ถ้าพบว่าตัวเองผัดวันประกันพรุ่ง ให้ถาม 3 คำถามนี้

คิดว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์การผัดผ่อนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ

เรามองการผัดวันประกันพรุ่งว่าเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องของคนไม่มีวินัย แต่แท้จริงแล้วมันอาจกำลังส่งสัญญาณที่มีประโยชน์ให้เราอยู่ก็ได้

ทฤษฎี Motivational Theory ของ Hugo M. Kehr มองว่าคนเรามีแรงขับเคลื่อนได้สามส่วนด้วยกัน คือ Head, Heart, Hand

Head คือเราคิดด้วยตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลโดยดูจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ (rational)

Heart คือเรามองจากอารมณ์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนจากภายใน (affectional)

Hand คือเรามองในเชิงความสามารถในการลงมือทำ (practical)

ถ้ามีครบทั้งสามอย่าง เราก็ย่อมมีแรงผลักดันให้เริ่มทำงานที่ว่า และทำมันจนสำเร็จ

แต่ถ้าเกิดมีไม่ครบหรือไม่มีเลย ก็เป็นไปได้ว่าเราจะเกิดอาการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องเดิมๆ นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าเรามีงานบางชิ้นหรือเรื่องบางเรื่องที่เราผัดผ่อนมาเนิ่นนาน ให้ถาม 3 คำถามนี้

1. มันเป็นเรื่องที่เราควรทำหรือเปล่า (Head)

ถ้ารู้สึกว่างานนี้เราไม่ควรทำ ก็ควรจะเอาออกจาก To Do List ไปเลย

หรือถ้ามองว่ามันควรทำ แต่คนที่ควรทำไม่ใช่เรา ก็มอบหมายงานนี้ให้คนอื่น หรือโน้มน้าวให้ทีมอื่นรับไปทำ

และถ้าเรารู้ว่าควรทำ แต่วิธีการหรือกลยุทธ์ไม่สมเหตุสมผล ก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัดของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมองฝั่งตรรกะยอมรับได้ว่าเราน่าจะคิดมาถูกทางแล้ว

2. มันเป็นเรื่องที่เราอยากทำหรือเปล่า (Heart)

ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจเพราะว่าเราตั้งเป้ายากเกินไป อาจต้องลดความคาดหวังของตัวเองลงมาหน่อย ตั้งเป้าให้ง่ายจนเรารู้สึกว่าสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆ เช่นแทนที่จะบอกว่าให้ตัวเองเขียนบทความหนึ่งชิ้น ก็บอกว่าเราจะเขียนบทความหนึ่งย่อหน้า เมื่องานมันเล็กลง เราก็จะมีกำลังใจและอยากลงมือทำมากขึ้น

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการให้รางวัลตัวเองไปพร้อมกับการทำงานนั้น เช่นถ้าเราไม่อยากล้างจาน เราก็อาจให้รางวัลตัวเองด้วยการเปิดเพลงโปรดหรือดูซีรี่ส์ไปล้างจานไป (แม่บ้านผมทำบ่อย) หรือถ้าเรารู้สึกว่าการออกกำลังกายมันเหนื่อย ก็ลองสั่งเครื่องดื่มที่เราชอบมาสร้างความสดชื่นหลังออกกำลังกายเสร็จ

3. มันเป็นเรื่องที่เราทำได้หรือเปล่า (Hand)

บางทีเราอาจขาดความรู้ หรือขาดเครื่องมือ ทำให้ทำงานชิ้นนี้ไม่ได้เสียที วิธีการที่ง่ายที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้มากกว่าเรา ที่เขาอาจชี้แนะว่าจะเริ่มต้นยังไง อะไรที่เราควรระวัง และเราจะไปหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรได้บ้างที่จะลัดสั้นและมีประสิทธิภาพที่สุด

ที่ต้องระวังคืออย่าให้ “การหาความรู้” มาแทนที่ “การลงมือทำ” เพราะหลายคนติดกับดักนี้ โดยใช้วิธีเรียนไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับโอกาสที่อาจล้มเหลวหากต้องลงมือทำจริงๆ

ควรทำมั้ย อยากทำมั้ย ทำได้รึเปล่า

นี่คือ 3 คำถามที่จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอาการผัดวันประกันพรุ่งครับ


ขอบคุณเนื้อหาหลักจากหนังสือ Tiny Experiments: How to Live Freely in a Goal-Obsessed World ของ Anne-Laure Le Cunff

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีสิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักชัดขึ้นเรื่อยๆ

ว่าคนทำงานนั้นแบ่งออกได้เป็นสองแบบ

ที่ผ่านมาเราอาจเคยได้ยินการแบ่งคนทำงานเป็น People Manager (ต้องดูแลคน) กับ Individual Contributor (ทำงานคนเดียว ไม่มีลูกน้อง)

