ต่อจากนี้ เราจะหัดมีชีวิตเพื่อตัวเอง

บทความนี้เป็นภาคต่อจากตอนที่แล้ว – “ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน” ซึ่งมีเนื้อหามาจากหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson

ในตอนแรกผมเกริ่นเอาไว้ว่า บ้านในวัยเยาว์อาจสร้างให้เรามีบุคลิกที่ชอบตามใจผู้อื่นและไม่กล้าขัดใจใคร (fawning)

บ้านที่มีปากเสียง อาจทำให้เราเป็นผู้รักษาความสงบ (peacekeeper)

บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก) (performer)

บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล (caretaker)

บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย (lone wolf)

บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์ (perfectionist)

บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (chameleon)

Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นนักจิตบำบัดที่เน้นเรื่องบาดแผลในวัยเด็ก (child trauma) แถมยังเป็นคนที่สนใจศึกษาศาสนาพุทธมาพอสมควร

คน 6 ประเภทที่ยกมาข้างต้น Josephson ยกมาจากเคสคนไข้ที่มารักษากับเธอจริงๆ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ครอบคลุมทุกเคสที่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น ใครที่อ่านบทความตอนที่แล้วแล้วรู้สึกว่า “ไม่เห็นตรงกับฉันเลย” หรือ “ฉันเป็นหลายอย่างเลย” ก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะ 6 ประเภทที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เป็นเฟรมเวิร์กที่ครบถ้วนเหมือน Enneagram หรือ MBTI

และถ้าเราเป็นคนโชคดี มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ มีครอบครัวที่อบอุ่นและไม่กดดัน เราก็อาจไม่ต้องใช้การ fawning เพื่อเอาตัวรอดในวัยเด็กเลยก็ได้

บางคอมเมนต์จากตอนที่แล้วค้านว่าตัวตนของเราไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู แต่เกิดจากข้อมูลทางพันธุกรรมต่างหาก

ส่วนตัวผมเชื่อว่า คำตอบนั้นมักจะอยู่ตรงกลาง นั่นคือพันธุกรรมก็มีส่วน การเลี้ยงดูก็มีผล

ถ้าเราเหนื่อยกับการเติบโตมาโดยต้องคอยคิดถึงหัวอกคนอื่น จนละทิ้งความต้องการของตัวเองมาโดยตลอด จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนนิสัยหรือแพทเทิร์นเดิมๆ ได้หรือไม่

Josephson เชื่อว่าเราทำได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจำบาดแผลจากวัยเด็กได้ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เป็นอดีตนั้นเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะอยู่เพื่อปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร


วิธีสำรวจว่าเราเป็น fawner รึเปล่า

ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็น fawner

ทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะหรือความขัดแย้ง

คิดว่าการทำให้ทุกคนแฮปปี้เป็นหน้าที่ของเรา

พยายามอธิบายตัวเองมากเกินไป (overexplain yourself) เพราะกลัวคนไม่เข้าใจ

ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ หรือไม่ก็เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ และไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ผ่านมา

รู้สึกว่าต้องสวมบทบาทเป็นใครบางคนตลอดเวลา

ทำไมเราถึงติดหลุมพรางความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic)

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนบางคนถึงมักจะเลือกคบแฟนที่นิสัยไม่ดี เลิกกับคนเก่าไปแล้ว คบกับคนใหม่ก็ยังเลือกคนนิสัยเดิมๆ อีก

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้สึกคุ้นเคยกับการรับมือกับคนประเภทนี้นั่นเอง

สมมติว่าตอนเด็กๆ เรามีคนในบ้านที่เรียกร้องให้เราต้องตามใจเขาตลอด พอเราโตขึ้นมาและจะเลือกคบกับใคร เราก็มักเลือกคบคนที่ชอบเรียกร้องให้เราต้องดูแลเขาและตามใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน

อะไรที่เราคุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกเราว่ามัน “ปลอดภัย” (แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะ toxic)

ส่วนอะไรที่เราไม่คุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกว่ามัน “อันตราย” ทั้งที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้มีอันตรายใดๆ เลย

จิตใต้สำนึกพาให้เรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยจากวัยเด็ก เพราะว่าเราอยากจะพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า “รอบนี้ฉันขอแก้มือ และถ้าฉันทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันเวิร์กได้ ก็น่าจะเป็นการลบล้างความเจ็บปวดในอดีตได้เช่นกัน”


เรียนรู้ที่จะอยู่กับความอึดอัด

ผู้เขียนบอกว่า การที่เรา fawning ผ่านการตามใจหรือเอาอกเอาใจคนอื่น เพราะมันคือกลไกที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เราไม่ชอบ

ดังนั้น หากเรารู้ตัวว่ากำลัง fawning โดยไม่จำเป็น ให้ถามตัวเองว่า “เรากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกอะไรอยู่?”

