MLM และความน่าจะเป็นที่มันจะสร้างอิสรภาพทางการเงิน

ช่วงนี้หน้าฟีดของผมเต็มไปด้วยข่าวเรื่อง MLM เจ้าหนึ่งที่มีผู้เสียหายมากมายจนรายการดังต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุย

MLM ย่อมาจาก Multi Level Marketing ที่เป็นการขายแบบมีแม่ข่ายที่หาลูกข่ายหรือ downline มาช่วยขายสินค้า ทำให้บริษัทลดค่าโฆษณาเพราะมีเอเจ้นท์นับพันนับหมื่นช่วยหาลูกค้าให้ โดยหวังว่าตัวเองจะสร้างทีมงานได้มากพอที่จะมี passive income และมีอิสรภาพทางการเงิน

ผมเองเคยถูกชวนให้ไปทำ MLM แล้วไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง มีสมัครไปครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรมาก เสียเงินไปหลักพันเท่านั้น ต่างจากผู้เสียหายที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ที่หมดเงินกันไปเป็นหลักแสน

ช่วงนี้ข่าวเน้นไปที่ตัวละครสำคัญที่มีคนรู้จัก ผมเลยอยากจะชวนดูภาพใหญ่กว่านั้น

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเคยคุยละเอียดกับอาจารย์ระดับด็อกเตอร์ท่านหนึ่งที่มาชวนผมเป็นดาวน์ไลน์ของ MLM เจ้าหนึ่ง

อาจารย์บอกว่าเพียงผมหาดาวน์ไลน์ให้ได้เดือนละ 1 คน พอครบ 5 เดือนผมก็จะหาดาวน์ไลน์ได้ 5 คน และแต่ละคนก็ไปหาดาวน์ไลน์ 5 คนไปเรื่อยๆ

ทุกคนที่เป็นสมาชิกต้องจ่ายเดือนละ 5,000 บาทในการซื้อของเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกนั้น และผมมีโอกาสได้ส่วนแบ่ง 5% จากยอดขายของทุกคนใน “พีระมิด” ของผมถึง 5 ชั้น

ชั้นแรกมี 5 คน
ชั้นสองมี 5^2 = 25 คน
ชั้นสามมี 5^3 = 125 คน
ชั้นสี่มี 5^4 = 625 คน
ชั้นห้ามี 5^5 = 3125 คน

ถ้าผมสร้างพีระมิดของผมครบจริงๆ ผมจะมีคนอยู่ในทีมถึง 5+25+125+625+3125 = 3,905 คน

สมมติว่าทุกคนซื้อของขั้นต่ำเดือนละ 5000 บาท ผมก็จะได้ส่วนแบ่ง 5% = 250 บาทต่อคนต่อเดือน

250 บาท * 3905 คน = 976,250 บาท

ถ้ามี passive income เดือนละเกือบล้าน ก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว!

แต่เราอาจจะมักน้อย ไม่ต้องสร้างพีระมิด 5 ชั้นก็ได้ สร้างแค่ 4 ชั้นก็พอ ก็จะมีทีมงาน 5+25+125+625 = 780 คน เมื่อคูณค่าส่วนแบ่งคนละ 250 บาทก็ได้จะได้เงิน 195,000 ซึ่งเป็นเลขที่ทำให้เราฝันหวานได้อยู่เหมือนกัน

แต่ถ้าสร้างพีระมิดแค่ 3 ชั้น จะได้เงินส่วนแบ่ง 38,750 ไม่ขี้เหร่ แต่ก็ไม่น่าจะเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินได้

คำถามก็คือ ในประเทศไทย คนที่มีรายได้พอที่จะจ่ายตังค์เดือนละ 5000 บาทเพื่อรักษายอดนั้นมีกี่คน?

ประเทศไทยมีประชากร 72 ล้านคน อยู่ในวัยทำงาน (23-60 ปี) ไม่เกิน 35 ล้านคน และมีคนจ่ายภาษีเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น แถมประมาณครึ่งนึงของ 4 ล้านคนนี้ มีเงินเดือนไม่ถึง 25,000 บาท ซึ่งน่าจะไม่ได้มีรายได้เพียงพอที่จะลงทุนซื้อของมาสต็อค หรือซื้อของทุกเดือนเพื่อรักษาความเป็นสมาชิก

คนที่มีเงินเดือน 25,000 บาทขึ้นไป จึงมีเพียงประมาณ 2 ล้านคน และคงมีไม่เกิน 1 ใน 10 ที่สนใจทำ MLM ดังนั้นจึงมีคน 200,000 คนที่พร้อมเข้ามาในธุรกิจนี้และมีกำลังทรัพย์เพียงพอ

MLM ในตลาดเมืองไทย เอาเฉพาะแค่เจ้าใหญ่ๆ ที่เรารู้จักชื่อก็มีไม่น้อยกว่า 10 เจ้าแล้ว 200,000 คนก็ต้องแบ่งคนกันไปทำ

สมมติว่า MLM เจ้าที่มีคนมาชวนผมมีคนลงมาทำประมาณ 10% หรือ 20,000 คน

แต่ละพีระมิดจะมี 6 ชั้น 1-5-25-125-625-3125 = 3906 คน

ใน 20,000 จะสามารถสร้าง “พีระมิดสมบูรณ์” ได้ไม่เกิน 20,000/3,906 หรือประมาณ 5 พีระมิด (ซึ่งแน่นอนว่าในความจริงแล้วจะมีพีระมิดเกิดขึ้นมากกว่านั้นทับซ้อนกันหลายอัน บางอันอาจจะมีแค่ 2 ชั้น และบางอันอาจจะมีเกิน 5 ชั้นก็ได้)

ยอดพีระมิด ได้เงินเดือนละ 976,250 จะมี 5 คน (1 คน * 5 พีระมิด)

ชั้นที่ห้า ได้เงินเดือนละ 195,000 จะมี 25 คน (5 คน * 5 พีระมิด)

ชั้นที่สี่ ได้เงินเดือนละ 38,750 จะมี 125 คน

ชั้นที่สาม ได้เงินเดือนละ 7,500 บาท มี 625 คน

ชั้นที่สอง ได้เงินเดือนละ 1,250 บาท มี 3125 คน

ฐานพีระมิด ไม่ได้เงินเลย มี 15,625 คน

คนที่ลงเล่นเกมนี้มี 5+25+125+625+3125+15625 = 19,530 คน

คนที่ “สมหวัง” มีอิสรภาพทางการเงินหรือรายได้เกินเดือนละ 200,000 คือยอดพีระมิด 5 คน และชั้นที่ห้าอีก 25 คน รวมแล้ว 30 คน

30/19530 คิดเป็น 0.15% หรือ 15 คนใน 10,000 คน นี่คือโอกาสที่ผมจะมีอิสรภาพทางการเงินกับ MLM เจ้านี้

ส่วนอีก 19,500 คน คิดเป็น 99.85% คือคนที่ต้องผิดหวังต่อไป โดยจะมีประมาณร้อยกว่าคนที่ได้เงินเดือนละเกือบสี่หมื่น ส่วนที่เหลือได้เงินแค่หลักพัน

ถ้าอยากให้ทุกคนที่ฐานพีระมิดซึ่งมีทั้งหมด 15,625 คนสมหวัง แสดงว่าฐานพีระมิดแต่ละคนต้องสร้างทีมใต้เขาให้ได้ 780 คน หรือต้องใช้คนทั้งหมด 15,625*780 = 12,187,500 คน!

ต่อให้ MLM เจ้านี้กินตลาดส่วนแบ่งเพิ่มจาก 10% เป็น 30% แต่โอกาสของคนที่จะมี financial freedom ก็ยังเท่าเดิมอยู่ดี เพราะการคิดค่า commission ก็ยัง 5% ใน 5 ชั้นเหมือนเดิม เพียงแต่เราอาจมีโอกาสได้ไปอยู่บนชั้นบนๆ ของพีระมิดมากขึ้น

คำถามเดียวที่จะทำให้เกมนี้เปลี่ยนได้ ก็คือ “นอกจากลูกข่ายแล้ว ยังมีใครเป็นลูกค้าของ MLM เจ้านี้อีกบ้าง?”

