ความรู้สึกเชื่อได้มากกว่าพระคัมภีร์

20171213_feelings2

ในหนังสือ Homo Deus ของ Yuval Noah Harrari (คนเขียน Sapiens) กล่าวไว้ว่าความรู้สึกและสัญชาติญาณนั้นเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่วิวัฒนาการมอบให้เรามาและอาจเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือกว่าคำสอนของศาสดา

ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ คุณจะได้ชุดความรู้-ความเชื่อที่อยู่ยงคงกระพันมานานนับพันปี

แต่ความรู้สึกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความกลัว ความหลงใหล ล้วนแล้วแต่เป็น algorithm สำหรับการอยู่รอด ซึ่งได้รับการปรับปรุงและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลานับแสนนับล้านปี

ดังนั้นความรู้สึกหรือ gut feelings อาจเป็นสิ่งที่เราไว้ใจได้กว่าที่คิด

แต่ก็ใช่ว่าเราควรจะเชื่อแต่ gut feelings อย่างเดียวนะครับเพราะหลายครั้ง gut feelings ก็หลอกเราได้เช่นกัน

การตัดสินใจหลายๆ อย่างมันอาจต้องมีทั้ง เหตุผล คุณธรรม และความรู้สึกประกอบกัน

เหตุผลเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ผ่านการเรียนการสอนในโรงเรียน ซึ่งการใช้ตรรกะนั้นมีต้นกำเนิดมาจากโสเครตีส เพลโต และอริสโตเติล 

ความรู้สึกเป็น survival mechanism ที่ผ่านการคัดกรองมานับล้านปี

ส่วนคุณธรรม-ศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีสอนอย่างเข้มข้นในพระคัมภีร์ และเป็น survival mechanism อย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะถ้าเราเบียดเบียนคนอื่น เราย่อมโดนเบียดเบียนกลับ เราจึงมีความรู้สึกผิด-ชอบ-ชั่ว-ดีติดตัวกันมาทุกคนอยู่แล้ว

เวลาตัดสินใจเรื่องอะไร จึงควรศึกษาข้อมูล ใช้เหตุผลในการหาข้อดี-ข้อเสีย พิจารณาว่ามันถูกศีลธรรมหรือไม่ และสุดท้ายใช้ความรู้สึกตัดสินว่าจะเอายังไงครับ

ให้ความกลัวนั่งเบาะหลัง

20170926_backseat

เมื่อวานนี้ผมได้ฟังสัมภาษณ์ของ Elizabeth Gilbert ผู้เขียน Eat Pray Love และ Big Magic

เธอบอกว่ามีีผู้คนมากมายที่เข้ามาปรึกษาเธอเกี่ยวกับการทำงานสร้างสรรค์อย่างการเขียนนิยาย วาดรูป หรือแต่งกลอน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ทำ

และต่อให้แต่ละคนมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าอย่างไร พอขุดลงไปลึกๆ จริงๆ ก็จะเหลืออยู่เหตุผลเดียวเสมอ คือพวกเขากำลังกลัวอยู่

กลัวว่าไม่มีพรสวรรค์ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ กลัวว่าจะมีคนทำไปแล้ว กลัวว่าผลงานจะถูกเกลียด และที่แย่ไปกว่านั้นคือกลัวว่าจะไม่มีคนสนใจ

แล้วคนที่มาหากิลเบิร์ตก็ถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่กลัว

กิลเบิร์ตบอกว่าในโลกนี้คนที่ไม่กลัวอะไรเลยมีแค่เด็กทารกกับคนป่วยทางจิตเท่านั้น

จริงๆ แล้วความกลัวเป็นสิิ่งที่จำเป็นมาก เพราะถ้าไม่มีมันเราคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้

“ขับรถเร็วไปแล้วนะ”

“ซอยนี้มันเปลี่ยวไปหน่อย”

“ตอนนี้คลื่นเริ่มแรงแล้ว เดินเข้าฝั่งหน่อยดีกว่า”

ความกลัวจะคอยเตือนเราเสมอเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย เราจึงควรมองความกลัวในใจเราเป็นเพื่อน

ข้อเสียของความกลัวคือมันแยกแยะไม่ค่อยออกระหว่างสถานการณ์ที่อันตรายจริงๆ กับสถานการณ์ที่ทำให้เรากังวล

ทุกครั้งที่เราทำงานสร้างสรรค์ เราจะมีความกังวล เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะออกมาดีหรือไม่ เมื่อกังวลก็เลยกลัว เมื่อกลัวก็เลยไม่กล้าลงมือทำ

กิลเบิร์ตมีวิธีคุยกับความกลัวอย่างเป็นมิตร:

“Thank you so much for how much you care about me and how much you don’t want anything bad to happen to me, and I really appreciate that. Your services are probably not needed here because I’m just writing a poem. No one’s gonna die, it’s ok.”