วิธีการเยียวยาจากอาการ fawning ก็คือการค่อยๆ สอนตัวเองว่า ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำอะไรเราไม่ได้ – “Healing is the practice of slowly getting comfortable with being uncomfortable.”

ในหนังสือ The Body Keeps the Score (20,000 reviews, 4.36 ดาวบน Goodreads) Bessel van der Kolk ผู้เขียนบอกว่า “บาดแผลในอดีตยังคงมีตัวตนอยู่ในรูปแบบของความรู้สึกอึดอัดที่กัดกินอยู่ข้างใน”

เวลาเกิดบาดแผลในวัยเด็ก ส่วนที่พยายามปกป้องเราเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้และคิดไปว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยังคงเกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ มันยังนึกว่าเรายังเป็นเด็กอายุแค่ 6 ขวบเหมือนกับช่วงที่เกิดบาดแผลไม่มีผิด

การเยียวยาจากการ fawning คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบันในขณะที่ร่างกายยังไม่สามารถมูฟออนจากเหตุการณ์ในอดีตได้


เฟรมเวิร์กในการรับมืออาการ fawning

Josephson บอกว่า เวลาพบว่าตัวเองอยู่ในอาการ fawning เธอจะพูดกับตัวเองว่า “Be NICER to yourself.”

NICER ย่อมาจาก Notice, Invite, Curiosity, Embrace, และ Return

Notice – เริ่มต้นจากเราต้องรู้ตัว หรือสังเกตเห็นก่อนว่าเรากำลัง fawning อยู่ เช่นเห็นคนโกรธแล้วไม่กล้าขัดใจ หรือเห็นว่าตัวเองมักจะคิดมากไปต่างๆ นานาว่าเขาจะไม่พอใจเราไหมนะ เมื่อเราสังเกตได้ว่าความคิดกำลังเตลิด นี่คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

Invite – ให้เชื้อเชิญความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาร่วมโต๊ะกับเรา ถามตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อึดอัด กลัว กังวล ฯลฯ แล้วต้อนรับมันอย่างเป็นมิตร ไม่ต้องไปพยายามกดข่มหรือขจัดมันทิ้งไป เราไม่ได้ผิดอะไรที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นอยู่กับเราโดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่ม เพราะในระดับกายภาพ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะมีอายุขัยเพียง 90 วินาทีเท่านั้น หากมีความรู้สึกใดที่อยู่ยาวนานกว่านั้น ก็เพราะว่าเราไป “ตีฟอง” ให้ความรู้สึกมันฟูฟ่องขึ้นมา

Curiosity – จงเป็นนักสังเกตการณ์ของจิตและกาย ใจของเรากำลังเป็นอย่างไร บนร่างกายเราเกิดความรู้สึกขึ้นตรงไหนไหม เช่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น หน้าร้อนผ่าว ตึงๆ ตรงหน้าอก ค่อยๆ ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจด้วยความสงสัยใคร่รู้

Embrace – ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่าไปโกรธตัวเองซ้ำที่มีความรู้สึกแบบนี้ มันคือตัวตนเราในอดีตที่พยายามจะปกป้องเราอยู่เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา ให้มีปฏิสัมพันธ์กับความรู้สึกนั้นอย่างมีเมตตา บอกความรู้สึกนั้นว่า “ขอบคุณนะที่พยายามปกป้องเรา ตอนนี้เราปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

Return – กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ที่นี่ตรงนี้ เรากำลังมองเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไรอยู่ ดูหน้าที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงจากลมหายใจ เป็นต้น


วิธีพากายใจกลับบ้าน

กายกับใจนั้นจะเชื่อมโยงกันตลอด ใจรู้สึกอย่างไร ก็จะมีผลกับร่างกาย ร่างกายรู้สึกอย่างไรก็ย่อมมีผลต่อจิตใจ

หากเรารู้ตัวว่ากายหรือใจระส่ำ ทำงานไม่ปกติ นี่คือบางวิธีที่จะช่วยให้กายและใจสงบลงได้

หายใจออกให้ยาวกว่าหายใจเข้า: เช่นหายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 6

เทคนิค 5 4 3 2 1: ขานชื่อ 5 อย่างที่ตาเรากำลังมองเห็น, 4 อย่างที่ใจเรารู้สึก, 3 เสียงที่หูเราได้ยิน, 2 กลิ่นที่จมูกเราสัมผัสได้ และ 1 รสที่เรารับรู้

วางมือบนจุดที่เรารู้สึกตึงในร่างกาย: เช่นถ้ารู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ก็ลองวางมือเบาๆ ตรงนั้นแล้วหายใจเข้าออกยาวๆ