หรือแบ่งเป็น Specialist รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว กับ Generalist รู้แบบเป็ด ทำได้ทุกอย่าง

หรือแบ่งเป็นคนที่มี Growth Mindset กับ Fixed Mindset

แต่ผมคิดว่าอีกหนึ่งวิธีการแบ่งที่น่าจะมีประโยชน์ คือการแบ่งคนทำงานเป็นคนที่แคร์มากพอ กับคนที่แคร์ไม่มากพอ

ถ้าพนักงานคนหนึ่งเป็นคนที่แคร์มากพอ ไม่ว่าเขาจะอยู่ระดับไหนในองค์กร พลังงานที่เขามี สีหน้าท่าทาง การใช้คำพูด การลงมือทำ การ follow up มันจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเขาอยากทำงานออกมาให้ดี

คนที่แคร์มากพอ แม้จะยังขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ หรือมีนิสัยบางอย่างที่ยังเป็นจุดอ่อน แต่เขาจะไม่หยุดเรียนรู้และมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ ซึ่งนั่นย่อมจะทำให้เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ในทางกลับกัน คนที่แคร์ไม่มากพอจะมีพลังงานอีกแบบ มีอากัปกิริยาอีกแบบ มีคุณภาพของการทำงานอีกแบบ และมีพัฒนาการที่สวนทางกับคนที่แคร์มากพอ

คนบางคนมีความรู้ความสามารถเต็มเปี่ยม แต่ถ้าเขาแคร์ไม่มากพอ งานย่อมออกมาต่ำกว่าศักยภาพที่เขามี

ผมลองนึกย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และพบว่าแทบทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดหรือโดนตำหนิ หนึ่งในปัจจัยสำคัญก็คือผมแคร์ไม่มากพอ

ส่วนงานที่ทำออกมาแล้วสำเร็จเป็นอย่างดี ก็เพราะว่าผมใส่ใจและตั้งใจ จึงวางแผนอย่างละเอียด ติดตามงานจริงจัง และรีดเค้นศักยภาพของตัวเองและทีมงานอย่างเต็มที่

องค์กรที่เต็มไปด้วยคนที่แคร์มากพอ จึงเป็นองค์กรที่มีโอกาสเจริญมากกว่าองค์กรที่เต็มไปด้วยคนที่แคร์ไม่มากพอ

ซึ่งแน่นอนว่าทุกองค์กรอยากเป็นแบบแรก แต่คำถามก็คือ ถ้าองค์กรยังมีคนที่แคร์มากพออยู่น้อยเกินไป เราควรทำอย่างไรกันดี

นี่คือคำถามที่ผู้บริหาร ผู้จัดการ และ HR ต้องตอบให้ได้ โดยเริ่มต้นจากการสำรวจปัจจัยเหล่านี้:

  • คำพูดและการกระทำของผู้บริหาร
  • สภาพของธุรกิจและตลาดว่ามันชวนให้คนในองค์กรมีความหวังหรือไม่
  • คนที่เราเลือกเข้ามา
  • คนที่เราจัดการออกไป
  • คนสไตล์ไหนที่เราตอบแทนและให้โอกาส
  • ความโปร่งใสในการสื่อสาร

แน่นอนว่าผู้บริหารหรือ HR ก็ไม่สามารถพูดได้ทุกอย่าง และไม่สามารถตามใจพนักงานได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าเราได้คนที่ใช่เข้ามา วาดภาพอนาคตให้เห็นร่วมกัน และปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ ก็น่าจะเป็นตัวผลักดันให้คนทำงานมีความแคร์มากพอที่จะทำงานของตัวเองให้ดี และพร้อมจะช่วยให้คนอื่นทำงานได้ดีด้วย

ในมุมของพนักงาน ข้อดีของการเป็นคนที่แคร์มากพอคือมันไม่ต้องใช้เวลา แค่เปลี่ยนโหมดก็เป็นได้เลย ไม่ต้องไปลงเรียนคอร์สเพื่อปรับ competencies ใดๆ และการเป็นคนที่แคร์มากพอในองค์กรที่แคร์มากพอน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวที่จะอยู่กับเราเพียงไม่นาน

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

คือคนที่แคร์มากพอ กับคนที่แคร์ไม่มากพอครับ

กฎหนึ่งก้าว

ระหว่างวิ่งออกกำลังกายรอบหมู่บ้าน ผมได้ย้อนระลึกถึงหลายเรื่องราวที่เกี่ยวกับ “หนึ่งก้าว”

เลยขอใส่คำว่า “กฎ” ไว้ข้างหน้า เพราะน่าจะทำให้ติดหูติดตาและจดจำได้ง่าย

โดยกฎหนึ่งก้าวนั้นแตกออกมาเป็นสามข้อดังนี้:-

One step ahead. One step faster. One step further.


1. คิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว – One step ahead

    ผมทำงานอยู่ในทีม People ของบริษัทเทคที่ทุกอย่างต้องคิดไวทำไว

    เมื่อปี 2023 ผมเคยบอก “ธีม” ของทีม People ไว้ว่าให้คิด One step ahead คือจะทำอะไร ให้คิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว

    ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะพอเดาใจหัวหน้าเราได้ และทำในสิ่งที่ควรทำก่อนที่หัวหน้าจะเอ่ยปากถาม

    ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เวลาเราจะประกาศอะไร เราจะคิดเผื่อไปก่อนเลยว่าพนักงานจะมีคำถามอะไรบ้าง แล้วตอบคำถามเหล่านั้นรอไว้เลยใน FAQ

    ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะรู้ทิศทางลมว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป และเตรียมใจสำหรับสถานการณ์นั้น

    การคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าวจะช่วยให้เราเตรียมตัวได้ดี ซึ่งผมเชื่อว่าทุก 1 นาทีที่เราใช้ไปกับการเตรียมตัวจะประหยัดเวลาอย่างน้อย 2 นาทีหลังจากเราเริ่มลงมือทำ


    2. เร็วกว่าหนึ่งก้าว – One step faster

      “พี่เล้ง MFEC” หรือคุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร เคยกล่าวไว้ว่า

      นักฟุตบอลระดับโลก แท้จริงเขาวิ่งถึงบอลก่อนคนอื่นแค่ครึ่งก้าว

      ซึ่งครึ่งก้าวนั้นก็เพียงพอแล้ว หากมันช่วยให้เราแตะบอลก่อนและยิงประตูได้ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ถึงบอลก่อนคนอื่น 5 ก้าว

      การทำธุรกิจก็เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องชนะคู่แข่งแบบขาดลอย เราชนะเขาแค่นิดเดียวก็สามารถได้โปรเจ็กต์มาอยู่ในมือแล้วเช่นกัน

      หากทุ่มกำลังมากเกินไป ต้องการจะเอาชนะคู่แข่ง 5 ก้าวตลอด นั่นหมายถึงแรงและเวลาที่ต้องใช้อย่างมหาศาล ซึ่งอาจจะทำให้ทีมงานเหน็ดเหนื่อยเกินไป และเสียโอกาสที่จะแบ่งกำลังไปแข่งในเกมอื่นๆ


      3. ไปไกลกว่าหนึ่งก้าว – One step further

        พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เคยเขียนไว้ในหนังสือ “วิถีคนปานกลาง” โดยบทแรกมีชื่อว่า “คนระดับปานกลางจะโดดเด่นได้อย่างไร”

        หนึ่งในคำแนะนำของพี่โจ้ก็คือให้ฝึก “วิชาทำเกิน”

        มันคือการทำให้เกินกว่าที่คนอื่นคาดหวัง

        เช่นลูกค้าขอให้ส่งงานวันศุกร์ แต่เราส่งตั้งแต่วันพฤหัสฯ

        หรือเวลาทำงานส่งหัวหน้า งานของเรามีข้อมูลละเอียดครบถ้วนและไม่มีข้อผิดพลาด จนหัวหน้าไม่มีอะไรให้ต้องปรับแก้

        เจ้านายหรือลูกค้าจะมี “ภาพจำ” ก็ต่อเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่เกินความคาดหวัง หรือต่ำกว่าความคาดหวัง ถ้าได้เท่าที่คาด เขาจะไม่จำ

        ที่สำคัญ เราไม่ต้องทำเกินเยอะ แค่ทำเกินกว่าค่ามาตรฐานที่คนอื่นคุ้นชิน ก็เพียงพอที่จะสร้างความประทับใจ

        เมื่อเราไปไกลกว่าหนึ่งก้าว และทำงานได้เกินความคาดหวังอยู่บ่อยๆ เราก็จะมีภาพจำที่ดีเยี่ยม ซึ่งจะเป็นใบเบิกทางให้กับโอกาสอื่นๆ ที่จะมาถึงในอนาคต


        ถ้าเราคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าว เราจะเตรียมตัวได้ดี และออกตัวได้เร็วกว่า

        ถ้าเราถึงบอลก่อนหนึ่งก้าว (และไม่จำเป็นต้องถึงก่อน 5 ก้าว) เราจะได้บอลนั้นไปครองเพื่อทำเกมหรือยิงประตู

        แต่ถ้าเราเป็นคนคิดไม่เก่ง และวิ่งไม่เร็ว เราก็ต้องขยันกว่าคนอื่น วิ่งให้ไกลกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว เพื่อสร้างผลงานที่เกินความคาดหวัง

        One step ahead.

