
เมื่อคืนนี้เจอพี่คนนึงนำข้อความนี้มาขึ้นไว้ในเฟซบุ๊ค ผมใช้เวลาอ่านเพียง 3 นาทีก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คิดว่ามีประโยชน์มากเลยขอนำมาแชร์ไว้ตรงนี้ครับ
— copy มาจากพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่ง —
เปลี่ยนหมอ เปลี่ยน โรงพยาบาล
นี่คือ บางส่วนของบทสนทนา หมอ และคนไข้ เมื่อวาน
หมอ: หมอจะอธิบายให้เข้าใจ ว่าโรคซึมเศร้ามันเกิดจากอะไรนะคะ จะได้รู้ว่า ต้องตั้งใจรักษาอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้น คุณก็จะเป็นๆหายๆแบบนี้ ไม่จบ จนตาย
คนไข้: ค่ะ (ตาโต กับคำว่า ‘จนตาย’)
หมอ: โรคนี้ มันเกิดจาก Attitude นิสัย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในอดีตของคุณที่ผ่านมา 17 ปีการทำงานที่คุณเล่าให้หมอฟัง คุณใช้ชีวิตแบบ ไม่บาลานซ์ ระหว่าง work-relax-sleep เลย…ที่ผ่านมา คุณมีแต่ work กับ การนอนที่ไร้คุณภาพ … ใช้ชีวิต ทำลาย neuron และสารสื่อประสาทในสมองจนเหี้ยน เหมือนผักที่คุณสับจนเละ และฝ่อไป ไม่มีจังหวะให้ฟื้นฟู จนเส้นประสาทมัน ต่อกันไม่ติด
คนไข้: (ก้มหน้ารับ)
หมอ: ทำลายสมองไม่พอ … เวลาเกิดความเครียดสะสม มันก็ก่อตัวพอกพูน เหมือนภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล เมื่อไม่มี relax ก็เหมือนไม่มีพลังบวกไปละลายน้ำแข็ง มันก็พอกๆกันเยอะขึ้นจนโผล่มาเหนือน้ำ ซึ่งก็แสดงออกมาในอาการป่วยที่เป็นอยู่ ต้องเพิ่ม relax เพิ่มการพักผ่อน และลดหรือเลี่ยงสิ่งเร้านะคะ
คนไข้: (คิดในใจ… หมออธิบายเก่งจัง)
หมอ: การ relax เช่น เล่นกับลูก (หยุด มองหน้าคนไข้) หรือหา ผ..เอ่อ แฟนก็ได้นะคะ (หยุด มองหน้าคนไข้อีก) เอ่อ หรือ หากิจกรรมทำกับเพื่อนๆ นะคะ
หมอ: (อธิบายต่อ) นอนพักให้พอ กินให้พอ ให้อาหารสมองนะคะ ทำงาน ก็ทำแค่ในเวลางานนะคะ …คุณทำ IT หมอก็พอจะเข้าใจ ว่ามันต้องรับผิดชอบ แต่ถึงจุดที่ป่วยแล้ว ก็ต้องหยุดไม๊
คนไข้: … หมอพูด เหมือนเข้าใจคนทำ IT
หมอ: อ่อ ค่ะ คุณเป็น IT รายที่ 5 ที่มาหาหมอวันนี้
คนไข้: การรักษาล่ะคะ ต้องนานแค่ไหน จะหายไม๊
หมอ: โรคนี้ ต้องกินยารักษาต่อเนื่อง เพื่อให้ยาช่วยเติมสารสื่อประสาทและฟื้นฟูเส้นประสาท ให้กลับมาเหมือนเดิม เพิ่ม การนอนที่มีคุณภาพ เพิ่ม relax และต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต มุมมองและทัศนคติ ในการใช้ชีวิตใหม่ ….ความยาก คือ หมอต้องทดลองให้ยาทีละแบบ เพื่อดูผลข้างเคียง ถ้าไม่เวิร์ค ต้องเปลี่ยนไป จนกว่าจะเจอยาที่สมองเรารับ และ ย้ำ ว่าต้องรักษาต่อเนื่อง ประมาณ 1-2 ปี…. หายได้ แต่ต้องอดทน และสู้กับมัน
อย่ารักษาแบบเดี๋ยวกินยา เดี๋ยวดี เดี๋ยวหยุด เหมือนที่ผ่านมา ถ้าปล่อยเรื้อรัง ถึงจุดที่รักษายาก มันอาจถึงต้องใช้ไฟฟ้าช็อตสมองเพื่อช่วยให้เส้นประสาท สื่อถึงกันได้
คนไข้: (ทำหน้าประหลาดใจ) ขนาดนั้นเลยหรือคะหมอ เพิ่งรู้นะเนี่ย
หมอ: จริงๆ หมอไม่ได้ขู่ … ยังดีที่คุณ ยังไม่ถึงขั้น อยากฆ่าตัวตาย แต่ขั้นนี้ ที่ลุกไม่ได้ เศร้า ไม่อยากเข้าสังคม ชอบอยู่คนเดียว แบบนี้…ถ้าปล่อยไว้ เดี๋ยวความคิดที่ว่า ตัวเองไร้ความสามารถ ก็จะมา ท้ายที่สุด ถ้าไม่มีสติ จะไปขั้นที่น่ากลัว คือ จะคิดฆ่าตัวตายละ
คนไข้: (เว่อร์ไปไม๊หมอ)
หมอ: เอาล่ะค่ะ หมอจะจ่ายยาให้ กินทุกวันนะคะ อีกสองอาทิตย์เจอกัน
จบ …จ่ายค่าหมอและยาเกือบสามพัน เบิกประกันไม่ได้ เพราะเป็นหมอจิตเวช ค่าคุยกะหมออย่างเดียว สองพัน ในครึ่ง ชม.
แต่ขอบคุณหมอท่านนี้ ที่ทำให้เข้าใจ ว่าโรคซึมเศร้า อันตรายแค่ไหน
โรคนี้ ต้องจริงจังในการรักษาสินะ
แน่นอนว่าบทสนทนาสั้นๆ คงไม่อาจมีข้อมูลครบถ้วน แต่ผมคิดว่ามันก็ครอบคลุมใจความสำคัญๆ ที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที
บทเรียนสำหรับผมก็คือ
1. โรคนี้อาจจะเกิดกับใครก็ได้
2. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
3. ที่แต่ก่อนคนไทยไม่ค่อยเป็นโรคนี้กันอาจเป็นเพราะว่าสภาพสังคมไม่ได้บีบคั้นให้ทำงานเยอะแบบไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างสมัยนี้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรชะล่าใจว่าเราไม่เป็นหรอก หรือแค่ปฏิบัติธรรมก็หายแล้ว (อาจจะช่วยได้บ้างในแง่การป้องกัน แต่ในแง่การรักษาคงยาก เพราะมันเป็นเรื่องของสารสื่อประสาทในสมอง ไม่ใช่แค่เรื่องจิตใจแล้ว)
ดูแลร่างกายและจิตใจกันให้ดีนะครับทุกคน
อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/
Like this:
Like Loading...