“ขอบคุณนะที่ใส่ใจฉันและไม่อยากให้ฉันเจออะไรไม่ดี แต่ตอนนี้เธอยังไม่จำเป็นต้องออกโรงก็ได้เพราะฉันแค่จะแต่งกลอนเท่านั้นเอง ไม่มีใครตายหรอก”

เราจึงไม่ต้องเอาชนะหรือต่อสู้กับความกลัว แต่มองมันเป็นเพื่อนที่คอยห่วงใยเรา

เปรียบเสมือนตอนเราขับรถ เราอาจให้เพื่อนที่ชื่อว่าความกลัวขึ้นรถมากับเราได้ แต่เราต้องเป็นคนขับ และให้ความกลัวนั่งเบาะหลัง

จะได้ออกเดินทางกันซักที

—–

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

2 ประเด็นเรื่องความโกรธ

20170831_anger

ประเด็นที่ 1 เขาไม่ได้โกรธเรา
ผมเคยทำงานอยู่แผนกซัพพอร์ต (support) ที่ต้องคอยแก้ปัญหาให้ลูกค้า

เนื่องจากลูกค้าต้องจ่ายเงินค่าซอฟท์แวร์ให้เราเดือนละหลายแสน (เพื่อเอาไปทำรายได้เดือนละหลายล้าน) เวลาที่ซอฟท์แวร์มีปัญหาเขาจึงเสียอารมณ์ขั้นหนักหน่วง

สิ่งหนึ่งผมคอยบอกตัวเองเวลาเจอลูกค้าที่หงุดหงิดใส่ก็คือ

“เขาไม่ได้โกรธเรา เขากำลังโกรธปัญหา” (He’s not angry at you, he’s angry at the problem) แต่บังเอิญเราได้รับมอบหมายให้มาช่วยแก้ปัญหาให้เขาพอดี

ฝรั่งจึงมีคำว่า don’t take it personal คืออย่าเอา “ตัวกู” เข้าไปรองรับพลังงานลบที่ถูกปล่อยออกมาราวสะเก็ดระเบิดตะปู

ถ้าใครคนหนึ่งโกรธ แสดงว่าเขากำลังเป็นทุกข์อยู่มหาศาล เราจึงควรเห็นใจเขา และช่วยบรรเทาทุกข์ให้เขาโดยเร็วที่สุด

เพราะฉะนั้น เวลาเราเจอใครโกรธใส่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน พ่อ แม่ แฟน หรือลูก ก็อย่าไป take it personal นะครับ

รู้ว่ายาก แต่ถ้าทำได้มันก็ดีกับทุกฝ่ายใช่มั้ย?

ประเด็นที่ 2 เราไม่ได้โกรธ เราแค่มีความโกรธ

บางทีภาษาของคนก็คลาดเคลื่อน

เวลาฝรั่งโกรธ เขาจึงพูดว่า I am angry

is am are = เป็น อยู่ คือ

เวลาพูดว่า I am angry ก็เหมือนกับจะบอกว่า ฉันคือโกรธ โกรธคือฉัน ฉันและโกรธคือเนื้อเดียวกัน

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วภาษาที่ถูกต้องควรจะเป็น

I have anger – ฉันกำลังมีความโกรธ

I have anger จะแยกระหว่าง “ตัวเรา” กับ “ความโกรธ” ไว้ชัดเจน

ตัวเราก็ส่วนตัวเรา ความโกรธก็ส่วนความโกรธ มันเป็นแค่เพียงผู้มาเยือนแล้วเดี๋ยวเดียวมันก็ไป

ครั้งต่อไปที่เรารู้สึกโกรธขึ้นมา ก็ให้บอกตัวเองว่า I have anger ๆ ๆ ซ้ำๆ ดูนะครับ (อาจจะคล้ายๆ กับการบริกรรมว่าโกรธหนอ โกรธหนอนั่นแหละ)