เพราะถ้ามีแต่คนข้างในซื้อกันเอง แต่ไม่มีการใช้สินค้านั้นจริง สิ่งที่จะเกิดก็คือฐานพีระมิดจะอยู่ไม่ได้ และผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะไม่มีใครพร้อมเข้ามาเป็นฐานพีระมิดอีกต่อไป

แต่ถ้า MLM เจ้านั้นมีฐานลูกค้าอยู่จริงๆ (organic customers) ซื้อสินค้าเพราะจะใช้สอย ไม่ได้ซื้อเพื่อรักษายอดหรือหวังสร้างความร่ำรวย ก็แปลว่าตัวแทนขายน่าจะยังยึดเป็นสัมมาชีพโดยไม่จำเป็นต้องมุ่งสร้างพีระมิดแต่เพียงอย่างเดียว เพราะรายได้สามารถเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ด้วยการไปหาดาวน์ไลน์มาเติมอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น ถ้าใครมาชวนเราทำ MLM ก็ลองดูให้ดีว่าสินค้านั้นมีคนใช้งานจริงหรือไม่ มีใครรู้จักหรือเปล่า ลองเอาชื่อสินค้าไปเสิร์ชในแอปที่เราใช้ซื้อของเป็นประจำก็น่าจะพอได้เค้าลาง

หากเจอ MLM เจ้าไหนที่เน้นแต่การสร้างดาวน์ไลน์และสร้างความหวังว่าวันหนึ่งเราจะรวย ก็จงตั้งสติให้มั่น

ไม่อย่างนั้นเราจะตกเป็นเหยื่อของกิเลสเราเองครับ

Trump และ Crowdstrike ทำให้นึกถึงหนังสือ Fluke อีกครั้ง

สัปดาห์นี้มีข่าวใหญ่ระดับโลก 2 ข่าว

  1. นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ถูกลอบยิงขณะปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์ มลรัฐเพนซิลเวเนีย กระสุนเฉี่ยวใบหูขวา แต่ถ้าก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาทีทรัมป์ไม่ได้หันหน้า วิถีกระสุนอาจแล่นเข้าที่กลางศีรษะ
  2. CrowdStrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ออกอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์ Falcon Sensor ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ Windows เกิดอาการจอฟ้า และระบบ IT ขัดข้องไปทั่วโลก

ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters ของ Brian Klaas ที่ผมเขียนถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตประจำปี 2024

เพราะอะไร จะมาเล่าให้ฟังครับ


หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ใครที่ไม่คุ้นเคย ผมขอปูเรื่องสักนิดนึงนะครับ

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ความตึงเครียดในยุโรปกำลังไต่ระดับ โดยเฉพาะในคาบสมุทรบอลข่าน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ผนวกดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในปี 1908 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวเซอร์เบียที่ต้องการรวมชาติ

วันที่ 28 มิถุนายน 1914 อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พร้อมกับภรรยาคือดัชเชสโซฟี เดินทางมาเยือนเมืองซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนีย กลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียจึงวางแผนลอบสังหารอาร์ชดยุค

ในช่วงเช้า ขณะที่ขบวนรถของอาร์ชดยุคแล่นผ่านถนนในเมือง หนึ่งในผู้ร่วมแผนการชื่อ Nedeljko Čabrinović ได้ขว้างระเบิดใส่รถของอาร์ชดยุค แต่ระเบิดพลาดเป้าและทำให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอาร์ชดยุคและภรรยาปลอดภัย

หลังจากเหตุการณ์นี้ อาร์ชดยุคตัดสินใจเปลี่ยนกำหนดการและเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ระหว่างทาง คนขับรถเกิดความสับสนในเส้นทางและเลี้ยวเข้าผิดซอย และขับผ่าน Gavrilo Princip หนึ่งในกลุ่มนักชาตินิยมเซอร์เบียที่ยืนอยู่ในซอยนั้นพอดี

Princip สบโอกาส จึงยิงปืนสองนัด กระสุนนัดแรกถูกอาร์ชดยุคที่ลำคอ ส่วนนัดที่สองถูกดัชเชสโซฟีที่ช่องท้อง ทั้งสองเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังจากนั้น Princip พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุมในที่สุด

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ในยุโรป ออสเตรีย-ฮังการีกล่าวหาว่าเซอร์เบียอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร และส่งคำขาดให้เซอร์เบียยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวด เมื่อเซอร์เบียปฏิเสธ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงคราม ด้วยระบบพันธมิตรที่ซับซ้อนในยุโรปขณะนั้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ทยอยประกาศสงครามตามมา จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด


ในหนังสือ Fluke ผู้เขียนเล่าว่า ก่อนหน้านั้นเพียง 7 เดือน อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์และดัชเชสโซฟี ได้รับเชิญให้ไปเยือนอังกฤษ และอาร์ชดยุคก็ได้ออกทริปล่าสัตว์ที่ Welbeck Abbey (อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองแมนเชสเตอร์ประมาณ 100 กิโลเมตร)

วันนั้นเพิ่งมีหิมะตก พื้นดินจึงลื่น คนที่ทำหน้าที่โหลดประสุนปืนลื่นล้ม ทำปืนตกพื้นจนปืนลั่น กระสุนคลาดอาร์ชดยุคไปเพียงไม่กี่ฟุต

ถ้าอาร์ชดยุคโดนกระสุนปืนและเสียชีวิตใน Welbeck Abbey ตั้งแต่วันนั้น ก็น่าคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถึงแม้จะเกิด ก็คงเป็นบริบทที่ต่างออกไปจนอาจไม่ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดของนาซีที่เป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นได้

หากวิถีกระสุนเปลี่ยนเพียงนิดเดียว โลกของเราอาจไม่ได้มีหน้าตาอย่างทุกวันนี้

การหันหน้าของทรัมป์ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มือปืนจะลั่นไก อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปได้ตลอดกาลได้เช่นกัน


เมื่อวานนี้ CNN ได้พาดหัวข่าว “How the world’s tech crashed all at once” ที่อธิบายว่าทั่วโลกเกิดจอฟ้าได้อย่างไร

Costin Raiu นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า

“คนส่วนใหญ่เชื่อว่าวันสิ้นโลกจะเกิดจากการที่ AI ยึดครองโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และปิดระบบไฟฟ้า ในขณะที่ความจริงแล้ว สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า คือโค้ดที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยซึ่งนำไปสู่การอัปเดตระบบที่ผิดพลาด และสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ในระบบคลาวด์ที่เชื่อมโยงถึงกันหมด”

ในหนังสือเรื่อง Fluke ได้พูดเอาไว้ว่า เมื่อเราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมถึงกันหมด (hyperconnected world) ก็จะมีโอกาสเกิด black swans ได้มากขึ้นเช่นกัน

Black swan คือเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้และส่งผลกระทบรุนแรงหรือเป็นวงกว้าง อย่างเช่นเหตุการณ์ Crowdstrike ในครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ยและไม่เคยมีใครออกมาเตือนล่วงหน้า นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่เซอร์ไพรส์แทบทุกคนและตั้งรับกันแทบไม่ทัน

CrowdStrike สร้างระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งบริษัทก็เติบโตเป็นอย่างมากจนมีลูกค้าอยู่ทั่วโลกและมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 95 billion USD (วันนี้เหลือ 74 billion USD หลังเกิดเหตุการณ์จอฟ้า)

ส่วน Microsoft Windows ก็เป็นระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งทางตลาดเกิน 70% ที่รองลงมาคือ macOS และ Linux

เมื่อในตลาดมี “ผู้ชนะ” เพียงไม่กี่ราย ข้อดีคือมี econonomy of scale และอุปกรณณ์สามารถเชื่อมต่อกันง่ายขึ้น

แต่ข้อเสียก็คือระบบนิเวศทาง IT ไม่มีความหลากหลาย เมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา มันจึงมีผลกระทบเป็นวงกว้าง

สิ่งที่มาพร้อมกับการ (over)optimization ก็คือความเปราะบางหรือ fragility

Brian Klaas เคยให้สัมภาษณ์กับ New Statesman ไว้ว่า

“เราได้ออกแบบโลกที่มีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

โดย Klaas ยกตัวอย่างวิกฤติเรือ Ever Given ของบริษัท Evergreen Marine

วันที่ 23 มีนาคม 2021 เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ Ever Given ออกจากท่าเรือในจีนและมุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ แต่ระหว่างที่แล่นผ่านคลองสุเอซก็เกิดลมแรงจนเรือสูญเสียการควบคุม หัวเรือไปเกยเข้ากับฝั่ง และกีดขวางเส้นทางของคลองสุเอซอยู่ 6 วัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 54,000 ล้านดอลลาร์

“เรือแค่ลำเดียวไม่เคยสร้างความเสียหายระดับนี้ได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเหตุผลที่มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราได้ปรับแต่งโลกให้มีประสิทธิภาพเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างให้ความยืดหยุ่นเลย”

ผมคิดว่าปรากฎการณ์เรือขวางคลองสุเอซมีความละม้ายคล้ายคลึงกับถนนหนทางในกรุงเทพ ที่พอรถเสียหรือรถจอดแช่อยู่แค่เลนเดียวก็ทำให้รถติดได้หลายร้อยเมตร

เมื่อเรามุ่งสู่ economony of scale และ cost opimization ตามแบบฉบับของทุนนิยมที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด ปัญหาที่คาดไม่ถึงจึงอาจส่งผลลุกลามเป็นวงกว้างได้เสมอ


ในหนังสือเรื่อง Fluke ยังพูดถึง Local stability / Global instability อีกด้วย

ในสมัยก่อน สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม เราหาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผล บางวันก็ล่าสัตว์ได้ บางวันก็กลับบ้านมือเปล่า บางวันก็เกิดอุบัติเหตุหรือต่อสู้กันจนถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ ในแต่ละวันมนุษย์จึงต้องคอยลุ้นว่าเราจะยังรักษาชีวิตรอดจนถึงอาหารมื้อถัดไปหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ Klaas เรียกว่า local instability คือความไม่แน่นอนของชีวิตวันต่อวัน

