัวอย่างวิกฤติเรือ Ever Given ของบริษัท Evergreen Marine

วันที่ 23 มีนาคม 2021 เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ Ever Given ออกจากท่าเรือในจีนและมุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ แต่ระหว่างที่แล่นผ่านคลองสุเอซก็เกิดลมแรงจนเรือสูญเสียการควบคุม หัวเรือไปเกยเข้ากับฝั่ง และกีดขวางเส้นทางของคลองสุเอซอยู่ 6 วัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 54,000 ล้านดอลลาร์

“เรือแค่ลำเดียวไม่เคยสร้างความเสียหายระดับนี้ได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเหตุผลที่มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราได้ปรับแต่งโลกให้มีประสิทธิภาพเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างให้ความยืดหยุ่นเลย”

ผมคิดว่าปรากฎการณ์เรือขวางคลองสุเอซมีความละม้ายคล้ายคลึงกับถนนหนทางในกรุงเทพ ที่พอรถเสียหรือรถจอดแช่อยู่แค่เลนเดียวก็ทำให้รถติดได้หลายร้อยเมตร

เมื่อเรามุ่งสู่ economony of scale และ cost opimization ตามแบบฉบับของทุนนิยมที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด ปัญหาที่คาดไม่ถึงจึงอาจส่งผลลุกลามเป็นวงกว้างได้เสมอ


ในหนังสือเรื่อง Fluke ยังพูดถึง Local stability / Global instability อีกด้วย

ในสมัยก่อน สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม เราหาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผล บางวันก็ล่าสัตว์ได้ บางวันก็กลับบ้านมือเปล่า บางวันก็เกิดอุบัติเหตุหรือต่อสู้กันจนถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ ในแต่ละวันมนุษย์จึงต้องคอยลุ้นว่าเราจะยังรักษาชีวิตรอดจนถึงอาหารมื้อถัดไปหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ Klaas เรียกว่า local instability คือความไม่แน่นอนของชีวิตวันต่อวัน

แต่ถ้ามองในระดับโลก โลกสมัยก่อนแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะมนุษย์ยังไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่จะสร้างผลกระทบกับโลกได้เป็นวงกว้าง หากมีมนุษย์ต่างดาวถ่ายรูปโลกเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว กับโลกเมื่อ 15,000 ปีที่แล้ว รูปถ่ายอาจจะออกมาเหมือนกันเลยก็ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า global stability

โลกยุคก่อนจึงมี local instability แต่ global stability

แต่โลกสมัยนี้นั้นพลิกผัน เพราะเรามี local stability แต่ global instability

ระดับ local ชีวิตเราหน้าตาเหมือนเดิมทุกวัน แทบทุกอย่างคาดการณ์ได้ เราไม่ต้องลุ้นวันต่อวันว่าจะได้กินข้าวมื้อถัดไปเมื่อไหร่ ถ้าเดินเข้าร้านกาแฟหรือฟาสต์ฟู้ดยี่ห้อดังไม่ว่าจะสาขาไหนประเทศใดเราก็พอจะเดาได้ว่าจะได้อาหารรสชาติอย่างไร นี่คือ local stability

แต่ในระดับโลกนั้น เรามี global instability มากกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งในแง่ภูมิรัฐศาสต์ ทั้งภาวะโลกร้อน ทั้งระบบ IT ที่เชื่อมโยงกันหมดระดับที่ว่าผีเสื้อกระพือปีกในเท็กซัสก็ทำให้เครื่องจอฟ้าได้ที่ดอนเมือง


หนังสือ Fluke มอบเลนส์ให้มองสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ชัดขึ้น และบอกใบ้ว่าเราจะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรเพื่อจะอยู่ต่อไปกับโลกที่คาดเดาไม่ได้ใบนี้

เมื่อวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย. ตอน 8 โมงเช้า ผมได้จัด online discussion ให้กับผู้ติดตามบล็อกที่ได้อ่านหนังสือ Fluke มีคนมาร่วมเกือบ 20 คน เป็นการพูดคุยที่ได้มุมมองน่าสนใจกลับไปขบคิดต่อเยอะมาก

และเนื่องจากว่ามีหลายท่านที่ทักอินบ็อกซ์มาว่าเสียดายที่มาร่วมไม่ได้ อยากให้มีจัดอีกครั้ง ผมเลยมีความตั้งใจจะนัด online discussion หนังสือ Fluke อีกรอบ ในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน โดยคราวนี้น่าจะเป็นช่วงหัวค่ำวันเสาร์หรืออาทิตย์ครับ

ถ้าใครสนใจก็ลงชื่อไว้ในลิงค์ที่อยู่ในช่องคอมเมนท์ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือจบก็เข้าร่วมได้ครับ เมื่อได้วันเวลาที่แน่นอนแล้วผมจะส่งอีเมลไปแจ้งรายละเอียดครับผม


ลงทะเบียน waiting list ได้ที่นี่ครับ https://forms.gle/QbknJqeaTUsgqPQq6