เป็นกลางกับความทุกข์

เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะวิ่งหาความสุขและวิ่งหนีความทุกข์

แต่ปฏิกิริยาที่เรามีต่อความทุกข์นั้นเข้มข้นและรุนแรงกว่าปฏิกิริยาที่เรามีต่อความสุข

ได้เงินเพิ่ม 10,000 บาท ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้จิตใจมากเท่าทำเงินหาย 10,000 บาท

หากรู้ตัวว่าภูมิต้านทานความทุกข์ของเราไม่สูงเท่าไหร่ การเพิ่มภูมิต้านทานย่อมเป็นเป้าหมายที่พึงประสงค์

ความทุกข์แปลว่าสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก

เมื่อทนได้ยาก เราก็เลยหลีกหนี และหากหนีไม่พ้น โดนความทุกข์วิ่งชนเข้าอย่างจัง เราก็จะตื่นตระหนกและเผลอขยายความทุกข์ให้ตัวใหญ่กว่าความเป็นจริงด้วยจินตนาการของตัวเอง

หากใครเคยฝึกวิปัสสนาตามแนวทางของอาจารย์โกเอนก้า จะพบว่าหนึ่งในคอนเส็ปต์ที่สำคัญที่สุดคือ “อุเบกขา” ที่แปลว่าการวางเฉย แต่ไม่ใช่การเมินเฉย

เวลานั่งนิ่งๆ นานๆ เรารับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อย่างชัดแจ้ง และเราก็จะมีปฏิกิริยาเดิมๆ ที่เราใช้มาทั้งชีวิตคือเราไม่ชอบมัน เรารังเกียจมัน อยากจะขยับขาขยับตัวเพื่อลดทุกข์ตรงนี้

แต่ถ้าเรามีอุเบกขา เราจะมีสติพอ (แม้ชั่วขณะหนึ่ง) ที่จะไม่รังเกียจมัน และเราจะอดทนรอดูได้อีกนิด จนบางครั้งความเจ็บปวดจะคลี่คลายโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมันเลย

หากเราฝึกเช่นนี้บ่อยๆ เราจะมีความกล้ามากขึ้น เพราะความกลัวทั้งหมดทั้งหลายของคนเราก็คือกลัวความทุกข์ทางกายหรือทุกข์ทางใจทั้งนั้น

เจออะไรที่ทำให้เราทุกข์ แทนที่จะรีบเบือนหน้าหนี ให้ลองสังเกตมันดูดีๆ

เมื่อไม่ต่อต้าน ความทุกข์นั้นจะหมดพลังไปโดยธรรมชาติ

เป็นกลางกับความทุกข์ได้เมื่อไหร่ ก็แทบไม่มีอะไรที่เราจะต้องกลัวอีกต่อไปครับ

คาดเข็มขัดเถอะ จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

ผมเคยเรียน High School ที่นิวซีแลนด์ช่วงปี 1994-1997

ประเทศนี้ซีเรียสมากเรื่องความปลอดภัย

ทุกคนที่นั่งในรถต้องใส่เข็มขัดนิรภัย ไม่ว่าจะนั่งเบาหน้าหรือเบาะหลังก็ตาม

ทุกคนที่ปั่นจักรยานต้องใส่หมวกกันน็อค แม้ว่าจะปั่นอยู่แถวๆ หน้าบ้านก็ตาม

ถึงกระนั้น นิวซีแลนด์ก็ยังมีคนตายปีละ 90 คนเพราะไม่ได้ใส่เข็มขัด ทางกรมขนส่งจึงจับมือกับเอเจนซี่ชื่อดังอย่าง BDPO เพื่อสร้างแคมเปญ “Belt Up, Live On” ขึ้นมา โดยหาอาสาสมัครชายฉกรรจ์ 10 คนที่เคยประสบอุบัติเหตุจากรถชนและรอดมาได้ จากนั้นก็เอาพวกเขาเหล่านั้นมาแต่งหน้าแต่งตาเพื่อให้สภาพกลับไปเหมือนตอนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมาหมาดๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า เข็มขัดนิรภัยนั้นสำคัญแค่ไหน