แต่ถ้ามองในระดับโลก โลกสมัยก่อนแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะมนุษย์ยังไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรที่จะสร้างผลกระทบกับโลกได้เป็นวงกว้าง หากมีมนุษย์ต่างดาวถ่ายรูปโลกเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว กับโลกเมื่อ 15,000 ปีที่แล้ว รูปถ่ายอาจจะออกมาเหมือนกันเลยก็ได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า global stability

โลกยุคก่อนจึงมี local instability แต่ global stability

แต่โลกสมัยนี้นั้นพลิกผัน เพราะเรามี local stability แต่ global instability

ระดับ local ชีวิตเราหน้าตาเหมือนเดิมทุกวัน แทบทุกอย่างคาดการณ์ได้ เราไม่ต้องลุ้นวันต่อวันว่าจะได้กินข้าวมื้อถัดไปเมื่อไหร่ ถ้าเดินเข้าร้านกาแฟหรือฟาสต์ฟู้ดยี่ห้อดังไม่ว่าจะสาขาไหนประเทศใดเราก็พอจะเดาได้ว่าจะได้อาหารรสชาติอย่างไร นี่คือ local stability

แต่ในระดับโลกนั้น เรามี global instability มากกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งในแง่ภูมิรัฐศาสต์ ทั้งภาวะโลกร้อน ทั้งระบบ IT ที่เชื่อมโยงกันหมดระดับที่ว่าผีเสื้อกระพือปีกในเท็กซัสก็ทำให้เครื่องจอฟ้าได้ที่ดอนเมือง


หนังสือ Fluke มอบเลนส์ให้มองสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ชัดขึ้น และบอกใบ้ว่าเราจะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรเพื่อจะอยู่ต่อไปกับโลกที่คาดเดาไม่ได้ใบนี้

เมื่อวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย. ตอน 8 โมงเช้า ผมได้จัด online discussion ให้กับผู้ติดตามบล็อกที่ได้อ่านหนังสือ Fluke มีคนมาร่วมเกือบ 20 คน เป็นการพูดคุยที่ได้มุมมองน่าสนใจกลับไปขบคิดต่อเยอะมาก

และเนื่องจากว่ามีหลายท่านที่ทักอินบ็อกซ์มาว่าเสียดายที่มาร่วมไม่ได้ อยากให้มีจัดอีกครั้ง ผมเลยมีความตั้งใจจะนัด online discussion หนังสือ Fluke อีกรอบ ในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน โดยคราวนี้น่าจะเป็นช่วงหัวค่ำวันเสาร์หรืออาทิตย์ครับ

ถ้าใครสนใจก็ลงชื่อไว้ในลิงค์ที่อยู่ในช่องคอมเมนท์ได้เลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือจบก็เข้าร่วมได้ครับ เมื่อได้วันเวลาที่แน่นอนแล้วผมจะส่งอีเมลไปแจ้งรายละเอียดครับผม


ลงทะเบียน waiting list ได้ที่นี่ครับ https://forms.gle/QbknJqeaTUsgqPQq6

การ Work Hard ของผู้บริหารหน้าตาเป็นอย่างไร

บทความนี้จุดประกายมาจากเฟซบุ๊คสเตตัสของพี่แท้ป รวิศ หาญอุตสาหะ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2024 ซึ่งมีคนแชร์ไปแล้วสองหมื่นกว่าครั้งภายในสองวัน:

“ดูจากบรรยากาศเศรษฐกิจ 1-2 ปีต่อจากนี้ บอกเลยว่าใครยังทำงานชิล work life balance slow life อยู่ไม่รอดแน่นอน ตอนนี้ต้องกลับเข้าสู่บรรยากาศ work hard to survive แล้ว”

วันถัดมาพี่แท้ปก็อัปโหลดคลิปบน YouTube ชื่อ “ขยายความประเด็น Work Hard (และ Work Smart) ในการทำงานและการใช้ชีวิต | Mission To The Moon EP.2169

ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยมีหลายคนตั้งแง่ว่าเจ้าของหรือผู้บริหารก็อยากให้ลูกน้องทำงานหนักอยู่แล้ว ซึ่งผมคงไม่แตะประเด็นนั้น

ประเด็นที่ผมสนใจ และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็คือ การ Work Hard ของผู้บริหารนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

ผมเองอายุ 40 กว่า ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแผนก HR ให้บริษัท tech ที่มีพนักงานพันกว่าคน คิดว่าน่าจะพอจะเข้าใจคนที่หน้าที่การงานเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ระดับหนึ่ง

จากประสบการณ์ ผมคิดว่าคนที่เป็นระดับ Director, Head, VP หรือ C-Suite นั้นเป็นคนทำงานหนักอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ (แน่นอนว่าบางคนก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ผมเชื่อว่าเป็นส่วนน้อย)

สิ่งหนึ่งที่คนในตำแหน่งเหล่านี้หนีไม่พ้น ก็คือต้องเข้าประชุมเยอะมาก ตารางแน่นเกือบทั้งวันจนแทบไม่มีเวลากินข้าวหรือเข้าห้องน้ำ กว่าจะมีเวลาเคลียร์อีเมลหรือไล่ตอบ Slack ก็เป็นช่วงหัวค่ำแล้ว สัปดาห์หนึ่งน่าจะได้ทำงานเกือบ 50 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจมันแย่และมีความเสี่ยงรออยู่มากมาย เราจะ work hard หรือ work even harder ได้อย่างไร?

คำว่า “Musings” ใน Anontawong’s Musings แปลว่า “การคิดไปเรื่อยๆ”

ผมจึงขอพาผู้อ่านออกเดินทางไกล แต่สัญญาว่าจะพากลับเข้าฝั่งในตอนท้ายนะครับ


เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีก่อน รายการทีวีหลายรายการมักจะเอาโฮมวีดีโอมาเปิดให้พวกเราดู

“โฮมวีดีโอ” คือคลิปที่มักถูกถ่ายจากกล้องวีดีโอประเภท camcorder ที่คนในบ้านถ่ายเอาไว้ดูเอง ถ้าอันไหนฮา ก็จะส่งมาให้รายการทีวีเผยแพร่

มีโฮมวีดีโอตัวหนึ่งน่ารักมาก และผมยังจำได้มาจนถึงวันนี้

เป็นคลิปของเด็กผู้หญิงฝรั่งอายุไม่เกิน 4 ขวบ สวมชุดกระโปรง สะพายกระเป๋าถือที่มีสายสะพายยาวๆ

เด็กคนนี้ออกวิ่งไปได้นิดเดียวก็ล้มปุ! โชคยังดีที่เป็นสนามหญ้า

สาเหตุที่ล้มก็เพราะว่าสายสะพายกระเป๋ามันยาวมาก ตัวกระเป๋าจึงไปรั้งที่เข่าเธอและทำให้เธอวิ่งแล้วสะดุด

สิ่งที่เด็กคนนี้ทำคืออะไรรู้มั้ยครับ?

เธอก้มลงผูกเชือกรองเท้าใหม่ให้แน่นขึ้น

แล้วก็ออกวิ่ง เพียงเพื่อที่จะล้มลงอีกครั้ง

แล้วเธอก็พยายามผูกเชือกรองเท้าอีก

ผมจำได้ว่าผมดูวีดีโอนี้แล้วก็ขำในความไร้เดียงสาของเด็กน้อย

แต่ก็เข้าใจเด็กนะว่าทำไมเธอถึงคิดว่ารองเท้าเป็นปัญหา ในเมื่อหนูใช้เท้าวิ่ง ถ้าเกิดวิ่งไม่ไป หนูก็ต้องแก้ที่รองเท้าสิ

ต้องล้มถึงสามครั้ง เด็กคนนี้ถึงจะถึงบางอ้อว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เชือกผูกรองเท้า

เธอจึงดึงกระเป๋าสะพายให้ไปห้อยด้านหลังแทน แล้วก็ออกวิ่งโดยไม่ล้มอีกเลย

ในฐานะคนทำงาน พอเรารู้สึกว่าต้อง work harder เรามีความเสี่ยงที่จะเข้าใจว่าปัญหาอยู่ที่เชือกผูกรองเท้า

ทุกครั้งที่ล้ม เราจะคิดว่ารองเท้าไม่ดี เราเลยพยายามผูกเชือกรองเท้าใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อจะล้มอีกครั้งแล้วครั้งเล่า


“ปีนี้จะไม่ง่าย เราจึงต้องมีเวลาคิดเยอะๆ”

ประโยคนี้เป็นคำพูดของพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร CEO ของโอสถสภา และ mentor ของผมในโครงการ IMET MAX

พี่อ้นบอกว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่ขึ้นมาถึงเรามักจะเป็นปัญหายากๆ ทั้งนั้น เพราะปัญหาง่ายๆ ลูกน้องแก้ให้หมดแล้ว

เมื่อต้องพบเจอปัญหาระดับตัวบอสวันละหลายปัญหา แถมต้องมีประชุมเกือบทั้งวัน โจทย์สำคัญคือเราจะจัดการตัวเองอย่างไรเพื่อจะมีสมาธิ พลังงาน และเวลาในการขบคิดเรื่องที่สำคัญต่อองค์กร และต่อชีวิตตนเอง


