เกณฑ์วัดว่าเราควรหยุดได้หรือยัง

20160712_criterion

คำโบราณเขาบอกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

แต่คำโบราณก็บอกด้วยว่า ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน

กับเรื่องบางเรื่องที่ต้องลงแรงและมีแรงเสียดทานมากมาย เราจะตัดสินใจได้อย่างไรว่าควรจะหยุดหรือควรจะไปต่อ?

บางทีตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ – ถ้าหยุดตอนนี้ เราจะภูมิใจรึเปล่า?

ยกตัวอย่างเวลาผมซ้อมวิ่ง ถ้าวันนี้ผมตั้งใจว่าจะวิ่งให้ได้ 5 กิโลเมตร แต่พอวิ่งไปได้ซักสามกิโลเมตรแล้วมันเหนื่อยกว่าที่คิด

สมองของผมก็จะเริ่มหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาสร้างความชอบธรรมให้ผมหยุดวิ่ง – แดดแรงเกินไป รองเท้ากัด ท้องมันจุกๆ เมื่อคืนนอนไม่พอ ฯลฯ

แต่พอถามคำถามง่ายๆ ว่า ถ้าผมหยุดวิ่งตอนนี้ ผมจะภูมิใจกับตัวเองรึเปล่า

คำตอบคือไม่ – เพราะรู้ว่าจริงๆ เรายังไปไหว ผมก็เลยต้องวิ่งต่อไปจนกว่าจะครบ 5 กิโลตามที่ตั้งใจไว้

การวิ่งออกกำลังกายนั้นตัดสินใจได้ง่ายเพราะมีตัวเลขชัดเจน

แต่กับโปรเจ็คที่เราลงทุนลงแรงมายาวนาน และยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ล่ะ?

ผมว่าเกณฑ์นี้ก็ยังใช้ได้อยู่นะ

ถ้าเราล้มเลิกและหยุดทำโปรเจ็คนี้ เราจะภูมิใจรึเปล่า?

ถ้าไม่ภูมิใจ แสดงว่าลึกๆ แล้วเรารู้ว่ายังไปได้อีก ยังมีอะไรที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ

แต่ถ้าเราตอบได้ว่า ถึงแม้จะต้องล้มเลิกโปรเจ็คนี้ เราก็ยังภูมิใจ เพราะรู้ว่าได้ทำสุดความสามารถแล้ว

ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะหยุด และให้โอกาสตัวเองได้ลองทำสิ่งใหม่ โดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะมองเรายังไง

เพราะอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา

คนที่ตอบได้มีแค่คนเดียวครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เคล็ดลับความเทพ

20160425_God.png

Don’t practice until you get it right.
Practice until you can’t get it wrong.

อย่าซ้อมจนทำถูก ซ้อมจนไม่มีทางทำผิดเลยดีกว่า

– Anonymous

—–

ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อบอย

บอยเคยทำงานอยู่ที่ทอมสันรอยเตอร์ด้วยกัน ก่อนที่จะออกไปทำวงใน (Wongnai.com) อย่างเต็มตัวในฐานะ CTO

สมัยที่ยังอยู่ที่ทอมส้นรอยเตอร์ บอยเป็นมือกลองประจำวงดนตรีของบริษัท

งานใหญ่ที่สุดที่วงดนตรีเราจะเล่นคืองานเลี้ยงประจำปี และเพลงที่เราจะซ้อมกันคือเพลงร็อคๆ ที่คนรู้จักกันดีของวงอย่าง Big Ass หรือ Bodyslam

จำได้ว่างานสุดท้ายก่อนที่บอยจะออก บอยรับหน้าที่เป็นมือกลองเพลง “ความเชื่อ” (เพลงที่น้าแอ๊ด คาราบาวมาร่วมร้องว่า “ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน” นั่นแหละครับ)

เพลงนี้กลองเล่นยากมาก โดยเฉพาะตอนขึ้นเพลง เพราะเครื่องดนตรีทุกชิ้นต้องเล่นแล้วหยุด-เล่นแล้วหยุดพร้อมกันโดยมีกลองเป็นตัวประคอง

จำได้ว่าซ้อมกันหลายรอบก็ยังไม่ลงตัวซักที จนบอยบอกว่าเขาคงต้องขอกลับไปซ้อมเพิ่มที่บ้านเยอะๆ ซ้อมจนกว่ากล้ามเนื้อจะจำได้นั่นแหละ