        One step faster.

        One step further.

        ทำได้เพียงหนึ่งในสามข้อ ก็เพียงพอที่จะช่วยให้การทำงานดีขึ้นอย่างชัดเจน

        แต่ถ้าทำได้ครบทั้งสามข้อ สิ่งดีๆ ก็น่าจะรอเราอยู่อย่างแน่นอนครับ


        พบกับหนังสือเล่มใหม่ของผม “คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท” ได้ที่บู๊ธ KOOB งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 27 มีนาคม – 7 เมษายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Roundfinger ครับ

        เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

        เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนอีก 4 คนได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงปี 2558-2563

        ผมเคยได้พบพี่ก็ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และนำมาเขียนถึงในบทความ “เวลาคืออัตตา” ด้วยความประทับใจว่าคนที่จบด็อกเตอร์จากฮาร์วาร์ดและประสบความสำเร็จทางโลกมามากมายทำไมถึงมีความลึกซึ้งเรื่องธรรมะได้ขนาดนี้

        เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมได้กินกาแฟกับ “ปัง” ดร.เพิ่มสิทธิ์ นําประสิทธิผล ที่เป็น mentee ของพี่ก็ในโครงการ IMET MAX แล้วปังก็เล่าให้ฟังเรื่องที่พี่ก็พาปังกับเพื่อนๆ ไปเยือนพุทธคยาที่อินเดีย ผมเลยไหว้วานปังว่าถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากได้นั่งคุยกับพี่ก็เช่นกัน ซึ่งปังก็น่ารักมาก ช่วยจัดแจงประสานงานทุกอย่างจนพวกเราได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับพี่ก็

        นี่คือบางช่วงตอนที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

        1. เหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก

        ปังบอกผมมาว่าพี่ก็ไม่กินสัตว์บก ตอนที่เริ่มสั่งอาหารจึงถามพี่ก็เพื่อความแน่ใจว่าเน้นกินอาหารทะเลและเน้นอาหารมังสวิรัติใช่มั้ย

        พี่ก็คอนเฟิร์มว่าใช่ แต่ถ้าเราจะสั่งเมนูอื่นๆ ก็สั่งได้ตามสบาย

        ผมถามต่อว่า พี่ก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยใช่มั้ยครับ ซึ่งพี่ก็ก็ตอบว่าใช่อีก

        “คนชอบนึกว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพราะผมปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วผมเลิกดื่มแอลกอฮอล์เพราะว่าผมแพ้แอลกอฮอล์”

        โดยพี่ก็เริ่มจากแพ้ไวน์ขาวก่อน ดื่มแล้วจะมีผื่นขึ้นตามตัว จากนั้นก็เริ่มแพ้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ ด้วย จึงตัดสินใจเลิกดื่มแอลกอฮอล์ไปเลย ซึ่งก็ได้พบว่า เวลานั่งสมาธิแล้วจิตนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

        ส่วนเหตุผลที่เลิกกินสัตว์บก เพราะพี่ก็เคยไปเที่ยวอินเดีย 1 สัปดาห์ และที่อินเดียคนกินมังสวิรัติกันเยอะ พี่ก็จึงคิดว่ากินมังสวิรัติสักหนึ่งสัปดาห์ก็น่าจะดี พอกลับมาเมืองไทยก็เลยลองกินมังสวิรัติต่ออีกสักพัก แล้วพอได้กลับมากินเนื้อหมู เนื้อวัว กลับรู้สึกว่ากลิ่นแรงและท้องไม่ค่อยจะรับแล้ว จึงตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์บกตั้งแต่นั้น และพบว่านอนหลับดีขึ้น และผลค่าเลือดต่างๆ ก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

        2. เหตุผลที่เริ่มสนใจธรรมะ

        พวกเราถามพี่ก็ว่าเริ่มศึกษาธรรมะตอนไหน พี่ก็ตอบว่าตอนที่เรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด เพราะตอนนั้นหนักและเครียดมาก เลยได้อ่านหนังสือธรรมะที่ขนไปจากเมืองไทยและที่ญาติชอบส่งมาให้อ่าน โดยพี่ก็ชอบอ่านหนังสือของพระอาจารย์ชยสาโรเป็นพิเศษ

        พอกลับมาอยู่เมืองไทย พี่ก็จึงไปศึกษาเรื่องการทำสมาธิกับพระป่า

        “การนั่งสมาธิก็เหมือนการลับมีด ช่วยให้ความคิดและการตัดสินใจของเราคมมาก ทำงานได้ productive มากๆ”

        แต่เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งก็เหมือนเจอเพดาน ไปต่อไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่านิ่งขึ้น คมขึ้น หรือ productive ขึ้น จึงไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วพระอาจารย์ก็ถามกลับว่า

        “ที่โยมมาปฏิบัติไม่ใช่เพราะว่าอยากทุกข์น้อยลงหรอกหรือ?”