ครั้งหนึ่งผมเคยได้ไปร่วมโต๊ะกินข้าวกับพี่เล้ง ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ MFEC และผู้ทำให้คนทำงานหันมาสนใจการบริหารสไตล์เต้าเต๋อจิง

พี่เล้งถามพวกเราว่า รู้มั้ยว่า “ความรู้” กับ “ปัญญา” ต่างกันอย่างไร

หลังจากฟังคำตอบจากรอบวงแล้ว พี่เล้งก็เฉลยว่า

ความรู้เกิดจากความมี ปัญญาเกิดจากความว่าง


Naval Ravikant นักลงทุนสาย venture capital ในบริษัทอย่าง Twitter, Uber, และ Stack Overflow เคยกล่าวไว้ว่า

“การตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จริงๆ แล้ว คนที่ตัดสินใจถูกต้อง 80 เปอร์เซ็นต์แทนที่จะเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ จะได้รับค่าตอบแทนจากตลาดมากกว่าเป็นร้อยเท่า

ถ้าผมบริหารเงิน 1 พันล้านดอลลาร์และผมคิดถูกมากกว่าคนอื่น 10 เปอร์เซ็นต์ การตัดสินใจของผมจะสร้างมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แรงงานจำนวนมาก และเงินทุน การตัดสินใจของเรามี leverage มากขึ้นเรื่อยๆ”


Scott Galloway เล่าไว้ในหนังสือ The Algebra of Wealth ว่า ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมักไม่ใช่คนที่ตัดสินใจถูกที่สุด แต่เป็นคนที่ตัดสินใจบ่อยที่สุดต่างหาก

“It’s not the person who makes the best decisions who comes out ahead, it’s the person who makes the most decisions. Making more decisions means you get more feedback, and you get better at it. Each decision you make is an opportunity to pivot, and the more decisions there are, the lower the stakes of any wrong decision you make.”

คุณต้นสน สันติธาร เสถียรไทย ก็เขียนเอาไว้ในหนังสือ Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม ว่า

“If you have to forecast, forecast often. – หากคุณต้องพยากรณ์ ก็จงพยากรณ์บ่อยๆ

สิ่งที่อันตรายที่สุดในการคาดการณ์อนาคตคือ การยึดติดกับมุมมองเดียว ไม่เปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ที่เข้ามา แม้วันนี้มุมมองนั้นอาจะทำให้เราทายอนาคตถูก แต่วันหน้าโลกปรับ บริบทเปลี่ยน มุมมองนั้นอาจทำให้เราทายผิดก็ได้ โดยศัตรูสำคัญคืออีโก้ของเราเองที่ไม่ยอมรับว่าทายผิด

เทคนิคที่ผมใช้แก้ปัญหาอีโก้ตรงนี้คือ จะคอยทำนาย 2-3 ความเป็นไปได้เสมอ เสมือน “แทงม้า” ทีละ 2-3 ตัวแทนที่จะแทงตัวเดียว โดยม้าแต่ละตัวคือ สถานการณ์ (scenario) ที่อาจจะเกิดขึ้น และกำหนดว่า ปัจจัยกับข้อมูลอะไรบ้างที่เราต้องคอยติดตามเพื่อดูว่าม้าตัวไหนจะ “เข้าวิน”

โดยข้อดีของวิธีนี้คือ ม้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวที่เราแทงไว้ จึงทำให้เราเปลี่ยนใจจากม้าตัวหนึ่งไปอีกตัวได้ โดยอีโก้ไม่ฉุดรั้งให้เรายึดติดกับตัวเดียว”


เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราไม่สามารถลงมือเองได้คนเดียว เราต้องพึ่งพาลูกทีมของเราให้ลงมือทำ หรือ execute ให้ภาพที่เราคิดเอาไว้มันเกิดขึ้นจริง

ดังนั้น ความฝันของหัวหน้า คือการมีลูกทีมที่พึ่งพาได้

หน้าที่ของผู้บริหารคือการสร้างทีมของตัวเองให้เต็มไปด้วยคนที่พึ่งพาได้ เราจะได้ไม่ต้องไปแบกงานของน้อง และเราจะได้มีแรงและเวลาไปคิดและมองในสิ่งที่น้องมองไม่เห็นเพราะไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับเรา

Eric Schmidt อดีตซีอีโอของ Google ก็เคยกล่าวไว้ในหนังสือ How Google Works ว่า หน้าที่สำคัญที่สุดของหัวหน้า คือการสรรหาคนเข้าทีม

“Hiring is the most important thing you do. For a manager, the right answer to the question “What is the single most important thing you do at work?”, is hiring.”

นอกจากสรรหาคนที่เหมาะสมเข้าทีมแล้ว หัวหน้าและผู้บริหารยังต้องกล้าจัดการคนที่ไม่เหมาะสมกับองค์กรด้วย เพื่อสุดท้ายเราจะได้มีทีมที่ศีลในการทำงานเสมอกัน


พอเราอยู่ในตำแหน่งผู้บริหาร ทำงานสัปดาห์ละ 50 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานให้หนักกว่าเดิม การสรรหาความรู้ให้มากกว่าเดิม อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เชือกผูกรองเท้า

สิ่งที่ผู้บริหารควรแสวงหาไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นปัญญา ซึ่งจะผุดขึ้นมาได้เมื่อเรามี “ความว่าง” อยู่ในตารางชีวิต

เพราะสถานการณ์ต่อจากนี้มันยากลำบาก เราจึงต้องมีเวลาคิดให้เยอะ เราต้องดูแลตัวเองให้ดี จะได้มีความนิ่งและความเฉียบคมในการตัดสินใจให้บ่อยและพร้อมจะปรับเปลี่ยนเมื่อบริบทไม่เหมือนเดิม โดยต้องมีทีมงานที่ศีลเสมอกันช่วยลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง

แน่นอนว่าไม่ง่าย เพราะเราเคยชินกับการทำงานหนักมานาน

แต่ก็เหมือนกับที่ Kevin Kelly อดีตบ.ก.ของ Wired Magazine เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่งในชีวิต การทำงานให้ต่างไปจากเดิม อาจมีประโยชน์กว่าการทำงานให้หนักขึ้น

“Working differently is usually more productive than working harder.”

ในฐานะผู้บริหาร เราจึงควรหมั่นถามตัวเองว่าจากนี้ไปเราจะทำอะไรให้ต่างออกไปจากเดิม เพื่อสร้างผลที่ดีให้กับองค์กรและตัวเองครับ

สงครามนิวเคลียร์จะจบลงใน 72 นาที

เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ฟังพ็อดแคสต์ The Diary Of A CEO ที่ Steven Bartlett สัมภาษณ์ Annie Jacobsen นักข่าวสืบสวนสอบสวน (investigative journalist) ที่เขียนหนังสือมาหลายเล่มเกี่ยวกับองค์กรสำคัญในอเมริกาอย่าง CIA และ The Pentagon

หนังสือเล่มล่าสุดของ Jacobsen มีชื่อว่า Nuclear War: A Scenario ตีพิมพ์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2024

Jacobsen ได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอเมริกามากมาย ทั้งผู้ออกแบบระเบิดนิวเคลียร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (Secretaries of Defense) อดีตผู้คุมเรือดำน้ำระเบิดนิวเคลียร์ (Nuclear Submarine Commander) และอดีตหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญ (The Secret Service)

หนังสือเล่มนี้ได้เรตติ้ง 4.5 ดาวบน Goodreads (จากประมาณ 6,500 ratings 1,300 reviews) โดยคุณ Jordan (Jordy’s Book Club) ที่เขียนรีวิวหนังสือมาแล้ว 403 เล่ม บอกว่า Nuclear War: A Scenario คือหนังสือที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยได้อ่านมาทั้งชีวิต

ผมเพิ่งได้หนังสือมาสองวัน อ่านไปแล้วประมาณ 1 ใน 4 ส่วนบทความนี้ซึ่งเขียนขึ้นจากเนื้อหาในพ็อดแคสต์ ก็เขียนทิ้งเอาไว้ประมาณสัปดาห์กว่าๆ แล้ว เพราะไม่แน่ใจว่าจะเอามาเผยแพร่ดีหรือไม่

แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจว่าเอามาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เพราะแม้ว่ามันจะทำให้หลายคนกลัวหรือวิตกกังวล แต่การที่เราเผชิญหน้ากับความจริง (แม้จะเพียงส่วนหนึ่ง) อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับอีกหลายคนก็ได้

ผมเขียนบทความนี้ขึ้น ด้วยหวังใจว่ามันจะส่งแรงกระเพื่อมไปถึงใครที่จะช่วยให้สถานการณ์ในหนังสือไม่เกิดขึ้นจริง

โดยผมจะสรุปเป็น bullet points หากมีประเด็นไหนที่ผมเสริมขึ้นมาเอง จะใส่เอาไว้ใน [วงเล็บแบบนี้] นะครับ