“ซ้อมจนกว่ากล้ามเนื้อจะจำได้!!??” เพื่อนๆ ในวงส่งเสียงโอ้โหกึ่งแซวบอยว่าอะไรมันจะจริงจังปานนั้น

—–

13 เมษายนที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นวันสงกรานต์แล้ว ยังเป็นวันที่นักบาสเกตบอลในตำนานคนหนึ่งลงเล่นเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย

คนๆ นั้นคือโคบี้ ไบรอัน (Kobe Bryant) จาก L.A. Lakers ซึ่งลงสนามแข่งกับ Utah Jazz

ในสามนาทีสุดท้ายของเกม เลคเกอร์ตามยูท่าแจ๊สอยู่ถึงสิบแต้ม 84-94 แต่หลังจากนั้นโคบี้ก็โชว์ความเทพ และพาทีมกลับมาชนะ 101-96 ได้อย่างสุดสะใจ

สรุปเกมนั้นโคบี้ทำไปถึง 60 แต้ม ปิดฉากชีวิตบาสเกตบอลของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

นับตั้งแต่ไมเคิล จอร์แดนเลิกเล่นไป ก็มีโคบี้ ไบรอันนี่แหละที่เป็นไอดอลตัวจริงในวงการบาสเกตบอล NBA

ไม่ใช่เรื่องฟลุคที่โคบี้จะโดดเด่นมาตลอด 20 ปีที่ เพราะเขาเป็นคนขยันมาก

ตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย โคบี้ก็มาถึงคอร์ทบาสและเริ่มซ้อมตั้งแต่ตี 5 และไม่หยุดซ้อมจนกว่าจะชู๊ตลงครบ 400 ลูก แถมยังขอให้เพื่อนเล่นกับเขาแบบตัวต่อตัวจนกว่าจะเล่นกันครบ 100 ลูก  เวลาแข่งเกม NBA เสร็จ คนดูกลับบ้านหมดแล้ว แทนที่เขาจะพักผ่อน เขากลับมาลงสนามและซ้อมชู๊ตลูกต่อ

เพราะเขาซ้อมหนักกว่าทุกคน เขาจึงประสบความสำเร็จกว่าทุกคน

—–

โทนี่ ร๊อบบินส์ นักเขียนและ personal coach ชื่อดัง ได้เขียนสดุดีโคบี้ ไบรอันหลังจบเกมดังกล่าว

โทนี่บอกว่าจากการทีได้ร่วมงานกับคนระดับท๊อปๆ ในหลากหลายวงการ เขาได้เรียนรู้ว่าการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญนั้นมี 3 ระดับ (3 levels of mastery)

ระดับแรกคือความเชี่ยวชาญระดับสมอง (cognitive mastery) คือเราจดจำข้อมูลได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องพึ่งโพย

ระดับที่สองคือความเชี่ยวชาญระดับอารมณ์ (emotional mastery) นั่นคือเราได้สร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เราทำกับผลลัพธ์ยอดเยี่ยมที่จะตามมา จนการกระทำต่างๆ ของเรานั้นเป็นไปแทบจะโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้สมองคิดหรือไตร่ตรอง

ระดับสุดท้ายคือความเชี่ยวชาญระดับร่างกาย (physical mastery) นั่นคือ ถ้าเราได้ทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ กันอย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ ทั้ง “ข้อมูล” และ “อารมณ์” จะถูกบันทึกลงในร่างกายของเรา

โทนี่บอกว่า เพราะโคบี้ไบรอันซ้อมหนักมากมาหลายสิบปี ทุกๆ สิ่งที่โคบี้ทำในคอร์ตจึงเป็นระดับ physical mastery และทำให้เขาโดดเด่นกว่าใครๆ

—–

ผมว่าสิ่งที่บอยบอกในวันนั้นว่าต้องฝึกตีกลองจน “กล้ามเนื้อจำได้” กับ “physical mastery” ที่โทนี่พูดถึง น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน

จึงเป็นบทสรุปว่า ถ้าเราอยากจะเทพด้านไหนก็ตามแต่ แค่รู้ข้อมูลอย่างเดียวไม่พอ แค่มีอารมณ์ร่วมก็ไม่พอ แต่ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีกจนกล้ามเนื้อของเราจำได้ จนเราสามารถทำออกมาได้ดีเยี่ยมจนแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยแล้วนั่นแหละ เราถึงจะเทพอย่างแท้จริง