        เป็นคำถามที่พี่ก็จำได้ไม่ลืม จากนั้นจึงปรับเจตนาใหม่ และเริ่มศึกษาการวิปัสสนาเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตมากกว่าจะเน้นเรื่องความ productive

        “แล้วใครเป็น mentor ของพี่ก็ครับ?” ผมถาม

        “ยูทูปาจารย์” พี่ก็ตอบยิ้มๆ โดยพระอาจารย์ที่พี่ก็ชอบฟังก็เช่นหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชโช หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี หลวงปู่สรวง ปริสุทฺโธ และหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

        พี่ก็ทำทั้งสมาธิและวิปัสสนา โดยขึ้นอยู่กับว่าจิตใจแต่ละวันเป็นอย่างไร ถ้ารู้สึกว่าช่วงนี้ใจไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยมีพลัง ก็ทำสมาธิเยอะหน่อย ถ้าใจนิ่งดีแล้วก็ค่อยทำวิปัสสนา

        3. วิธีวัดความก้าวหน้าทางธรรมของคนทำงาน

        ผมบอกกับพี่ก็ว่า ตัวผมเองเคยไปฝึกวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้ามาสองครั้ง แต่หลังจากแต่งงานและมีลูก ต้องทำงานอยู่ในธุรกิจที่หมุนเร็วตลอดเวลา ก็ไม่เคยได้ลางานไปฝึกสติแบบยาวๆ อีกเลย ทุกวันนี้ที่พอทำได้คือทำสมาธิโดยการดูลมหายใจ และฝึกสติตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน แต่ก็มีความท้อแท้อยู่ลึกๆ เพราะไม่รู้สึกว่ามีความก้าวหน้า ไม่ได้มีหมุดหมายอะไรที่คอยบอกให้ใจชื้นว่าเรามาถูกทางแล้ว

        พี่ก็บอกว่าพี่ก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะพ่อแม่ของพี่ก็เองก็มีอายุเยอะแล้ว (คุณพ่อของพี่ก็อายุ 90 ปี) พี่ก็เลยต้องให้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ ไม่สามารถปลีกวิเวกได้นานๆ เช่นกัน

        คำหนึ่งที่พระอาจารย์เคยสอนพี่ก็ก็คือ ให้ “ธุดงค์รอบเตียง”

        ในความหมายที่ว่า ถ้าแม่ของพี่ก็นอนอยู่บนเตียง พี่ก็ก็ควรธุดงค์อยู่รอบเตียงนั้น ใช้เวลากับคนที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด และนั่นก็ถือเป็นการปฏิบัติแล้ว

        คำของพี่ก็ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมเองก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือเวลาอยู่กับลูก อยู่กับภรรยา ก็ควรใส่ใจเขาและอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด (อย่ามัวแต่ทำงาน!) ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเอง

        ส่วนวิธีวัดว่าเรามีความก้าวหน้าในทางธรรมบ้างหรือยัง พี่ก็ให้ดูว่าเวลาเจออะไรที่เราไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เรารู้ตัวเร็วขึ้นมั้ย แล้วเราวางมันลงได้เร็วแค่ไหน ถ้ารู้ตัวเร็วกว่าเดิม และวางลงได้เร็วกว่าเดิม ก็แสดงว่าการปฏิบัติของเรามีความก้าวหน้าแล้ว

        แต่พี่ก็ก็เตือนเช่นกันว่า

        “เรื่องคนใกล้ตัว วางได้ยากที่สุด”

        4. ทำไมคนแก่บางคนยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งขี้หงุดหงิด

        เพื่อนผมถามว่า เห็นญาติผู้ใหญ่บางคนจริงจังกับการปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี แต่ทำไมช่วงหลังๆ ถึงดูหงุดหงิดขึ้น

        คำตอบของพี่ก็ใจกว้างและน่าสนใจมาก พี่ก็บอกว่าเหตุผลที่เขาหงุดหงิดอาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย

        หนึ่ง ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยน

        สอง เขาเคยมีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีลูกน้องมีบริวาร แต่พอเกษียณหรือหยุดทำงาน สิ่งที่เขาเคยทำได้ เขากลับทำไม่ได้ดั่งใจอีกต่อไป

        สาม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งที่เขาเคยคิดว่ามันถูกต้อง ว่ามันน่าจะเวิร์ค มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว

        สี่ เขารู้ตัวว่าเวลาในชีวิตเหลือไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอะไรเข้ามาทำให้เขาเสียเวลา เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิด เพราะเขาอยากเอาเวลาไปทำในสิ่งที่สำคัญกับเขาอย่างแท้จริงมากกว่า

        5. อย่าด่วนตัดสิน ฟังให้เยอะ และพูดเป็นคนสุดท้าย

        พี่ก็บอกว่า การศึกษาไทยชอบสอนให้เราฝึกพูดหน้าห้องเรียน แต่ไม่เคยให้เราฝึกการฟัง ทั้งที่การฟังนั้นเป็นทักษะที่สำคัญมาก

        “เวลาลูกน้องมีปัญหาอะไรมา เราแค่ฟังเขาอย่างเดียว ไม่ต้องแนะนำอะไร พอเขาพูดจบ บางทีเขาพบทางออกเองด้วยซ้ำ”

        พี่ก็บอกว่า เวลาเราเป็นประธานในที่ประชุม เราต้องพูดให้น้อย ฟังให้เยอะ ตอนที่พี่ก็เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เวลาประชุมกันเรื่องปัญหาหนักๆ ทีมงานมักจะเห็นว่าพี่ก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร จนร่ำลือกันเองว่าที่พี่ก็ไม่พูดอะไรเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว

        จนกระทั่งมีน้องมาถาม พี่ก็จึงเฉลยว่าพี่ก็ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทางออกคืออะไร น้องก็เลยถามต่อว่า แล้วทำไมพี่ก็ดูไม่ panic เลย ทั้งที่ปัญหาวิกฤติขนาดนี้

        พี่ก็มองว่า การ panic ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าหัวหน้า panic ลูกน้องก็จะยิ่ง panic ไปด้วย เพราะพลังงานของหัวหน้าจะเป็น “ตัวคูณ” พลังงานของทีม

        สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือตั้งใจฟัง อย่าตัดบท และอย่าด่วนตัดสิน

        พี่ก็บอกว่าคนเราจะมีอคติในใจอยู่แล้ว ซึ่งเกิดจาก “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้หรือ perception/memory) และ “สังขาร” (ความคิดปรุงแต่ง หรือ mental formations)

        พี่ก็บอกว่า เราต้องระวังอย่าให้สัญญากับสังขารมันมาหลอกเรา เมื่อเรารู้ทันอคติ เราก็จะมีใจที่เป็นกลางมากขึ้น มองเห็นปัญหาอย่างที่มันเป็น และสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด

        6. เป็นผู้นำต้องบริหารใจคน

        พี่ก็ชวนคิดว่า ตอนเราเป็นพนักงานระดับล่าง เวลาเราทำงานได้ดี มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานของเรา และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เราก็มักจะได้รับการโปรโมตให้เป็นหัวหน้า

        แต่เวลาเรามีลูกน้อง ถ้าเราไม่ได้รับการสอนหรือพัฒนาเรื่องการเข้าใจคนอื่น เราจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ยาก เพราะเราคุ้นชินกับการใช้ความรู้ด้าน technical และการทำให้เกิดผลลัพธ์เป็นหลัก แต่สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถลงไปทำอะไรเองได้ทุกอย่าง เราต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้งานของเราสำเร็จ

        “ยิ่งถ้าได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร งานของเราแทบจะเป็นการบริหารใจคนล้วนๆ เลย”

        พี่ก็บอกว่าการศึกษาพุทธศาสนาช่วยให้พี่ก็เป็นผู้บริหารที่ดีขึ้น เพราะธรรมะสอนให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์

        7. หาที่ยืนให้อีโก้

        เราถามพี่ก็ว่า แล้วเราจะบริหารใจคนที่มีอีโก้สูงๆ ได้อย่างไร

        พี่ก็บอกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าคนคนนั้นเด็กกว่าเรามากๆ เราก็น่าจะยังพอสอนเขาได้

        แต่ถ้าคนที่มีอีโก้สูงคนนั้นทำงานมานาน เผลอๆ จะอยู่มานานกว่าเราด้วยซ้ำ สิ่งที่พี่ก็แนะนำก็คือ

        “ระวังอย่าไปเหยียบอีโก้ของเขา และหาที่ยืนให้อีโก้ของเขาด้วย”

        เวลาเจอคนที่อีโก้สูง หรือปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเรา เราต้องหาให้เจอว่าเขากลัวอะไร

        คนเรามักจะกลัวอยู่ 3 อย่าง หนึ่งคือกลัวไม่เป็นที่รัก (not being loved) สองคือกลัวไม่เข้าพวก (not belonging) และสามคือกลัวว่าจะดีไม่พอ (not good enough)