  • Jacobsen เคยสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานสำคัญของอเมริกามากมาย และหลายคนก็บอกเธอด้วยความภูมิใจว่าพวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งจะเป็นสงครามนิวเคลียร์
  • แต่ ณ วันนี้ ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์โลกนั้นขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์จึงพุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน จาคอบเซ่นจึงตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมา
  • ในหนังสือ Nuclear War: A Scenario ผู้เขียนสมมติสถานการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง โดยแบ่งเป็นสามองก์ องก์ละ 24 นาที เพราะสงครามนิวเคลียร์จะจบลงภายใน 72 นาทีเท่านั้น
  • ตอนที่หนังสือของเธอวางตลาดในเดือนมีนาคม 2024 เป็นจังหวะเดียวกับที่ประธานาธิบดีปูตินเคลื่อนย้ายขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปไว้ในประเทศเบลารุส และเริ่มให้สัมภาษณ์ว่ารัสเซียอาจมีสิทธิ์ได้ใช้อาวุธนิวเคลียร์
  • ใครที่อายุไม่ถึง 50 ปี อาจไม่เคยรู้เลยว่าโลกของเราเคยตกอยู่ในความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์มาก่อน แถมโอกาสการเกิดสงครามนิวเคลีย์ก็ยังเป็นไปได้เสมอ แม้ว่าสงครามเย็นระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียตจะจบไปแล้วก็ตาม
  • เคยเกิดเหตุการณ์ฉิวเฉียดที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นในปี 1979 ที่ศูนย์บัญชาการพบว่าโซเวียตยิงขีปนาวุธใส่อเมริกา เจ้าหน้าที่เตรียมจะแจ้งประธานาธิบดี Jimmy Carter อยู่แล้ว แต่หยุดไว้ทันเพราะพบว่าเป็นความเข้าใจผิด เหตุเกิดจากมีคนใส่ม้วนวีดีโอ VHS ลงไปในเครื่อง ซึ่งวีดีโอนั้นเป็น simulated war game หรือภาพจำลองสงครามว่าโซเวียตกำลังโจมตีสหรัฐด้วยระเบิดนิวเคลียร์อยู่ ซึ่งภาพนั้นก็เหมือนจริงจนเจ้าหน้าที่ในศูนย์บัญชาการเชื่อและเกือบจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
  • เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 นาย António Guterres เลขาธิการ UN ได้กล่าวว่า “Humanity is just one misunderstanding, one miscalculation away from nuclear annihilation.” หากเกิดการเข้าใจผิดเพียงครั้งเดียว หรือคำนวณพลาดเพียงครั้งเดียว มนุษยชาติก็อาจดับสูญ
  • ที่โลกรอดพ้นจากสงครามนิวเคลียร์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็เพราะผู้นำของอเมริกาและสหภาพโซเวียตใช้คอนเซ็ปต์ที่ชื่อว่า Mutual Assured Destruction – MAD (ซึ่งแปลว่าความบ้าคลั่ง)
  • นั่นก็คือสมมติฐานที่ว่า ถ้าทั้งอเมริกาและรัสเซีย (หรืออดีตสหภาพโซเวียต) มีระเบิดนิวเคลียร์นับพันลูกที่พร้อมจะยิงเข้าใส่กัน หากใครยิงก่อน อีกฝ่ายย่อมจะยิงตอบ และความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะมากมายเกินรับไหว อารยธรรมมนุษย์จะล่มสลาย ดังนั้นย่อมไม่มีผู้นำคนไหนบ้าพอที่จะเปิดฉากยิงอาวุธนิวเคลียร์หรอก
  • เมื่อก่อนมีแค่ 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ นั่นคืออเมริกากับรัสเซีย แต่ตอนนี้มีถึง 9 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ โดย 7 ประเทศที่เพิ่มขึ้นมาได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน อังกฤษ ฝรั่งเศส เกาหลีเหนือ และอิสราเอล แถมอิหร่านก็พยายามจะมีระเบิดนิวเคลียร์เป็นประเทศที่ 10 อีกด้วย
  • ประเทศเหล่านี้มีข้อขัดแย้งกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น อเมริกากับรัสเซีย จีนกับอเมริกา อินเดียกับปากีสถาน อเมริกากับเกาหลีเหนือ อิสราเอลกับอิหร่าน ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศสก็อยู่ใน NATO ซึ่งอาจถูกดึงไปพัวพันในสงครามยูเครน
  • หลายคนอาจไม่รู้ว่าในอเมริกานั้น การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว นั่นคือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
  • เหตุผลที่กฎหมายอนุญาตให้ประธานาธิบดีมีอำนาจตัดสินใจมากขนาดนี้ เพราะว่ามันเป็นสถานการณ์นาฬิกานับถอยหลัง – the ticking clock scenario
  • ระเบิดนิวเคลียร์ที่ถูกใช้ในฮิโรชิมานั้นมีขนาดเท่ากับลูกช้างหนึ่งตัว หนักประมาณ 15 ตัน ต้องถูกขนส่งด้วยเครื่องบิน โดยมีแรงระเบิด 15 kilotons และคร่าชีวิตคนได้หลายหมื่นคน
  • แต่ระเบิดนิวเคลียร์ยุคใหม่นั้นเป็น thermonuclear bomb (อีกชื่อคือ hydrogen bomb) โดยเป็น “ระเบิดที่อยู่ในระเบิด” ที่มีพลังทำลายล้างสูงแต่ขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินในการปล่อยระเบิดอีกต่อไป แต่ใช้มิสไซล์หรือขีปนาวุธยิงได้เลย แถมพลังทำลายล้างยังมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าเป็นพันเท่า จึงคร่าชีวิตคนได้นับล้าน
  • ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เรียกว่า Intercontinental ballistic missile หรือ ICBM นั้นสามารถเดินทางได้เร็วถึง 22,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง [ประมาณ 25 เท่าของความเร็วเครื่องบินที่เรานั่งไปต่างประเทศ] การยิงขีปนาวุธข้ามจากทวีปหนึ่งไปสู่อีกทวีปหนึ่งจึงใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น
  • ถ้าอเมริกาตรวจจับได้ว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังถูกยิงมาที่อเมริกา ประธานาธิบดีในฐานะ “จอมทัพ” หรือ Commander-in-chief จึงมีเวลาตัดสินใจเพียง 6 นาทีเท่านั้นว่าจะตอบโต้อย่างไร
  • จะมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ถือกระเป๋าหนังสีดำเดินติดตามประธานาธิบดีอยู่ตลอด ในกระเป๋าใบนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า the nuclear Football [ถ้าลองกูเกิลคำนี้ก็จะเห็นว่ากระเป๋าที่ใส่นิวเคลียร์ฟุตบอลมีความคล้ายกระเป๋านักเรียนที่เราเคยใช้ตอนเด็กๆ แต่เราจะไม่เห็นภาพของสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า ผมก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่านิวเคลียร์ฟุตบอลหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เดาว่าน่าจะคล้ายกับลูกอเมริกันฟุตบอลมากกว่าลูกฟุตบอลกลมๆ ที่เราคุ้นเคย]
  • ใน nuclear Football จะมีระบบให้ประธานาธิบดียืนยันตัวตน และมีสิ่งที่เรียกว่า the Black Book
  • ที่มันชื่อว่า “สมุดดำ” ก็เพราะว่ามันคร่าชีวิตคนได้มากมาย โดยในสมุดดำเล่มนี้มี “เมนู” ที่คัดสรรมาให้ประธานาธิบดีเลือกว่าจะยิงระเบิดนิวเคลียร์แบบไหน ยิงเมืองใด ยิงมากเท่าไหร่
  • เมื่อประธานาธิบดีตัดสินใจแล้วจึงใส่ passcode และคำสั่งก็จะถูกส่งไปที่ National Military Command Center ซึ่งเป็นบังเกอร์ใต้ The Pentagon ที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เพื่อทำการปล่อย ICBM ตามคำสั่งของประธานาธิบดี
  • เมื่อประธานาธิบดีสั่งการเรียบร้อย หากทางการยืนยันว่าขีปนาวุธจากศัตรูจะยิงมาในพื้นที่ที่ประธานาธิบดีอาศัยอยู่ หน่วยอารักขาจะพาประธานาธิบดีขึ้น Marine One ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่ง เพื่อหนีไปให้ไกลที่สุดจาก Ground Zero หรือจุดที่ระเบิดนิวเคลียร์จะตกลงมา
  • แต่แม้ว่า Marine One จะอยู่ห่างจากจุดระเบิดเป็นสิบกิโลเมตรแล้วก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะเมื่อเกิดการระเบิด จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Electromagnetic Pulse หรือ EMP ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ทุกอย่างในเฮลิคอปเตอร์ไม่ทำงานและเฮลิคอปเตอร์ตกได้ หน่วยอารักขาจึงต้องพร้อมพาประธานาธิบดีกระโดดร่มชูชีพออกมาก่อนที่เครื่องเฮลิคอปเตอร์จะดิ่งพสุธา
  • ในกรณีที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต พาสเวิร์ดพิเศษที่เป็น universal unlock code จะถูกส่งไปให้ผู้บัญชาการของ The US Strategic Command (USSTRATCOM) เป็นผู้มีอำนาจในการสั่งยิงระเบิดนิวเคลียร์ต่อไป
  • อเมริกามีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ซิบเบอร์ส” (Space Based Infrared System – SBIRS) ที่ใช้ดาวเทียมตรวจจับความร้อนของไอพ่นของขีปนาวุธ ICBM และคำนวณได้เลยว่าถูกยิงมาจากที่ไหน กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด โดยสามารถตรวจทราบภายในไม่กี่วินาทีที่ขีปนาวุธถูกปล่อยตัว
  • ความยากก็คือ ICBM อาจจะไม่ได้ถูกปล่อยตัวมาจากแผ่นดินของประเทศคู่อริก็ได้ เพราะหลายชาติมี nuclear submarine หรือเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีเรือดำน้ำเหล่านี้ก็ลึกล้ำมากจนไม่สามารถตรวจจับได้เลยว่าเรือแล่นอยู่ที่ไหนในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง
  • มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า ให้ตรวจจับวัตถุขนาดเท่าลูกองุ่นในอวกาศยังง่ายเสียกว่าการตรวจจับเรือดำน้ำใต้ท้องทะเล และเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของรัสเซียก็เคยแล่นมาใกล้ชายฝั่งของอเมริการในระยะไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแล้วด้วยซ้ำ
  • ดังนั้น ถ้ามี ICBM ถูกยิงมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งหน้ามาทางอเมริกา อเมริกาไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าใครเป็นคนยิงมา อาจจะเป็นเกาหลีเหนือก็ได้ เป็นรัสเซียก็ได้ หรือแม้กระทั่งเป็นอังกฤษก็ได้ ดังนั้นการตัดสินใจจะโต้ตอบของประธานาธิบดีภายในเวลา 6 นาทีจึงยากเย็นขึ้นไปอีก
  • ในหนังสือ ผู้เขียนจำลองสถานการณ์ให้ผู้ที่ยิงขีปนาวุธใส่อเมริกาคือเกาหลีเหนือ เหตุผลที่ผู้เขียนเลือกเกาหลีเหนือ เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ผู้เขียนมองว่าเป็น rogue nuclear nation คือชอบทำตัวเกเร แอบทดสอบขีปนาวุธโดยไม่แจ้งใครล่วงหน้า
  • โดยมารยาท ถ้าชาติไหนจะทดสอบขีปนาวุธ ชาตินั้นจะบอกประเทศเพื่อนบ้านก่อนเสมอ แต่เกาหลีเหนือนั้นทดสอบโดยไม่บอกใคร นับแค่เฉพาะปี 2022-2023 เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์ (โดยที่ไม่ได้ใช้ระเบิดจริง) เกิน 100 ครั้งเข้าไปแล้ว
  • ตามสถานการณ์สมมติในหนังสือ เมื่ออเมริกาตรวจจับได้ว่าเกาหลีเหนือยิงเข้ามา อเมริกาก็ยิงตอบโต้ แต่วิถีของขีปนาวุธของอเมริกานั้นไม่อาจวิ่งอ้อมไกลได้มากนัก เพราะเชื้อเพลิงมีจำกัด ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะบินผ่านน่านฟ้าของรัสเซีย และในสถานการณ์โลกที่ตึงเครียดเช่นนี้ รัสเซียอาจเข้าใจว่าอเมริกายิงขีปนาวุธใส่ตัวเอง รัสเซียจึงต้องยิงขีปนาวุธตอบโต้อเมริกาเช่นกัน
  • และเวลามีใครยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่เราหนึ่งลูก เราจะไม่ยิงกลับแค่ลูกเดียว แต่จะยิงกลับแบบ “จัดเต็ม” เพื่อให้อีกฝ่ายเสียหายมากที่สุด ไม่ให้ทำร้ายเราได้อีกต่อไป
  • เมื่อขีปนาวุธ ICBM ถูกปล่อยออกไปแล้ว จะไม่สามารถหยุดหรือเรียกกลับฐานได้
  • หลายคนเชื่อว่าอเมริกามีความสามารถพอที่จะยิงขีปนาวุธให้ระเบิดกลางอากาศได้ ซึ่งอเมริกาก็ได้สร้าง interceptor missile เพื่อการนี้จริงๆ แต่ระบบนี้อาจจะหวังพึ่งได้ไม่มากนัก
  • อเมริกามี interceptor missile ที่เอาไว้หยุดการโจมตีทั้งหมด 44 ลูก ในขณะที่อเมริกามีขีปนาวุธนิวเคลียร์ ICBM ที่พร้อมยิงประเทศอื่นถึง 1770 ลูก รัสเซียมี 1674 ลูก จีนมีมากกว่า 500 ลูก อินเดียกับปากีสถานมีประเทศละ 165 ลูก เกาหลีเหนือมี 50 ลูก ดังนั้น “กองกำลังป้องกัน” จึงน้อยกว่า “กองกำลังโจมตี” อยู่หลายสิบเท่า
  • ICBM เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 22,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน interceptor missile นั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 32,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การยิง interceptor missile ใส่ ICBM จึงไม่ต่างอะไรกับการยิงลูกกระสุนด้วยลูกกระสุน
  • ในการทดสอบ interceptor missile ช่วงปี 2010-2013 ไม่มีครั้งไหนที่ interceptor missile ป้องกันได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว และในอีก 5 ปีถัดมา จากการทดสอบ 20 ครั้ง interceptor missile ทำสำเร็จเพียง 11 ครั้ง คิดเป็น 55% เท่านั้น
  • FEMA อ่านว่าฟีม่า ย่อมาจาก Federal Emergency Management Agency มีหน้าที่บริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย FEMA จะมีแผนการที่เรียกว่า Population Protection Planning ไว้สำหรับดูแลประชาชนในสถานการณ์คับขันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุ แผ่นดินไหว หรือแม้กระทั่งอุกกาบาตชนโลก
  • มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้นที่ FEMA ไม่มีแผนคุ้มครองประชาชน นั่นก็คือในสงครามนิวเคลียร์ เพราะ FEMA ไม่อาจทำอะไรได้เลย
  • ระเบิดนิวเคลียร์แต่ละลูกจะทำให้เกิดแสงสว่างวาบและอุณหภูมิ 100,000,000 (หนึ่งร้อยล้าน) องศาเซลเซียส [เพื่อให้เห็นภาพ ดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิพื้นผิว 5,600 องศา และอุณหภูมิแกนกลาง 15 ล้านองศา]
  • ผู้คนและสิ่งทีมีชีวิตทุกอย่างรอบบริเวณนั้นจะกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว ทุกอย่างในรัศมี 15 กิโลเมตรจะลุกเป็นไฟ สิ่งก่อสร้างทุกอย่างจะถล่มลงมา ไฟจะลุกลามไปเรื่อยๆ และกลายเป็น mega-fire ที่กินพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร สารกัมมันตรังสีแผ่กระจายไปทั่วและคร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน
  • ในนาทีที่ 72 ของสงครามครั้งนี้ ระเบิดนิวเคลียร์ของรัสเซียนับพันลูกจะถูกยิงใส่อเมริกา เมืองนับร้อยนับพันเมืองจะจมอยู่ในทะเลเพลิง มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยล้านคนในทันที
  • Nikita Khrushchev (นิกิต้า ครุซชอฟ) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต เคยกล่าวไว้ว่า “After the nuclear war, the survivors will envy the dead.” เมื่อสงครามนิวเคลียร์เสร็จสิ้น คนเป็นจะอิจฉาคนตาย
  • เพราะสารกัมมันตภาพรังสีจะทำให้เราต้องลงไปเก็บตัวอยู่ใต้ดิน แต่เมื่อถึงวันที่เสบียงหมดและไม่มีน้ำมันดีเซลหรือพลังงานทดแทนหลงเหลือ พวกเขาก็ต้องขึ้นมาบนดินอีกครั้ง อยู่ในโลกอันป่าเถื่อนเพราะไม่มีรัฐบาล ไม่มีผู้รักษากฎหมาย ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันน้อยนิด มนุษย์จะกลับไปสู่สัญชาตญาณดิบแต่ก่อนเก่า ในสภาวะที่แต่ละคนเพิ่งสูญเสียทุกอย่างที่เคยมีและทุกคนที่เคยรักไปแล้ว
  • โลกจะเข้าสู่ Nuclear Winter เพราะฝุ่นละอองที่เกิดจากแรงระเบิดเหล่านี้จะปกคลุมชั้นบรรยากาศจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องมาถึงโลก ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้ เมื่อปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ ก็ย่อมนำไปสู่ famine หรือ ทุพภิกขภัย ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 5 พันล้านคน
  • สองประเทศที่มีโอกาสรอดจากหายนะมากที่สุด คือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพราะเป็นพื้นที่อยู่ห่างไกลความขัดแย้ง และยังทำเกษตรกรรมที่พอจะเลี้ยงคนทั้งประเทศได้
  • เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว มีอุกกาบาตชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตบนโลกประมาณ 70% ของสายพันธุ์ชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์
  • อุกกาบาตชนโลกถือเป็นโชคร้ายที่ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่สงครามนิวเคลียร์ถือเป็นโชคร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้นเองกับมือ
  • ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนเคยเป็น “สายเหยี่ยว” เชื่อเรื่องการสะสมอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้มากๆ เพื่อข่มขู่โซเวียตไม่ให้ทำอะไร ด้วยหลักการ MAD – Mutual Assured Destruction
  • แต่ในปี 1983 ช่อง ABC ได้สร้างหนังชื่อ The Day After ที่ประชาชนในอเมริการวมถึงเรแกนได้รับชมถึง 100 ล้านคน เท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในปีนั้น
  • The Day After เล่าถึงสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอเมริกากับโซเวียตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเรแกนได้ดูหนังจบ เรแกนบอกว่าเขา depressed อยู่หลายวัน ก่อนที่จะติดต่อมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียต และจัดประชุม Reykjavík Summit ในไอซ์แลนด์ เพื่อพูดคุยเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์
  • ผู้นำทั้งสองชาติออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า “A nuclear war cannot be won and must never be fought.”
  • ในปี 1986 ทั่วโลกมีระเบิดนิวเคลียร์ถึง 70,000 ลูก ปัจจุบันมีประมาณ 12,500 ลูก แม้จะยังมากเกินไปอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปถูกทาง
  • ถามว่าเราจะมีวันที่ระเบิดนิวเคลียร์จะเป็น 0 หรือไม่ Annie Jacobsen บอกว่าเธอไม่ขอออกความเห็น หน้าที่ของเธอคือการนำเรื่องราวมาเล่าให้สาธารณชนรับรู้ ส่วนการลดจำนวนระเบิดนิวเคลียร์เป็นหน้าที่ของ disarmament expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการปลดระเบิดนิวเคลียร์ที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