ผมว่าคนอย่างสตีฟ จ๊อบส์ก็ซ้อมจนกล้ามเนื้อในร่างกายจำได้หมดแล้วว่า จะพูดจังหวะจะโคนอย่างไร จะใช้เสียงโทนไหน จะเดินในท่าทางแบบใด

หรือคนอย่างพี่ตูนบอดี้แสลมก็รู้แล้วว่าท่อนไหนต้องร้องยังไงถึงจะเข้าถึงอารมณ์ได้ดีที่สุด

หรือคนอย่างนิ้วกลม ที่เขียนหนังสือมามากมายจนถ้อยคำและความคิดถักทอออกมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ความสามารถระดับเทพๆ เหล่านี้ น่าจะเกิดจาก physical mastery ทั้งนั้นครับ

—-

ขอบคุณข้อมุลจาก Tony Robbins on LinkedIn: Kobe’s Legacy: We All Get What We Tolerate 

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

เวลาที่ดีที่สุดในการขอขึ้นเงินเดือน

20160403_AskForARaise

คือเวลาที่เรามั่นใจว่า ผลงานของเรา รวมถึงความสามารถของเรานั้น เกินเงินเดือนที่เขาให้มาแล้วอย่างน้อยๆ 50%

ถ้าเราในวันนี้ ไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากปีที่แล้ว การจะให้องค์กรมาขึ้นเงินเดือนเราก็คงไม่ค่อยเมคเซ้นส์เท่าไหร่

คำถามง่ายๆ ที่จะช่วยประเมินว่าเราควรขอขึ้นเงินเดือนรึเปล่าก็คือ

1. ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท จะยอมจ่ายเงินเดือนมากกว่าที่เราได้อยู่ตอนนี้หรือไม่?

2. ด้วยเงินเดือนที่เท่ากัน เจ้านายจะหาคนที่ทำงานได้ดีกว่าเรารึเปล่า?

ถ้าข้อหนึ่งตอบว่ายอมจ่าย และข้อสองตอบว่าหาไม่ได้ ก็ไม่เสียหายที่จะลองคุยกับเจ้านายดู

แต่ถ้าข้อหนึ่งตอบว่าไม่ยอมจ่าย และข้อสองตอบว่าหาได้ไม่ยากเลย

ก็ถึงเวลาที่ต้องขยันและขวนขวายกว่านี้แล้วล่ะ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Unsplash.com

สัปดาห์ละครั้ง

20160229_OnceAWeek

ที่เราควรจะมีเวลาได้นั่งเงียบๆ คนเดียว เพื่อทำ Weekly Review

อาจจะเป็นศุกร์เย็น อาทิตย์บ่าย หรือจันทร์เช้าก็ได้

เพื่อจะได้ทบทวนว่าชีวิตตัวเองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

มิทเชลล์ ฮาร์เปอร์ (Mitchell Harper) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Bigcommerce แพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์เจ้าใหญ่บอกว่า เขาจะกันเวลาไว้สัปดาห์ละสองสามชั่วโมงเพื่อสำรวจตัวเอง โดยเขาเรียกเวลาส่วนนี้ว่า Thinking Time

คำถามที่เขามีก็เช่น

  • ความสัมพันธ์กับคนสำคัญของเราเป็นอย่างไรบ้าง?
  • มีเป้าหมายในบ้างที่เรายังไปไม่ถึงไหน และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
  • มีงานหรือเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้และเราต้องเตรียมตัวบ้าง?
  • เราควรจะทำอะไรแตกต่างออกไปบ้าง?
  • มีทักษะใหม่ๆ อะไรที่เราควรจะเรียนรู้บ้างมั้ย? ทำไม?
  • ตอนนี้มีความสุขดีอยู่มั้ย? ถ้าไม่มี ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
  • สัปดาห์นี้จะทำอะไรให้เสร็จมากกว่าเดิมได้มั้ย?
  • ควรจะหาเวลาพักบ้างรึเปล่า?
  • ตอนนี้เราขยันเพียงพอรึยัง?