เหตุผลที่ต้องเป็นผู้ชายวัยนี้เพราะนี่คือกลุ่มคนที่ไม่คาดเข็มขัดบ่อยที่สุด ชอบมองว่าการคาดเข็มขัดเป็นเรื่องของเด็กหรือคนแก่ ส่วนพวกเขาที่เป็นชายชาตรีนั้นไม่จำเป็นต้องคาดเข็มขัดก็ได้ แคมเปญ Belt Up, Live On จึงตั้งใจเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ

คนไทยเรายังไม่ค่อยใส่ใจเรื่องใส่เข็มขัดกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลานั่งเบาะหลัง

อย่าลืมว่าการไม่ใส่เข็มขัดนั้นเราไม่ได้เดือดร้อนเพียงคนเดียว เพราะเวลารถชนแล้วเราอาจกระเด็นไปกระแทกคนอื่นอย่างรุนแรงได้

จะมีอะไรเลวร้ายไปกว่าการเป็นสาเหตุให้คนที่เรารักต้องเจ็บหนักหรือเสียชีวิตเพียงเพราะเพราะเราขี้เกียจใส่เข็มขัด

และจะมีอะไรแย่ไปกว่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะความประมาท และทำให้พ่อแม่ต้องมารดน้ำศพให้ลูกตัวเอง

แต่ละภาพที่ผมนำมามีแคปชั่นสั้นๆ ว่าแต่ละคนคือใครและเจออะไรมาบ้าง

อ่านโพสต์นี้จบแล้วลองแชร์ต่อไป เผื่อคนที่ไม่ค่อยชอบคาดเข็มขัดจะผ่านมาเห็นครับ

Dion Perry
รอดชีวิตเมื่อ 23.01.2017
ดิออนกำลังขับรถบนทางชนบทที่ถนนลื่น รถเสียการทรงตัวและพลิกคว่ำและตกลงไปในคู ห่างจากเสาไฟฟ้าเพียงนิดเดียว
ตัวรถพังเละเทะ แต่เพราะมีเข็มขัดนิรภัยเขาจึงมีรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย
Rick Haira
รอดชีวิตเมื่อ 04.11.2004
ริคกำลังขับรถไปทำงานนอกเมือง ขณะข้ามทางรถไฟ รถของเขาถูกรถไฟเฉี่ยว รถพลิกคว่ำไปหลายตลบและพุ่งไปชนตู้หม้อแปลงไฟฟ้า
เข็มขัดนิรภัยช่วยให้เขาไม่กระเด็นออกจากตัวรถ
Liam Bethell
รอดชีวิตเมื่อ 08.08.2017
รถของเลียมถูกรถบรรทุกชนเข้ากลางตัวรถ เหตุเกิดเพียง 200 เมตรจากบ้านของเขา กระดูกซี่โครงหักเกือบหมด หมอนรองกระดูกหักไปสามชิ้น มีเลือดออกในสมองและอยู่ในโคม่าเป็นเวลา 10 วัน
เขาฟื้นขึ้นหนึ่งวันก่อนที่ลูกสาวของเขาจะลืมตาดูโลก
เข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้
James McDonald
รอดชีวิตเมื่อ: 27.09.2017
แดดเข้าตาจนทำให้เจมส์มองทางที่ขับอยู่ทุกวันได้ไม่ถนัด รถของเขาวิ่งไปขวางทางรถบรรทุก 18 ล้อ
เจมส์แขนหักและจมูกขาดเป็นสองท่อน พวงมาลัยก็หักไปด้วย
เข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้
Kahutia Foster
รอดชีวิตเมื่อ 28.01.2011
คาฮูเดียกำลังขับรถกลับจากบ้านเพื่อน รถแหกโค้งจนพลิกคว่ำและพุ่งไปชนกับต้นไม้
แขนขวากระดูกแหลกเพราะโดนรถทับ
เข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้
Dan Mason
รอดชีวิตเมื่อ 02.05.2008
แดนเพิ่งจะอายุครบ 21 ปี เขากำลังขับรถกลับบ้านหลังทำงานกะดึกเสร็จ รถของเขาถูกชนโดยคนเมาแล้วขับ
กระดูกกรามหัก ซี่โครงหัก กระดูกแตก 6 จุดและสมองถูกกระทบกระเทือน ทีมแพทย์พยาบาลต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินให้เขา ณ จุดเกิดเหตุ
เข็มขัดนิรภัยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้