เอาขาพาดกำแพง: ในภาษาโยคะมีชื่อเรียกว่า Viparita Karani (วิปะรีตะ การณิ) ทำได้โดยการนอนหงายให้ก้นชิดผนัง ขาพาดขึ้นไปบนฝาผนัง ขาทั้ง 2 ข้างชิดกันและชิดผนัง ค้างไว้อย่างนั้น 3-5 นาที

ผลักกำแพง: เวลารู้สึกโกรธใคร ท่านี้อาจช่วยได้ ตอนผลักกำแพงอย่าลืมบอกตัวเองด้วยว่า “ถ้าจะยังรู้สึกโกรธอยู่ก็ไม่เป็นไร เธอสามารถอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่เธอต้องการ”


บอกสิ่งที่เราต้องการ โดยเริ่มจากเรื่องที่ง่ายที่สุด

คนที่คุ้นเคยกับการ fawning มาตลอดชีวิต อาจจะไม่ค่อยกล้าบอกความต้องการของตัวเอง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน เช่นในสถานการณ์ที่เราควรจะบอกความต้องการของเราได้แน่ๆ เพราะว่าเราเป็นลูกค้า

เช่นถ้าเราสั่งอาหาร แล้วร้านทำมาผิด แทนที่จะบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร กินเมนูนี้ก็ได้” ก็ให้บอกทางร้านว่าร้านทำมาผิด ให้เขาไปทำใหม่

หรือเวลาเข้าร้านนวดแผนไทย ถ้าอยากให้หมอเน้นจุดไหน หรือถ้านวดเบาหรือแรงเกินไป ก็เอ่ยปากบอกหมอตรงๆ ว่าเราอยากได้ประมาณนี้นะ

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเบสิกมาก แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งตัวผมเองก็มีอาการอย่างนี้ในบางครั้งเช่นกัน เพราะชอบคิดว่าไม่อยากเป็นคนเรื่องเยอะ

แต่ขอให้มองว่าการเอ่ยปากบอกในสิ่งที่เราต้องการคือการฝึกฝนที่จะออกจากแพทเทิร์นเดิมๆ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ชีวิต

จากนั้น เราค่อยเริ่มฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการกับคนที่รู้สึกปลอดภัย อาจจะเป็นการคุยกับแฟนว่าเราอยากกินอาหารร้านนี้ หรือบอกเพื่อนที่โทรมาว่าเรามีเวลาคุยแค่ 10 นาที

เราต้องพร้อมที่จะขีดเส้นให้ตัวเอง – draw your own boundary โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องหรือบงการให้ใครทำอะไร

คือแทนที่จะบอกเพื่อนว่า “อย่าโทรมาเวลาทำงาน” ก็ให้บอกเพื่อนว่า “ถ้าเขาโทรมาเวลางานเราจะไม่สะดวกรับสาย” เป็นต้น

เมื่อเรากล้าบอกความต้องการกับคนที่เราสนิทใจ เราจึงค่อยรวบรวมความกล้าในการบอกความต้องการกับคนที่เราเคยหลบหลีกหรือตามใจเขามาโดยตลอด เช่นผู้ใหญ่ในบ้านบางคน หรือญาติหรือเพื่อนบางคนที่มักจะข้ามเส้นเราอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปสู่แพทเทิร์นเดิมๆ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงก็ไม่ต้องตกใจ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แค่เรารู้ตัวว่าเรากำลัง fawning อยู่ก็นับเป็นความก้าวหน้าแล้ว


การไม่ขัดใจ การตามใจ การเอาอกเอาใจที่เรียกรวมๆ ว่าการ fawning นี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้ในวัยเด็ก

แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคือ “พ่อแม่ของตัวเอง” เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้โดยไม่จำเป็นต้องตามใจหรือเอาอกเอาใจทุกคนอีกต่อไป

เราสามารถหลุดออกจากวังวนเดิมๆ ได้ ด้วยการพาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เป็นเพื่อนกับความอึดอัด ไม่รังเกียจความรู้สึกใดๆ ปล่อยให้มันผ่านมาและผ่านไปโดยไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม และฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการโดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ และปลอดภัยต่อจิตใจ

ต่อจากนี้ ขอให้เราหัดมีชีวิตเพื่อตัวเองครับ

ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน

ช่วงนี้ผมกำลังอ่านหนังสือชื่อ Are You Mad at Me: How to Stop Focusing on What Others Think and Start Living for You ของ Meg Josephson อยู่ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้ 4.48 ดาวบน Goodreads

หนังสือเหมือนจะเขียนให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก เพราะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ผมอ่านแล้วก็คิดว่ามันใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยเหมือนกัน

เราคงคุ้นเคยกันว่า เวลาเจอ “สถานการณ์อันตราย” เรามักจะมีวิธีตอบสนองแบบ fight or flight – ไม่สู้ก็หนี เช่นเวลาที่แฟนโกรธเรามากๆ ถ้าเราไม่ทะเลาะด้วยก็ใช้วิธีเดินหนี

หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อสามคือ freeze คือหยุดนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชวนให้นึกภาพกวางที่ยืนแน่นิ่งกลางไฮเวย์ยามค่ำคืน สายตาจับจ้องรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

fight, flight or freeze นี่คือสามวิธีที่เราใช้เมื่อพบกับความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในอันตราย

หนังสือ Are You Mad at Me สอนให้รู้จักกับวิธีการที่สี่ที่คือ fawn – อ่านว่า “ฟอว์น”

เป็นคำสั้นๆ พยางค์เดียว จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลยในชีวิต

Fawn แปลว่า give a servile display of exaggerated flattery or affection, typically in order to gain favor or advantage

ถ้าให้แปลเป็นไทยจะฟังดูแรงไปหน่อย คือ ประจบสอพลอ

แต่ความหมายของ fawn ในบริบทของ fight/flight/freeze/fawn หมายถึงการที่เราไม่กล้าขัดใจคนอื่น เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เราไม่ปลอดภัย จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทำร้าย ก็เลยใช้วิธี “เอาอกเอาใจ” แทน

เมื่อเราคุ้นชินกับการทำอย่างนั้น โตขึ้นมาเราก็เลยกลายเป็น “people pleasers” ที่อยากทำให้คนอื่นสบายใจไปเสียหมด ส่วนเรารู้สึกอย่างไรก็เก็บกดมันเอาไว้ข้างใน

จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ Are You Mad at Me? เพราะคนที่เป็น people pleasers จะกังวลอยู่ตลอดว่าเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า

Meg Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ก่อนที่เราจะเป็น people pleasers ได้นั้น เราเป็น parent pleasers กันมาก่อน

นั่นคือเราต้องเคยเอาอกเอาใจพ่อแม่จนติดเป็นนิสัย

การเอาอกเอาใจหรือ fawning ไม่ใช่เรื่องผิด มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดปลอภัยในวัยเด็กมาได้

มาลองดูกันว่าชีวิตวัยเด็กที่ต่างกันไปทำให้เราโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหนได้บ้างครับ

The Peacekeeper – ผู้รักษาความสงบ

เราอาจโตมาในครอบครัวที่คนในบ้านทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีคนใดคนหนึ่งโมโหร้าย ปิดประตูโครมคราม เดินกระทืบเท้า อารมณ์แปรปรวน บางทีก็โกรธหรือไม่ยอมคุยกับเราโดยที่เราไม่รู้เหตุผล

เด็กที่อยู่ในบ้านหลังนี้มักจะโดนแม่บังคับให้ไปขอโทษพ่อ หรือพ่อสั่งให้ไปขอโทษแม่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร พอจะเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ และบอกกับเด็กว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

เมื่อโตขึ้นมา เราจึงกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ และถ้ารู้สึกว่าทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ก็จะโทษตัวเองเอาไว้ก่อนและขอโทษขอโพยคนอื่นมากเกินพอดี (overapologize)

The Peacekeeper มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจลึกๆ นั้นดีกว่าแสดงมันออกมาและทำให้คนอื่นไม่พอใจ
  • เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะจับได้ว่าเราเป็นคนไม่ดี
  • ถ้ามีใครอารมณ์เสีย แสดงว่านั่นเป็นความผิดของเรา

The Performer – นักแสดง

บ้านหลังนี้ไม่ได้เสียงดังเหมือนบ้านหลังแรก แต่เต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศ “มาคุ” อยู่ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกของผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยถูกเอาขึ้นมาคุยกันอย่างเปิดอก

ความไม่ชอบใจไม่พอใจนั้นถูกเก็บเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พ่อมักจะค่อนแคะแม่ให้ลูกฟัง และแม่ก็บ่นถึงพ่อให้ลูกฟังเช่นกัน

เมื่อลูกจับความตึงเครียดในครอบครัวได้ สิ่งที่ลูกพอจะทำได้คือการยิงมุกหรือทำตัวตลกโปกฮาเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะโตขึ้นมาเป็นตัวเฮฮาประจำกลุ่ม และมองโลกในแง่บวกเยอะกว่าคนปกติ เด็กจะมองว่าการทำให้คนรอบตัวมีความสุขเป็นหน้าที่ของเขา และเด็กคนนี้จะรู้สึกว่าไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเพราะต้อง “แสดง” (perform) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยเอามากๆ

The Performer มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นเป็นหน้าที่ของเรา
  • เราควรเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อให้เขาชอบเรา
  • เรารู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา และต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ไว้เสมอ