แล้วถึงจุดนึงก็จะพบว่า Oops! I don’t have anger anymore 😉

—-

ขอบคุณภาพจาก Flickr: Garrett Heath

ขอบคุณคุณผู้อ่านที่อุดหนุนหนังสือเล่มแรกของผม “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” จนตอนนี้ติด Bestseller หมวดจิตวิทยาของซีเอ็ดครับ (https://goo.gl/e326HZ) หากใครยังไม่ได้จับจอง ยังสามารถหาซื้อได้ที่ซีเอ็ด นายอินทร์ คิโนะคุนิยะ เอเชียบุุ๊คส์ บีทูเอส และศูนย์หนังสือจุฬาครับ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ bit.ly/tgimannounce

 

ทำไมเราชอบนอนไถเฟซบุ๊คตอนดึกดื่น

20170711_facebookscrolling

ในปี 2011 มีการตีพิมพ์งานวิจัยชื่อว่า Extraneous factors in judicial decisions ซึ่งว่าด้วยการตัดสินของคณะกรรมการพักการลงโทษ (Parole Board) ในอิสราเอล

คณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้พิพากษา 8 ท่าน โดยหน้าที่ของพวกเขาคือการพิจารณาคำขอการปล่อยตัววันละประมาณ 14-35 คน

เนื่องจากเวลามีจำกัด หลังจากฟังคำร้องขอของนักโทษแต่ละคนแล้ว คณะกรรมการจะใช้เวลาประมาณ 6 นาทีในการตัดสินว่านักโทษคนนี้จะได้กลับบ้านหรือต้องนอนคุกต่อไป

จากการวิเคราะห์ผลการพิจารณานักโทษ 1112 คน นักวิจัยพบว่าโอกาสในการได้กลับบ้านของนักโทษนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับกับว่าเป็นคดีอะไร นักโทษเป็นคนเชื้อชาติไหน หรือมีความประพฤติอย่างไร

แต่ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการหยิบคำขอนั้นขึ้นมาพิจารณาตอนกี่โมง!!

economix-14hungryjudges-custom1

ถ้าคุณเป็นนักโทษคนแรกในวันนั้นที่ได้รับการพิจารณา โอกาสที่คุณจะได้กลับบ้านมีสูงถึง 65% แต่โอกาสจะน้อยลงเรื่อยๆ และจะเหลือต่ำกว่า 10% ก่อนที่ผู้พิพากษาจะได้ไปพักทานคอฟฟี่เบรค

ถ้าคุณเป็นนักโทษคนแรกที่ได้รับการพิจารณาหลังจากที่คณะกรรมการได้พักกินกาแฟแล้ว โอกาสที่คุณจะได้รับการปล่อยตัวจะพุ่งกลับมาที่ 65% อีกครั้ง และค่อยๆ ลดลงจนเหลือประมาณ 10% ก่อนที่คณะกรรมการจะไปพักทานข้าวกลางวัน

และเช่นเคย คุณจะมีโอกาส 65% ที่จะได้กลับบ้าน หากคุณเป็นนักโทษคนแรกที่ได้รับการพิจารณาหลังพักทานข้าวเที่ยง และโอกาสจะน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบเหลือศูนย์หากคุณเป็นนักโทษคนสุดท้ายที่ได้รับการพิจารณาในวันนั้น

นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานและ willpower (จิตตานุภาพ = พลังในการควบคุมจิตใจตนเอง) เมื่อสมองทำงานหนัก น้ำตาลกลูโคสในร่างกายจึงถูกใช้ไปเรื่อยๆ

พอต้องตัดสินใจหลายๆ ครั้งเข้าเหล่าผู้พิพากษาจึงเกิดภาวะการเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ (decision fatigue) สมองก็เลยยึดกับทางออกที่ง่ายดายและปลอดภัยที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการตัดสินไม่ปล่อยตัวนักโทษนั่นเอง

แต่พอผู้พิพากษาทั้ง 8 คนได้ไปพักกินกาแฟหรือทานข้าวเที่ยง willpower ก็ได้รับการเติมเต็ม คณะกรรมการจึงกลับมามีแรงตัดสินใจเรื่องยากๆ อีกครั้งหนึ่ง

การค้นพบนี้มีนัยหลายอย่าง เช่นเวลาคุณร่อนใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยดังๆ คุณอาจมีโอกาสได้เข้าเรียนมากกว่าคนอื่นเพียงเพราะประวัติของคุณถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาเป็นคนแรกๆ

ในทางกลับกัน พนักงาน QC (Quality Control) ในโรงงาน ก็มีโอกาสปล่อยของไม่ได้คุณภาพให้ผ่านไป หากตอนนั้นใกล้เวลาเลิกงานแล้ว