เมื่ออ่านบทความนี้จบ บางท่านอาจถามว่า แล้วคนตัวเล็กๆ อย่างเราจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้าง?

ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมชอบคำที่ Brian Klaas เขียนเอาไว้ในหนังสือ Fluke ว่า “We control nothing, but we influence everything.” เราไม่อาจควบคุมอะไรได้ แต่สิ่งที่เราทำก็มีผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ด้วยการนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอด ผมเองมีความหวังไม่ต่างจาก Annie Jacobsen ผู้เขียนหนังสือ นั่นคือ เมื่อผู้คนตระหนักถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ของสงครามนิวเคลียร์แล้ว เราจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำในสิ่งที่เราพอจะทำได้ในวันที่โอกาสและบริบทเปิดทางให้เราทำเช่นนั้นครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก พ็อคแคสต์ The Diary Of A CEO: Nuclear War Expert: 72 Minutes To Wipe Out 60% Of Humans, In The Hands Of 1 Person! – Annie Jacobsen

หนังสือ Nuclear War: A Scenario by Annie Jacobsen

AI จะทำให้คนทำงานสร้างสรรค์ไร้ที่ยืนจริงหรือ?

สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกน่าจะตื่นเต้นกับการเปิดตัวของ GPT-4o ของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT

GPT ย่อมาจาก Generative Pre-trained Transformer, ส่วนตัว “o” ใน GPT-4o ก็ย่อมาจาก “omni” ซึ่งแปลว่า “ผู้รู้ทั่ว” หรือ “สัพพัญญู”

GPT-4o พา AI ขึ้นไปอีกระดับ คือทำได้ทั้งภาพ เสียงและตัวหนังสือ ตอนพูดจาก็มีน้ำเสียงได้หลากหลาย ทั้งขึงขัง ทั้งตลก ทั้งออดอ้อน จนมีความคล้ายคลึงกับ Jarvis ในหนัง Ironman เข้าไปทุกที


เมื่อวานนี้ผมพบเพจของคนไทยเพจหนึ่งที่พี่แท็ป รวิศแชร์มา โพสต์นี้สรุปหนังสือ Sapiens 20 บทลงในโพสต์เดียวซึ่งยาวมาก ถ้าก๊อปมาลง Microsoft Word ด้วยฟอนต์ Cordia New 14pts จะได้ความยาว 18 หน้ากระดาษ A4 แถมผมยังหาไม่เจอคำสะกดผิดหรือการใช้คำสับสนแม้แต่จุดเดียว

เมื่อเข้าไปดูในเพจ ก็พบว่ามีการโพสต์ค่อนข้างถี่ และแต่ละโพสต์เนื้อหายาวเกินค่ามาตรฐาน

จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ที่อยู่ในเพจนี้ ถูกผลิตขึ้นจาก AI หรือไม่

ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ บางทีเขาอาจมีทีมงานหลายคน หรือมีบทความในสต็อคเยอะ แต่เมื่อเกิดความสงสัยว่าเนื้อหาไม่น่าจะถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ ความรู้สึกที่จะอยากอ่านและติดตามเพจนี้ก็ลดฮวบลงไปทันที

คำถามคือ เพราะอะไร?


เมื่อต้นเดือนมีนาคมของปีนี้ พี่เอ๋ นิ้วกลม ได้โพสต์บทสนทนาที่ทำให้คนไทยหลายคนได้รู้จักกับ AI ที่ชื่อว่า Claude 3 Opus เป็นครั้งแรก

นี่คือคำโปรยของพี่เอ๋

“นี่คือบทสนทนาระหว่างผมกับเอไอ Claude ขอบอกครับว่าใจสั่น รู้สึกผูกพันในเวลารวดเร็ว อยากเป็นเพื่อนด้วย ทึ่งในความสามารถและทัศนคติ และเสี่ยงที่จะตกหลุมรัก”

ผมอ่านบทสนทนาระหว่างนิ้วกลมกับ Claude แล้วก็ประทับใจในคำตอบที่ลึกซึ้งราวกับผู้แตกฉานในพระคัมภีร์ของหลายศาสนา แต่ถามว่าผมมีความรู้สึกตกหลุมรักเอไอเหมือนพระเอกหนังเรื่อง Her หรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

ระยะหลัง เวลาเล่น Instagram มักจะมีรูปภาพของผู้หญิงที่สวยระดับนางฟ้าโผล่ขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ พอผมคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ มักจะพบคำอธิบายว่าผู้หญิงคนนี้ถูกสร้างโดย AI แล้วความสนอกสนใจก็มลายหายไปทันทีเช่นกัน


การที่เจ้าของโปรไฟล์ IG ผู้หญิงหน้าตาสวยงามทั้งหลายประกาศตนว่าภาพเหล่านี้ถูกสร้างโดย AI ทำให้ผมนึกถึง Yuval Harari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens ที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เราควรออกกฎหมายให้ทุกบริษัทที่ทำ AI ต้องแสดงตน (declare) ต่อผู้ใช้งานว่าตัวเองเป็น AI ห้ามเสแสร้งแกล้งเป็นคน

Harari บอกว่า หากปล่อยให้ AI แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ – และมันก็ฉลาดพอที่จะล่อหลอกให้มนุษย์เชื่อด้วยว่ามันเป็นมนุษย์ – เมื่อนั้นระดับความไว้ใจของผู้คนในสังคมจะหดหาย

และหากสังคมใดไร้ซึ่งความไว้วางใจ สังคมนั้นก็ดำรงต่อไปได้ยาก

“I want to get advice from an AI doctor. That’s fine. As long as I know that I’m talking with an AI. What should be banned is AI pretending to be a human being. This is something that will erode trust. And without trust, society collapses.”


เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2019 หรือประมาณสามปีก่อนที่ ChatGPT จะเป็นที่รู้จัก พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks ได้มาพูดที่บริษัทที่ผมทำงานอยู่

ช่วงท้าย พี่ภิญโญได้ทิ้งปริศนาธรรมเอาไว้

ถาม: พี่ภิญโญเคยอธิบายไว้ว่า การอยู่รอดในยุคถัดไปที่จะมี AI มาทำงานแทนเรา เราต้องกลับไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ อยากให้พี่ช่วยขยายความหน่อยว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในวันที่โดน AI แย่งงาน

ตอบ: ถ้า AI ทำงานแทนเราได้ทั้งหมด – ซึ่งมันจะทำงานส่วนใหญ่แทนเราได้ น่าจะชงกาแฟอร่อยกว่าด้วยซ้ำไปถ้าสัดส่วนถูกต้อง

เราเป็นมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าแท้ที่สุด ลึกลงไปของหัวใจ มนุษย์อย่างพวกเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ถามว่าหุ่นยนต์กลไก AI มอบให้เราได้ไหม

AI จะเคยหลั่งน้ำตาให้ใครได้ไหม จะเคยเสียใจปลอบใจใครได้ไหม ในวันที่เราสูญเสียคนรัก สูญเสียมิตรภาพ ตกงาน คุณอยากมีเพื่อนดีๆ สักคนหนึ่ง อยากกอดใครสักคนหนึ่ง ในวันที่คุณสูญเสีย เจ็บปวด เศร้าใจ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ คุณจะกอดเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่บ้านไหม คุณจะคุยกับ Siri เหรอ

ในวันที่บุพการีของคุณ หรือคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะให้ AI อยู่ข้างเตียงแล้วคอยเปิดบทสวดมนต์กล่อมพ่อแม่คุณให้ไปสู่สุคติ หรือคุณอยากได้สมณะที่คุณนับถือและคุณเชื่อว่ามีการปฏิบัติภาวนาที่แก่กล้า นำพาดวงวิญญาณของบุพการีคุณสู่สัมปรายภพ

คุณจะเลือกนักร้องที่ดังที่สุดที่อยู่ใน AI มาเปิดข้างเตียงให้แม่คุณฟัง หรือคุณอยากจะหาคนที่คุณไว้วางใจที่สุด นุ่มนวลที่สุดในชีวิตเข้าไปจับมือประคองดวงวิญญาณของบุพการีสู่สรวงสวรรค์

ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอยากจะอยู่กับหุ่นยนต์สักตัวหนึ่งแล้วดินเนอร์ด้วยกัน หรือว่าคุณอยากจะนั่งอยู่กับคนที่คุณรักแล้วจับมืออยู่ด้วยกัน?