The Caretaker – ผู้ดูแล

เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านที่มักจะมีพี่หรือน้องไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีพัฒนาการช้า เวลาและพลังงานของพ่อกับแม่จึงเทไปอยู่ที่คนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้ “เด็กปกติ” อย่างเราไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่นัก ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราก็รักพี่รักน้องของเราเหมือนกัน

เด็กคนนี้จึงทำตัวเป็นคน low maintenance ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร แถมยังพยายามช่วยเหลือทุกคนจนมักได้รับคำชมว่า “ความคิดความอ่านโตเกินวัย”

เด็กที่โตมาในครอบครัวแบบนี้ จะรู้สึกว่าเขาจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น เด็กจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาตัวน้อยของพ่อแม่ รับฟังความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเคืองที่พ่อแม่มีต่อกันและกัน

เด็กคนนี้จะไม่เล่าปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่อยากไปเพิ่มความเครียดให้พ่อหรือแม่อีก การที่เขาช่วยแบ่งเบาภาระของคนในบ้าน เพราะลึกๆ แล้วก็แอบหวังว่าถ้าพ่อแม่มีเวลามากขึ้นอีกนิด พ่อแม่อาจจะพอมีเวลามาคิดถึงเขาบ้าง

เมื่อโตขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเลย (hyperindependent) ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่เคยมีใครมาถามว่าเขาเป็นอย่างไร ชีวิตโอเครึเปล่า เพราะทุกคนคิดไปเองว่าเขาคนนี้จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด

คนที่เป็น Caretaker เวลาคบกับใคร จิตใต้สำนึกมักจะผลักให้เขาเลือกคบกับแฟนที่ต้องการการดูแล เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่เขาคุ้นเคย

The Caretaker มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ถ้าเราแคร์คนอื่นมากพอ สุดท้ายพวกเขาจะแคร์เราบ้างเหมือนกัน
  • ความต้องการของคนอื่นนั้นสำคัญกว่าความต้องการของเรา
  • เรามีคุณค่าต่อเมื่อเราทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น

The Lone Wolf – หมาป่าเดียวดาย

ถ้าชีวิตในวัยเด็ก เรารู้สึกว่าถูกละเลย (emotional neglect) ไม่มีใครมาสนใจเรา เราก็จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นหมาป่าเดียวดาย

เวลาเราไปเข้าค่ายหลายๆ คืน บ้านอื่นอาจจะเตรียมขนมและข้าวของเครื่องใช้แบบจัดเต็ม ในขณะที่กระเป๋าของเราแทบไม่มีอะไรเลย แถมระหว่างตอนอยู่ค่ายก็ไม่มีคนที่บ้านทักมาหาเหมือนเพื่อนคนอื่น

เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ และเราเข้ามาเก็บตัวร้องไห้ในห้องคนเดียว เราแอบหวังว่าพ่อหรือแม่จะมาเคาะประตูห้องและเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นหรือยัง เมื่อกี้แม่ขอโทษที่ตวาดลูกไป แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมาเคาะประตูห้องเราเลย

เราไม่กล้าบอกพ่อแม่เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เพราะถ้าพ่อแม่เชื่อแบบนั้นจริงๆ เรากลัวว่าพ่อแม่จะเลิกใส่ใจเราไปอย่างสิ้นเชิง

เด็กที่โตมาในบ้านหลังนี้ จะกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน (hyperindepedent) เวลาเล่นกีฬาก็มักจะเล่นกีฬาเดี่ยว ไม่อยากเล่นเป็นทีมเพราะกลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง และพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด คือห้องนอนของตัวเอง

The Lone Wolf มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ความรักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
  • ไม่ควรสนิทกับใครเพราะไม่อยากจะผิดใจกัน
  • การปล่อยให้ใครรู้จักเรามากเกินไปเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย

The Perfectionist – เพอร์เฟกชั่นนิสต์

บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะมีพ่อหรือแม่ (หรือทั้งคู่) ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และควบคุมชีวิตลูก มักจะบอก (หรือบังคับ) ลูกว่าควรเรียนอะไร เรียนที่ไหน การที่เด็กจะหนีให้พ้นข้อติติงได้ ก็ด้วยการทำตัวให้ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาด

เวลาที่ลูกท้อแท้หรืองอแง พ่อแม่จะบอกว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ (not productive) และพอพ่อแม่เห็นว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่ควรค่าแก่การนั่งคุยกัน ลูกก็จะมองว่าตัวเองผิดที่มีความรู้สึกแบบนี้

เด็กจึงโตมาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นว่าสอบได้ A ทุกวิชายกเว้นวิชาเดียวที่ได้ B จะเป็นคนไม่กล้าบอกใครเวลาทำอะไรผิดพลาดเพราะกลัวจะโดนเพื่อนๆ วิจารณ์เหมือนที่เคยโดนพ่อแม่ตำหนิ