นักวิจัยบอกว่า ในกรณีของคณะกรรมการพักการลงโทษนั้น จะให้เบรคกินขนมกินกาแฟบ่อยๆ คงไม่ใช่ทางออก (ไม่งั้นคงอ้วนตาย – อันนี้ผมคิดเอง) สิ่งที่พอจะช่วยได้คือการมี checklist ที่จะเตือนสติคณะกรรมการว่าควรจะต้องพิจารณาเหตุผลและปัจจัยอะไรบ้างเพื่อให้การตัดสินใจนั้นถูกต้องและได้มาตรฐานที่สุด ซึ่งการใช้เช็คลิสต์นี้ถือเป็นเรื่องปกติในอาชีพนักบิน แต่ในวงการอื่นๆ ไม่ค่อยได้ใช้กัน

แล้วที่จั่วหัวว่าทำไมเราชอบนอนไถเฟซบุ๊คตอนดึกดื่นล่ะ?

งานวิจัยนี้สอนให้รู้ว่า willpower นั้นเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้มากๆ ยิ่งล้า และทำให้การตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผลนั้นด้อยคุณภาพลงไปเรื่อยๆ

ช่วงเวลาหมดวัน คือช่วงที่ willpower ของเราลดต่ำจนแทบเหลือศูนย์ สมองจะเริ่มคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลไม่ค่อยได้แล้ว ดังนั้นแม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าการนอนไถเฟซบุ๊คนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาและทำให้เรานอนไม่พอ เราก็ยังคงจะนอนไถต่อไปเพราะมันง่ายและสบายดี

วิธีแก้ที่ผมลองแล้วพอจะได้ผล คือชาร์จมือถือไว้ให้ไกลหูไกลตา ก่อนจะนอนก็อย่าเดินไปหยิบมันขึ้นมาเป็นอันขาด เพราะเกือบจะร้อยละร้อย “เราจะแพ้” เสมอ

พรุ่งนี้จะขอมาเล่าต่อว่าเราจะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของ willpower ได้อย่างไรนะครับ

—–

หนังสือ The One Thing by Garry Keller with Jay Papasan

งานวิจัย Extraneous factors in judicial decisions by Shai Danzigera, Jonathan Levavb, and Liora Avnaim-Pessoa

The New York Times Economix – Up for Parole? Better Hope You’re First on the Docket by Binyamin Appelbaum

Beyond the times by Walter Frick – Don’t blog on an empty stomach

Gotoknow คณะกรรมการพักการลงโทษ (Parole Board) โดยวินัย เจริญเฉลิมศักดิ์ (น.ม.)

ขอบคุณภาพกราฟจาก New York Times

ไม่รู้ปุ่มหยุด

20170331_play_stop

ถาม: การเปลี่ยนชีวิตมาเป็นพระสงฆ์ เป็นการตัดสินใจฉับพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป
ตอบ: ค่อยเป็นค่อยไป อาตมาสนใจธรรมะมานานเป็นสิบปีแล้ว ขนานไปกับการทำงาน ซึ่งการทำงานโฆษณานี่ ถ้าเราไม่ดูแลจิตใจตัวเอง เราจะอยู่ไม่ได้ หลายคนในวงการนี้รู้ปุ่มไปแต่ไม่รู้ปุ่มหยุด อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนั้น จริงๆ ทุกอาชีพนั่นแหละ

– จิตร์ จิตตสังวโร
GQ Magazine Thailand 
เรื่อง: แป้งร่ำ
ภาพ: แสงอรุณ จำปาวัน
31/01/2017


สมัยทำงานอยู่ที่ทอมสันรอยเตอร์ มักจะมีผู้บริหารชาวต่างชาติแวะมาเยี่ยมเยือนและเล่าให้เราฟังว่าศักยภาพของโปรดักท์ของเราก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว

หนึ่งในตลาดที่ทอมสันรอยเตอร์เป็นผู้เล่นหลัก คือการส่งข้อมูลราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเงิน

ในตลาดนี้ เราจะแข่งกันว่าใครจะสามารถส่งข้อมูลถึงลูกค้าได้เร็วกว่ากัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนวัดกันเป็นวินาที สามสี่ปีหลังแข่งกันเป็น milliseconds (1 ใน 1000 ของวินาที) และเดี๋ยวนี้เขาวัดความเร็วกันเป็น microseconds หรือ 1 ใน 1,000,000 ของวินาทีแล้ว