ผมเห็นคนประสบความสำเร็จหลายคนมักจะพูดถึงการสำรวจตัวเองทุกสัปดาห์เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Stephen Covey ผู้เขียน 7 Habits of Highly Effective People หรือ David Allen ผู้เขียน Getting Things Done

ที่ผ่านมา ผมก็มีการทำ weekly review บ้างแบบกะปริบกะปรอย แต่จากนี้ไปคิดว่าอยากจะทำให้บ่อยขึ้นครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก #DoItAll by Mitchell Harper

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เราไม่ควรเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ

20160113_PlaySportForSport

ผมเป็นนักศึกษารุ่นแรกของ Asian University (สมัยนั้นยังมีคำว่า of Science and Technology ห้อยท้ายด้วย)

ปริญญาตรีรุ่นหนึ่งเรามีกันอยู่ 20 คน เป็นวิศวะ 10 บริหารธุรกิจอีก 10 คน และมีพี่ๆ MBA อีกประมาณ 25 คน

ด้วยความที่เป็นรุ่นแรกและคนยังน้อยนี่เอง จึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก

กิจกรรมหลักๆ ที่เรามีกันหลังเลิกเรียนคือเล่นกีฬา เล่นกีฬา แล้วก็เล่นกีฬา (อ้อ มีทำการบ้านด้วยครับ)

จำได้ว่าเรียนเสร็จตอนสี่โมง กลับมาพักที่หอพักตามชื่อ พอห้าโมงเย็นก็หิ้วรองเท้าสตั๊ดเดินไปสนามบอล

หกโมงครึ่งพระอาทิตย์ตกดิน ยุงเริ่มเยอะ เราก็จะเข้ามาในโรงยิมเพื่อเล่นบาสกันต่อ (ถ้าไม่จริงจังมากจะถอดรองเท้าเล่น) พอเล่นบาสเหนื่อยๆ ก็ยังตีแบดมินตันกันได้อีก ช่วงนั้นผมน่าจะออกกำลังกายสัปดาห์ละสิบชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

ที่โรงยิมจะมีอาจารย์พละชื่ออาจารย์วิศรมที่คอยดูแลสถานที่และนักศึกษาที่ไปใช้บริการ เป็นคนขยันและยิ้มเก่งมาก ตัวแกเล็กนิดเดียวแต่ดูหุ่นก็รู้ว่าฟิตสุดๆ

ค่ำวันหนึ่งหลังจากเล่นกีฬาเสร็จ ผมกับเพื่อนและอาจารย์วิศรมก็มายืนเมาธ์มอยเรื่องสัพเพเหระ

แล้วอาจารย์ก็เอ่ยประโยคที่ผมยังจำมาจนถึงทุกวันนี้

“รุตม์ไม่ได้เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพหรอก”

ผมก็งงไปแป๊บนึง ถามว่า อ้าว แล้วถ้าไม่เล่นเพื่อสุขภาพ จะเล่นเพื่ออะไรล่ะครับอาจารย์

“ผมว่ารุตม์เล่นกีฬาเพื่อกีฬา”

ผมงี้อึ้งเลย….

ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันแปลว่าอะไร เพียงแต่ผมรู้สึกว่าเป็นคำชมที่น่าปลื้มชะมัด

—–

เมื่อเช้านี้ตอนขับรถมาจอดที่แอร์พอร์ตลิงค์ ผมเปิดซีดีแผ่นหนึ่งที่ได้มานานแล้ว

ซีดีแผ่นนั้นชื่อว่า กิเลส แมนเนจเม้นท์ บรรยายโดยท่านว.วชิรเมธี

ก่อนจะจอดรถ ท่านว.ก็พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงอาจารย์วิศรม

ว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่ออะไร

แต่เราทำดีเพื่อดี

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช ก็เคยสอนไว้ในธรรมบรรยายบ่อยๆ ว่า จงอย่าปฏิบัติธรรมเพื่อจะเอามรรคผลนิพพาน แต่จงปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้า

หรือปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมนั่นเอง

—–

มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจ – humans are driven by incentives

เราทำงาน เพื่อที่จะได้มีเงินไปดูแลครอบครัวและซื้อความสุข

เราเล่นดนตรี เพื่อจะได้โชว์สาวและหวังว่าจะได้ออกเทป (รู้เลยว่าเกิดยุคไหน)

เราปั่นจักรยาน เพื่อจะได้อินเทรนด์และมีเรื่องไว้คุยกับเพื่อนเรา

แต่ถ้าเราเปลี่ยนแรงจูงใจเสียใหม่ล่ะ?

ถ้าเราทำงานเพื่องาน เล่นดนตรีเพื่อดนตรี และปั่นเพื่อปั่น

เราก็จะมีความสุขทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก

และอาจผลิตผลงานออกมาได้ดีไม่แพ้กันครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com