เพอร์เฟกชั่นนิสต์จะแสดงออกว่าเขา productive ตลอดเวลา ถ้าในวัยเด็กกำลังนอนดูทีวีอยู่และได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาก็จะโยนรีโมตทิ้งแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นนั่งอ่านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจะเป็นคนที่กดดันตัวเองและรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะไม่อาจเป็นคนสมบูรณ์แบบเหมือนภาพที่วาดเอาไว้

The Perfectionist มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เราต้องเพอร์เฟ็กต์เราถึงจะได้รับความรัก
  • สิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้นไม่เคยดีพอ
  • ลึกๆ แล้วเรามีอะไรที่ผิดปกติไปจากคนอื่น

The Chameleon – กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

ใครที่ในวัยเด็กที่รังแกหรือถูกล้อบ่อยๆ มักมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นกิ้งก่าที่ปรับสีสันไปตามสภาพ

เราอาจถูกล้อเรื่องการแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ รูปร่างหน้าตา เวลายกมือตอบคำถามในห้องเรียนก็ถูกเพื่อนๆ หัวเราะคิกคัก โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบมาหาเรื่องเราบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ดูเท่ ดูอินเทรนด์ ดูมีพาวเวอร์ และชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสํู้อย่างเรา เพราะเราอาจเพิ่งย้ายโรงเรียนมา หรือมีฐานะครอบครัวยากจน

พอเราโดนรังแกมากๆ จนร้องไห้ไปบอกที่บ้าน พ่อหรือแม่กลับบอกว่าอย่าไปใส่ใจ จงทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น

แต่การล้อเลียนก็ยังคงดำเนินต่อไป เราเลยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการเลียนแบบคนที่ชอบรังแกเรา ถ้าเด็กกลุ่มนี้ดูรายการทีวีเรื่องอะไรเราก็ดูตาม จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง เด็กกลุ่มนี้แต่งตัวแบบไหนเราก็แต่งตาม เขาจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าเราแต่งตัวเชย

การเลียนแบบคนที่ชอบรังแกคือแนวทางในการปกป้องตัวเอง แต่สิ่งที่ตามมาคือเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วเราเป็นใครกันแน่ เราชอบอะไรกันแน่ เราไม่มีความเห็นเป็นของตัวเองเลยเพราะเคยชินกับการทำตามคนอื่นมาตลอด

The Chameleon มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
  • เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
  • เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร

และนี่คือคน 6 ประเภทที่เราอาจเป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน

บ้านที่มีปากเสียง จะทำให้เราเป็น ผู้รักษาความสงบ
บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก)
บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล
บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย
บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

คิดว่าหลายท่านคงจะพอเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และเหตุใดเราถึงกลายเป็น people pleasers และต้องใช้วิธีการ fawning เอาอกเอาใจคนอื่นและไม่ค่อยยอมบอกความต้องการของตัวเอง เพราะมันจำเป็นต่อการเอาตัวรอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

แล้วถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว เราจะเยียวยารักษาตัวเราได้อย่างไร?

ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ จึงไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปหาหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson มาลองอ่านดู

ก่อนจากกัน ขอฝากประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก และอยากให้ลองพูดกับตัวเอง:

“Thank you, past self, for protecting me for so long. I am safe now.”

ขอบคุณนะ ตัวเราในอดีต ที่ปกป้องเรามาตลอด ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วนะ

เหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

วลีหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีคือ “Thank God It’s Friday!” เพราะใกล้ถึงเวลาสุดสัปดาห์ที่จะได้พักผ่อนและออกไปสนุกกันแล้ว

ส่วนอีกคำหนึ่งที่เราอาจคุ้นน้อยกว่าคือ Monday Blues ซึ่งหมายถึงความรู้สึกในเช้าวันจันทร์ที่ไม่อยากกลับไปทำงาน

คำอธิบายง่ายๆ ก็คือการทำงานมันหนัก มันเหนื่อย ต้องเจอคนมากมาย เราเลยไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง

แต่ผมเพิ่งพบอีกคำอธิบายหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจ แม้อาจไม่ได้อธิบายทุกแง่มุมของปรากฏการณ์นี้ แต่ก็น่าสนใจและควรค่าแก่การบอกต่อ

แต่ก่อนอื่น เราต้องไปทำความรู้จักกับโดพามีนกันก่อนครับ


โดพามีน (dopamine) เป็นฮอร์โมนสำคัญในร่างกายที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงผลักดันให้เราออกไปไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

ย้อนกลับไปเมื่อแสนปีที่แล้ว สมัยที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มทำกสิกรรม จึงยังหาอาหารด้วยการออกล่าสัตว์ซึ่งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