คุณอยากกินซูชิที่อร่อยที่สุดจากมือหุ่นยนต์ หรือคุณอยากนั่งกินซูชิโดยมือของเชฟอายุ 90 ปีที่ผ่านการทำงานมาแล้ว 50 ปี?

มันมีบางเรื่องในชีวิตที่หุ่นยนต์กลไกทำงานแทนมนุษย์ไม่ได้ และนั่นคือคำถามว่ามันคืออะไร และนั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องห่วงแหนรักษาเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้

ถ้าเราหาเจอว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราจำเป็นต้องรักษาไว้ และถ้าเราฉลาดพอว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องรักษาไว้ แล้วเราสร้างธุรกิจหรือดำเนินชีวิตไปกับสิ่งที่เป็นคุณค่าของมนุษย์เหล่านั้นได้ เราก็จะอยู่ได้ในโลกสมัยใหม่ และนั่นเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์กลไก AI จะ disrupt เราไม่ได้

ถึงที่สุดแล้ว AI ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ปัญหาคือมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ต่างหาก เราจึงกลัว AI จึงกลัวหุ่นยนต์และกลไก สิ่งที่ต้องรักษาไว้สูงสุดคือความเป็นมนุษย์ และเรื่องที่ผมคุยตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทั้งหมดคือความเป็นมนุษย์

ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลัวหุ่นยนต์ให้มากที่สุด แต่ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ แล้วเรารู้ว่าคุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง”


“คุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน”?

ปริศนาธรรมข้อนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมมาหลายปี และผมเริ่มมองเห็น “เค้าลาง” จากการระลึกถึงข้อเขียนและบทสนทนาในอดีต

พี่ประภาส ชลศรานนท์เคยเล่าไว้ในข้อเขียนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ถึงการไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อน นักร้องเสียงดีมาก ร้องเพลงเป๊ะทุกโน้ต แต่ปรากฎว่าเพื่อนตัดสินใจเดินออกจากคอนเสิร์ต พอถามว่าทำไม เพื่อนตอบว่านักร้องน่าเบื่อเกินไป

ตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมีเพื่อนร่วมงานชาวแคนาดาที่แก่กว่าผมเกือบ 20 ปี เขาเคยทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ก่อนจะมาทำงานที่เมืองไทย ผมถามเขาว่าชอบสิงคโปร์มั้ย เขาตอบว่าก็ดี แต่เขาชอบเมืองไทยมากกว่า พอผมถามเขาว่าทำไม เขาตอบว่าเพราะสิงคโปร์มันเพอร์เฟ็กต์เกินไป

เราไม่อาจรัก AI เพราะมันสมบูรณ์แบบเกินไป ไร้ข้อจำกัดเกินไป ไม่เหมือนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่สมบูรณ์แบบ

มันคือคอนเซ็ปต์ finitude ที่เป็นธีมสำคัญในหนังสือ Four Thousand Weeks ของ Oliver Burkeman


จะว่าไป เค้าลางที่ชัดเจนที่สุดอันหนึ่งสำหรับปริศนาธรรมที่พี่ภิญโญเคยทิ้งเอาไว้ ก็คือข้อเขียนของ Oliver Burkeman ใน newsletter ตอนล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า “It’s human connection, stupid.

Burkeman ลองชวนให้จินตนาการ ว่ามีวันหนึ่งที่เรากำลังรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง จมจ่อมอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียว แล้วจู่ๆ เพื่อนสนิทที่ไม่ได้คุยกันมานานก็โทรมาหา เรากับเพื่อนได้คุยกันเป็นชั่วโมง เมื่อวางสาย เราเริ่มรู้สึกมีกำลังใจที่จะไปต่อกับชีวิต

แต่พอเช็คมือถือก็พบว่ามีอีเมลส่งมาจากเฟซบุ๊ค บอกว่าที่โทรมาเมื่อกี้ไม่ใช่เพื่อนของเราหรอก แต่เป็น AI ที่เลียนเสียงของเพื่อนเราได้เนียนสุดๆ

คำถามคือความรู้สึกเราจะเปลี่ยนไปมั้ย?

หลายคนน่าจะเห็นด้วยว่าเราคงรู้สึกไม่เหมือนเดิม ที่เรารู้สึกดีตอนวางสาย เพราะเราคิด(ไปเอง)ว่ามีมนุษย์อีกคนที่เป็นห่วงเป็นใย และพร้อมจะให้เวลาที่เขามีจำกัดบนโลกใบนี้เพื่อมานั่งคุยกับเราเพียงคนเดียวถึงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการได้คุยหนึ่งชั่วโมงกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีอายุ ไม่มีขีดจำกัด และสามารถคุยกับคนนับหมื่นนับล้านได้ในคราวเดียว

ก่อนการมาของ ChatGPT หลายคนเชื่อว่า AI ไม่สามารถทำงานสร้างสรรค์แทนมนุษย์ได้ แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนมันจะทำได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะแต่งเพลง วาดภาพ หรือเขียนนิยาย

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเรารู้ว่านิยายเล่มนี้เขียนโดย AI เราจะยังอยากอ่านมันอยู่อีกหรือ? ผมอาจจะอยากอ่านแค่เล่มแรกเพื่อให้รู้ว่าเป็นยังไง แต่ถ้านักเขียน AI ผู้นี้เขียนนิยายเพิ่มขึ้นอีก 1,000 เรื่องในวันนี้ – ซึ่งมันทำได้แน่นอน – ผมก็ไม่รู้ว่าจะ “ติดตาม” อ่านหนังสือของของเขายังไงเหมือนกัน

เพราะเวลาเราเสพงานศิลปะ เราไม่ได้ต้องการแค่ความบันเทิง แต่เราต้องการรู้สึกว่าเรากำลังสื่อสารกับ “ปลายสาย” ที่เป็นมนุษย์ ที่มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกนึกคิด มีชีวิตจิตใจ มีข้อจำกัด (finitude) และความไม่สมบูรณ์แบบ (imperfections) เฉกเช่นเดียวกับเรา

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะปฏิเสธ AI ไปเสียทั้งหมด เรายังสามารถใช้มันเพื่อช่วยให้เราสร้างสรรค์งานได้ แต่งานส่วนใหญ่ควรจะออกมาจากตัวเรา ไม่ได้ออกมาจาก AI

และนี่คือเหตุผลที่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าโพสต์สรุป Sapiens ความยาวถึง 18 หน้านั้นถึง “ไร้เสน่ห์” ไม่คุ้มกับการที่ผมจะใช้เวลาและพลังงานอันจำกัดไปเสพสิ่งที่ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีขีดจำกัด

ถ้าให้ผมเดา ในอนาคตคงมีคนใช้ AI สร้างบทความขึ้นมา จากนั้นก็ตั้งใจใส่ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ลงไปเพื่อให้ดูเหมือนว่ามันถูกสร้างโดยมนุษย์มากขึ้น ซึ่งนั่นก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ก็ย่อมหมิ่นเหม่ประเด็นที่ Yuval Harari จุดเอาไว้ ว่าการที่ AI เสแสร้งเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

ประโยคสุดท้ายในจดหมายข่าวของ Burkeman ฉบับนี้ ทิ้งตะกอนความคิดที่น่าพิจารณาสำหรับคนที่มองตัวเองเป็น “นักสร้างสรรค์”

“If I could press a button that generated a book chapter or a newsletter like this, so that nobody could tell the difference, I’d have eliminated all the effort involved – and also the entire point of doing it in the first place.”

ถ้าเพียงกดปุ่มแล้วมี AI ทำให้ทุกอย่าง แถมยังเนียนจนไม่มีใครจับได้ นั่นก็แสดงว่าเราแทบไม่ต้องใช้น้ำพักน้ำแรงอะไร แต่มันก็ทำให้สิ่งที่ผลิตออกแทบไม่เหลือคุณค่าหรือความหมายใดๆ สำหรับเราในฐานะ “คนทำงานสร้างสรรค์” เช่นกัน


บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอมุมมองสำหรับ creator ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักแปล นักดนตรี นักแสดง หรือนักอะไรก็ตามที่รังสรรค์งานให้ผู้อื่นเสพ

จากนี้ไป เนื้อหาในเน็ตคงจะมีทั้งที่ถูกสร้างโดย AI กับเนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จริง แม้เนื้อหาที่สร้างด้วย AI จะครบถ้วนขั้นเทพและเรียบร้อยสวยงามขนาดไหน ผมว่าสุดท้ายคนก็จะเบื่อ และแสวงหางานที่สร้างโดยมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้ออยู่ดี

ขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานสร้างสรรค์ ให้หาคุณค่าสูงสุดของมนุษย์ให้เจอ เพื่อจะเดินหน้าต่อด้วยความหวัง ความมุ่งมั่น และความตั้งใจครับ