ติมาก็วางไว้ ชมมาก็วางไว้

ที่บอกอย่างนี้เพราะเราชอบเข้าไปถือ

ใครติเราเพียงนิดเดียว หัวเราจะร้อน อยากกระโดดออกไปปกป้องชี้แจง

ใครชมเราเพียงนิดเดียว ตัวเรามักจะลอย ขาไม่ค่อยติดดิน

บางทีการที่เราโดนติ ก็ไม่ใช่เพราะเราทำผิด และก็ไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจผิด แต่มีหลายๆ ปัจจัยรวมกัน หน้าที่ของเราคือแยกแยะส่วนที่มีประโยชน์เอาไปปรับปรุงตัวเองต่อ

บางทีการที่เราโดนชม ก็ไม่ใช่เพราะว่าเราเก่ง หรือเพราะว่าเขาชมชอบเรา บางทีอาจเป็นเพียงแค่จังหวะหรือโชคดี อย่าไปคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป อย่าไปหิวกระหายที่จะได้รับการยอมรับเพราะมันจะทำให้เรากลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้

ติมาก็วางไว้ ชมมาก็วางไว้ครับ

เมื่อทุกอย่างรุมเร้า ให้หายใจเข้าซักเฮือก

หลายจังหวะในชีวิตเราก็ลืมหายใจ เหมือนคนเชียร์บอลที่กำลังลุ้นตัวโก่งว่าลูกโทษนี้จะยิงเข้ารึเปล่า

ในการทำงานช่วง work from home บางทีเราก็ยุ่งมากจนลืมหายใจเช่นกัน ประชุมก็ต้องเข้า Slack ก็ต้องตอบ แถมยังมีคนโทรเข้ามาขายประกันอีก

ถ้าไหวตัวทันว่าตอนนี้กำลังถูกบีบคั้นเกินไปแล้ว วิธีที่จะช่วยพาเราออกจากสภาวะนี้ได้คือการหายใจเข้าซักเฮือก

หายใจเข้าลึกๆ แล้วหยุดนิดนึง เราจะพบความนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วค่อยหายใจออกยาวๆ ความคลี่คลายใจจะปรากฏ

ทำอย่างนี้สักสามครั้ง ก็จะเป็นการรีเซ็ตระบบความคิดของเราใหม่ กลับมามองความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้าแบบผู้จัดการทีม ไม่ใช่คนที่กำลังตะลุมบอนอยู่ในสนาม

เมื่อทุกอย่างรุมเร้า ให้หายใจเข้าซักเฮือกครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ ความสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว โดย camouflage

“ความคิดเห็น” ไม่สำคัญเท่า “เห็นความคิด”

ในยุคที่โซเชียลมีเดียครองเมือง เขียนอะไรก็มีคนเห็น คอมเมนท์ก็มีคนไลค์ มันจึงเป็นกลไกที่คอยขับเคลื่อนให้เราแสดงความคิดความอ่านออกมาตลอดเวลา

ยิ่งในช่วงที่การเมืองร้อนแรง แต่ละฝ่ายมีข้อมูลแน่นหนา ความคิดเห็นหรือความเชื่อที่ได้เลือกแล้วจึงแนบแน่นยึดติด

แต่ความคิดเห็นนั้นไม่สำคัญเท่ากับการเห็นความคิด

เพราะความคิดเห็นส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เราใช้มันเอาไว้ฟาดฟันและเอาชนะคะคานคนที่เห็นต่าง

แต่ไม่ว่าจะชนะการถกเถียงสักเท่าไร ความทุกข์ใจก็ไม่ได้ลดลง

เราจะทุกข์ได้เฉพาะตอนที่เราคิดเท่านั้น เราจึงควรเรียนรู้วิธีที่จะเห็นความคิดของตัวเอง เพราะคนที่เห็นความคิดจะทุกข์ไม่มากและทุกข์ไม่นาน

แต่ถ้าไม่รู้ตัวว่าคิด เราจะติดอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองอยู่ร่ำไป

ความคิดเห็นนั้นมีอยู่ล้นโลกจึงไม่ค่อยมีราคา

ส่วนการเห็นความคิดนั้นมีคนทำได้เพียงหยิบมือ เป็นคุณสมบัติอันล้ำค่า

เรามาฝึกตัวเองให้เป็นคนที่เห็นความคิดกันนะครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ ดวงตาแห่งชีวิต ของอาจารย์เขมานันทะ