ในช่วงที่เราไล่ตามสัตว์ที่เป็นเหยื่อ สมองของเราจะค่อยๆ หลั่งโดพามีนออกมาเพื่อให้เรามีแรงใจที่จะติดตามเหยื่อต่อไป และเมื่อล่าได้สำเร็จโดพามีนก็จะหลั่งเพิ่มอีกเช่นกัน

โดพามีนจึงเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้มนุษย์ลงมือทำสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอด

เคยมีงานวิจัยที่นักทดลองปรับสมองของหนูทดลองไม่ให้หลั่งโดพามีน ถ้าเอาอาหารไปป้อนให้หนูทดลองถึงปากหนูจะกินอาหารนั้น แต่ถ้าเอาอาหารวางห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว หนูทดลองไม่แม้แต่จะลุกเดินไปกินอาหาร และสุดท้ายมันก็จะอดตาย


อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือในสมองของเรานั้น ส่วนที่รับรู้ความเจ็บปวดและความความสุข (Pain/Pleasure) จะวางอยู่ติดกันในส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus)

Pain กับ Pleasure จึงเป็นเหมือนไม้กระดกที่อยู่คนละฝั่ง เป็นเหมือนตาชั่งที่มีสองแขนถ่วงสมดุลกันอยู่ ถ้าร่างกายเจอ pain มาเยอะ สมองจะพยายามพามันกลับสู่จุดสมดุลด้วยการกดไม้กระดกฝั่ง pleasure

มองย้อนกลับไปสมัยที่เรายังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการล่าสัตว์ เป็นงานที่ยากลำบากและเสี่ยงภัยอันตราย พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นงานที่ pain มาก

เมื่อล่าสัตว์สำเร็จ (หรือแม้กระทั่งไม่สำเร็จ) สมองจะกระตุ้นความสุข (pleasure) เพื่อชดเชยความเจ็บปวด (pain) ที่เผชิญมาก่อนหน้านี้ พอเรามีความรู้สึกดีเกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นเราจึงยังมีแรงจูงใจที่จะออกไปล่าสัตว์อีกครั้ง เพราะแม้ว่าช่วงแรกมันจะเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนท้ายจะรู้สึกดีขึ้นเสมอ แม้ว่าวันนั้นจะกลับบ้านมือเปล่าก็ตาม กลไกทางสมองเช่นนี้เองที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รอดชีวิตมาได้เรื่อยๆ

ตลอดแสนปีที่ผ่านมา โดพามีนจะหลั่งต่อเมื่อเราออกไปทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรงจนกว่าจะได้ “รางวัล” มา

แต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เราสามารถเข้าถึง “รางวัล” ได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งอบายมุขอย่างสิ่งเสพติดและการพนัน

เรารู้ดีว่าคนที่เสพติดอะไรบางอย่างนั้นมีความทุกข์มหาศาล เพราะแม้ตอนเสพจะมีความสุขมาก แต่อย่างที่บอกว่า pain กับ pleasure เป็นเหมือนไม้กระดกหรือตาชั่งที่ต้องคอยบาลานซ์กันและกัน พอหยุดเสพหรือไม่ได้เสพ ไม้กระดกฝั่ง pain ก็จะออกฤทธิ์ ซึ่งทำให้คนที่เสพยาหรือติดการพนันนั้นรู้สึกทุรนทุราย และหลายคนที่เลิกยาหรือเลิกการพนันไม่ได้ ก็เพราะว่า “ตาชั่งพัง” ต้องเสพยามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ pleasure เท่าเดิม หรือเสพเพียงเพื่อจะหยุดยั้ง pain ที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ก็ได้รู้จักกับสิ่งเสพติดชนิดใหม่ นั่นคือโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นอีเมลฉบับใหม่ ข้อความ คอมเมนต์ รวมถึงยอดไลค์ ยอดแชร์ พอเราได้ notifications ว่ามีความเคลื่อนไหวในสิ่งที่เราโพสต์เอาไว้ สมองของเราก็จะหลั่งโดพามีน และโดพามีนนั้นเป็นฮอร์โมนที่เรารู้สึกว่าไม่เคยมีพอ เมื่อได้มาแล้วก็อยากได้อีก โทรศัพท์มือถือจึงเป็นสิ่งเสพติดที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยกว่าทุกสิ่งเสพติดที่เคยมีมา


เราแต่ละคนจะมีระดับโดพามีนขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า Baseline Dopamine Level

และเมื่อเราทำอะไรที่จะนำไปสู่ “รางวัล” ระดับโดพามีนก็จะไต่ระดับสูงขึ้น ก่อนจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับปกติอีกครั้ง