ผมยกมือถามเขาว่า การแข่งกันเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี่มันจะพาเราไปสู่จุดไหนเหรอ

เขาก็ตอบว่า

“I really don’t know. Scary isn’t it.”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน น่ากลัวมั้ยล่ะ”


สัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างขับรถไปทำงาน ผมได้ฟังพอดคาสท์ Hardcore History เกี่ยวกับ “เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20

เหตุการณ์ที่ว่านั้นคือสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต

อเมริกาคิดค้นระเบิดนิวเคลียร์สำเร็จในสมัยประธานาธิบดีทรูแมน ซึ่งสั่งการให้ทิ้งระเบิดลงฮิโรชิมาและนางาซากิอันนำไปสู่การลงเอยของสงครามโลกครั้งที่สอง

อีกไม่กี่ปีต่อมา อเมริกายังประสบความสำเร็จในการสร้างไฮโดรเจนบอมบ์ที่มีพลังทำลายล้างมากกว่าระเบิดที่ฮิโรชิมา 300 เท่า

โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการตัดสินใจของมนุษย์เพียงคนเดียว (ประธานาธิบดีสหรัฐ) สามารถฆ่าคนนับล้านได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที

โซเวียตเองก็เร่งสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาไม่น้อย และสองมหาอำนาจนี้ก็จวนเจียนจะเปิดสงครามนิวเคลียร์ใส่กันในเหตุการณ์ Cuban Missile Crisis ในเดือนตุลาคมปี 1962 เดชะบุญที่ John F. Kennedy กับ Nikita Khrushchev ผู้นำทั้งสองชาติหาทางออกร่วมกันได้

ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า

“I know not with what weapons World War III will be fought, but World War IV will be fought with sticks and stones.”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะใช้อาวุธอะไรสู้กัน รู้แต่ว่าสงครามโลกครั้ง 4 นี่คนจะสู้กันด้วยไม้และก้อนหินแน่ๆ”

ความ “ก้าวหน้า” ทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติได้สร้างอาวุธที่สามารถพาเรา “ถอยหลัง” กลับสู่ยุคหินได้อีกครั้ง

ยิ่งคิดภาพโดนัลด์ ทรัมป์ มีปุ่มกดยิงขีปนาวุธอยู่ในมือยิ่งใจไม่ดีเอาเสียเลย


เคยถามตัวเองมั้ยครับว่า แต่ละวันเราใช้มือถือวันละกี่ชั่วโมง?

และย้อนกลับไปเมื่อซัก 30 ปีที่แล้ว ก่อนที่พวกเราจะมีมือถือ เราเอาเวลาว่างไปทำอะไรกัน?

สมัยนั้นถ้าผมต้องนั่งรอรถเมล์ ผมก็คงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็ทนทุกข์ทรมานกับการรอคอย

แม้จะไม่ค่อย productive เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนเราสมัยนั้นก็ยังมีเวลาได้ใจเหม่อลอยหรือคิดนู่นคิดนี่ได้

มาสมัยนี้เราไม่มีเวลาให้เหม่อลอยหรือคิดนู่นคิดนี่กันแล้ว ว่างเมื่อไหร่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาส่องเฟซหรือเช็คไลน์ เจออะไรก็ต้องเสพ มีความเห็นอะไรก็ต้องเมนท์

เราเสพติด “การทำอะไรตลอดเวลา” จนไม่มีโอกาสได้ทอดสายตาไปไกลๆ หรือกลับมารู้เนื้อรู้ตัวเลย

ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราซึ่งเคยมีโอกาสได้อยู่ในโลก analog ยังเสพติดการทำอะไรตลอดเวลาขนาดนี้ คิดดูว่ารุ่นลูกของเราจะยิ่งเหนื่อยกว่าเราขนาดไหน

เหนื่อยที่ใจไม่เคยได้พักแม้ซักวินาทีเดียว

“คนในวงการนี้รู้ปุ่มไปแต่ไม่รู้ปุ่มหยุด”

ในโลกที่มนุษย์เกือบร้อยละร้อยรู้จักแต่การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยไม่เคยหยุดถามด้วยซ้ำว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไร

บางทีการ “อยู่เฉยๆ” ให้เป็นอาจเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ก็ได้นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก GQ Thailand: จิตร์ จิตตสังวโร สร้างความสงบในใจและเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น