        ถ้าเราเข้าใจว่าเขากลัวอะไร เราก็จะสามารถเลือกทำในสิ่งที่จะลดความกลัวของเขาลงได้ นี่คือการบริหารใจคนที่จะเพิ่มโอกาสให้เราทำงานได้สำเร็จ

        8. เพราะโลกนี้อนิจจัง ทุกปัญหาจึงมีทางออก

        หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดที่ธรรมะสอนพี่ก็ ก็คือทุกปัญหาล้วนมีทางออก

        เพราะโลกนี้มันอนิจจัง (impermanent) ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ปัญหาเป็นแบบนี้ แต่พรุ่งนี้มันจะมีปัจจัยใหม่ๆ มีผู้เล่นใหม่ๆ มีเงื่อนไขใหม่ๆ เข้ามา เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง โจทย์และทางออกย่อมมีความลื่นไหล เหตุผลที่เราทุกข์ใจเพราะเราไปยึดมั่นว่าปัญหาที่เรามีมัน “นิจจัง” (permanent) เราจึงเสียพลังงานไปกับความกังวลหรือกับความเครียดโดยไม่จำเป็น

        อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ก็บอกว่าจะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้น คือการถอดถอนตัวตนออกจากสมการ

        ถ้าเราปล่อยให้อัตตาตัวตนอยู่ในสมการของปัญหา ความคิดของเราจะเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับเราหรือไม่

        แต่ถ้าเราถอดตัวเองออกจากสมการได้ เราจะมองปัญหาด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดตามธรรมชาติของปัญหานั้นโดยที่ไม่มีตัวเรา-ของเราเข้าไปข้องเกี่ยว

        ขอบคุณ “พี่ก็” ดร.วิรไท สันติประภพที่มอบทั้ง สติ และ ปัญญา ให้กับพวกเราในค่ำคืนที่มีความหมาย

        ขอบคุณ “ปัง” อีกครั้งที่เป็นธุระช่วยนัดหมาย ขอบคุณเอ็ม อ้อ และสายใยที่มาใช้เวลาร่วมกันครับ


        ปลายเดือนนี้ Anontawong’s Musings กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ “คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท” พรีออเดอร์ในราคาพิเศษได้ที่เพจนิ้วกลมครับ

        เมื่อ Supply มีมากกว่า Demand เราจะอยู่กันอย่างไรดี

        เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่เบน” วิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ CEO กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ ที่ทำธุรกิจสิ่งทอครบวงจรอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

        ประโยคหนึ่งที่พี่เบนพูดออกมาแล้วติดอยู่ในใจผมมาหลายเดือนก็คือ การทำธุรกิจสมัยก่อนนั้นง่ายกว่าสมัยนี้

        “ในอดีต ถ้า Demand มีซัก 10 Supply จะมีแค่ 3 หรือ 4 เท่านั้น ทำธุรกิจอะไรก็รวย

        แต่สมัยนี้ Demand มี 10 Supply อาจจะมี 20 หรือ 30 มันก็เลยต้องแย่งกันขาย ดังนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนนั้นจึงยากกว่าแต่ก่อนมากๆ”

        ในช่วงเดียวกันนั้นเอง ผมได้อ่านหนังสือชื่อ The Perfection Trap ที่เขียนโดย Thomas Curran ที่ตั้งคำถามว่าทำไมคนเราถึงมีโอกาสเป็น perfectionist มากกว่าแต่ก่อน

        สมมติฐานของ Curran คือ โลกปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วย Supply-Side Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งซัพพลาย

        ในความหมายที่ว่า ทุกคนต้องการสร้างความเจริญเติบโต (growth) จึงเร่งผลิตผลิตภัณฑ์ออกมามากมายจนล้นตลาด และสร้าง “ความต้องการ” ให้กับผู้บริโภคด้วยการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นทางทีวี นิตยสาร หรือบิลบอร์ด หรือถ้าเป็นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็คือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่ Curran มองว่าไม่ได้ทำหน้าที่ social network อีกต่อไป แต่เป็น advertising platform อันทรงพลัง

        เมื่อเราถูกสื่อทุกทางบอกว่าชีวิตของเราไม่ดีพอ ชีวิตของเราจะต้องดีกว่านี้ ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรือบริการตัวนั้น เราก็เลยพร้อมที่ยอมจ่ายเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าที่เอาเข้าจริงแล้วไม่ได้จำเป็นต่อชีวิต

        เราจึงกดเอฟของเวลามี Double Digit Campaign ในเว็บอีคอมเมิร์ซ เราจึงซื้อเสื้อผ้า fast fashion มาอัดไว้เต็มตู้ เราจึงเปลี่ยนมือถือทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้ดี


        ไม่ใช่เพียงสินค้าเท่านั้นที่ล้นตลาด คนทำงานก็เหมือนจะล้นตลาด

        เนื่องจากผมทำงานอยู่ในส่วนของ HR จึงได้สัมภาษณ์คนอยู่เรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือเด็กที่จบใหม่สมัยนี้หางานดีๆ ได้ยากกว่าสมัยก่อน

        เนื่องจากบริษัททุกแห่งต้องทำกำไร และการจ้างพนักงานประจำนั้นมีต้นทุนสูง บริษัทจำนวนไม่น้อยจึงเลือกรับพนักงานที่ยังไม่มีประสบการณ์แบบเป็นสัญญาจ้างหรือที่เรียกว่า outsourced employee

        ผมได้คุยกับผู้สมัครหลายคนที่เรียนจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมายังเป็นได้เพียงพนักงานสัญญาจ้างปีต่อปี ซึ่งสิ่งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

        แล้วการมาของ AI อาจจะ disrupt ตลาดแรงงานอีกหลายระลอก งานระดับ operations ที่เราเคยจ้างเด็กจบใหม่เข้ามาทำก็อาจจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ

        เมื่อเราอยู่ในโลกที่ supply มีมากกว่า demand นั่นหมายความว่าเราไม่อาจแสวงหา “ความมั่นคง” ในอาชีพการงานได้อีกต่อไป

        แม้กระทั่งบริษัทเทคชั้นนำของโลกที่มีเงินมหาศาล ก็ยังปลดพนักงานไปแล้วหลายระลอก

        จริงอยู่ที่ในเมืองไทยยังมีองค์กรใหญ่ที่ดูมั่นคงและปลอดภัย แต่ในโลกที่ผันผวนเพียงนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าองค์กรเหล่านี้จะยังคงมอบความมั่นคงให้กับพนักงานได้เหมือนสมัยก่อนหรือไม่ บริษัทอาจถูกควบรวม ลดไซส์ หรือมีโครงการ early retire ที่เราอาจกลายเป็น “ผู้ประสบภัย” ได้เช่นกัน


        ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี?

        ผมคงไม่สามารถพูดได้ในมุมของเจ้าของธุรกิจเพราะไม่ได้มีประสบการณ์ แต่ขอพูดในมุมมองของพนักงานว่าเราจะเพิ่มความน่าจะเป็นให้กับตัวเองในการมี “งานทำไม่ขาดมือ” ได้อย่างไรบ้าง

        หนึ่ง เราควรเป็นของหายากสำหรับใครบางคน

        แม้จะอยู่ใน supply-side economy แต่ก็มีบางอย่างที่ supply ยังน้อยกว่า demand อยู่

        เช่นคนที่ขยัน เรียนรู้ไว มี ownership เก่งทั้งงาน เก่งทั้งคน มี EQ ที่ดี จัดการความเครียดได้ สุขภาพแข็งแรง รักษาคุณภาพของงานได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางลัด ต้องใช้เวลาพัฒนา มันจึงเป็นของหายาก และบริษัทที่ฉลาดย่อมอยากเก็บเอาไว้

        สอง เราควรสร้างแบรนด์ของตัวเอง

        เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ดีๆ ได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากไปกว่าเวลาและความตั้งใจ (โดยที่ต้องทดไว้ในใจว่าใน supply-side economy ก็มี creators ล้นตลาดเช่นกัน)

        เมื่อเรามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีคนติดตามหลักพันหรือหลักหมื่น มันจะเป็นเสมือน online resume ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเราได้ในระยะยาวไม่ว่าเราจะทำงานอยู่กับองค์กรไหนก็ตาม

        และแม้ว่าเราไม่ต้องการมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ เราก็ยังสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองภายในองค์กรได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสและทางเลือกให้กับเราอย่างแน่นอน

        สาม เราควรเล่นเกมยาวกับคนที่มองการณ์ไกล

        “Play long-term games with long term people.” เป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ผมชอบมากที่สุดในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

        เพราะความไว้ใจนั้นใช้เวลาสั่งสมเนิ่นนาน เป็นสิ่งที่ AI ก็ช่วยให้เกิดเร็วขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในความสัมพันธ์กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ เราก็จะมีกลุ่มคนที่คอยเกื้อกูลกัน พร้อมจะแนะนำให้เราได้พบกับงานดีๆ ทั้งในวันนี้และในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องร่อนเรซูเม่และได้แต่ภาวนาว่าจะมีบริษัทไหนเรียกตัวหรือไม่

        ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคลื่นอีกหลายระลอกที่กำลังซัดเข้าฝั่งครับ