เวลาทำอะไรที่ต้องลงมือลงแรง โดพามีนจะหลั่งอย่างช้าๆ เราเรียกว่า Slow Dopamine

เช่นการอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย การเขียนบทความ ช่วงเริ่มต้นเราอาจไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก แต่โดพามีนก็จะค่อยๆ หลั่งออกมา และเมื่อเราใช้เวลากับมันสัก 10-15 นาที โดพามีนจะสูงพอที่จะทำให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้นโดยธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเครื่องที่จุดติดแล้ว และนำพาให้เราทำสิ่งนั้นต่อไปได้เรื่อยๆ จนครบเวลาหรือจนงานนั้นสำเร็จ แล้วโดพามีนจึงจะค่อยๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติ

แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า Quick Dopamine ด้วย นั่นคือการได้รางวัลมาแบบทันทีทันใดโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม เช่นดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพสื่อสำหรับผู้ใหญ่ รวมถึงการเล่นโซเชียล

กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ระดับโดพามีนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสิ้นสุดลง ระดับโดพามีนจะลดลงอย่างฉับพลันและลงไปต่ำกว่าค่าปกติเสียอีก เราเรียกสิ่งนี้ว่า Dopamine Crash

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเมื่อเราเล่นมือถือนานๆ เราจึงรู้สึกว่า “พลังงานไม่ดี” เอาเสียเลย เพราะว่าการเสพของเรานำไปสู่ Dopamine Crash จนโดพามีนต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นนั่นเอง


ขอพาผู้อ่านกลับสู่หัวข้อประจำวันนี้ นั่นคือเหตุผล(ใหม่)ที่เรารักวันศุกร์และไม่ชอบวันจันทร์

เรารักวันศุกร์ไม่ใช่เพียงเพราะสุดสัปดาห์ใกล้เข้ามา แต่เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเผชิญกับงานที่ท้าทาย กระตุ้นการหลั่ง Slow Dopamine อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แรงจูงใจยังอยู่ในระดับสูง เมื่อถึงวันศุกร์จึงเกิดความรู้สึกโล่งใจและตื่นเต้นจนต้องอุทาน Thank God It’s Friday!

และเหตุผลที่เราเกลียดวันจันทร์ ก็อาจไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ชอบงานที่ทำอยู่ แต่เป็นเพราะว่าวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เราอาจทำกิจกรรมที่สร้าง Quick Dopamine เยอะเกินไปจนนำไปสู่ Dopamine Crash ที่ทำให้เรามี Monday Blues นั่นเอง

อย่างที่บอกไปว่าเหตุผลเหล่านี้คงไม่ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน บางคนก็ไม่อยากไปทำงานเพราะว่าไม่ชอบงานนั้นหรือไม่อยากเจอคนที่ทำงานจริงๆ

แต่สำหรับใครที่มีงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่โอเค แล้วยังพบว่าตัวเองมีอาการขยาดวันจันทร์เป็นครั้งคราว ก็ขอให้ลองสังเกตตัวเองดูว่ามันเกิดจากการที่เราใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์ที่เอื้อต่อการเกิด Dopamine Crash หรือไม่

หากเราอยากรู้สึกดีกับวันจันทร์หรือแม้กระทั่งกับทุกวันให้มากกว่าเดิม ก็ขอให้ระลึกไว้เนืองๆ ว่าการทำสิ่งที่ยากและมีความหมายนั้นมีรางวัลเป็นของตัวเอง และการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสำราญนั้นก็มีบทลงโทษในตัวมันเองด้วยเช่นกัน

ขอให้ใช้ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์นี้ในการทำให้เราเป็นคนที่รักวันจันทร์มากขึ้นนะครับ


ขอบคุณความรู้เรื่องโดพามีนจากหนังสือ The Dose Effect by TJ Power และพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO with Dr.Anna Lembke (author of Dopamine Nation)

การตัดสินใจ 3 ระดับ: หมวก ทรงผม และรอยสัก

James Clear บอกไว้ว่า คนเรามีการตัดสินใจได้ 3 ระดับ

ระดับแรกคือการตัดสินใจระดับหมวก

ถ้าลองหมวกใบนี้แล้วไม่ชอบ ก็หยิบหมวกใบอื่นขึ้นมาใส่ได้ ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ดังนั้นจงตัดสินใจโดยไม่ต้องคิดนานเกินไป

ระดับที่สองคือการตัดสินใจระดับทรงผม

ถ้าเราตัดผมทรงนี้ไปแล้วเราไม่ชอบ ก็จะลำบากหน่อย เพราะอาจจะเปลี่ยนทรงผมได้ไม่มากนัก หรือกว่าจะได้ตัดทรงใหม่ก็ต้องรอเวลาให้ผมยาวกว่านี้

ระดับที่สามคือการตัดสินใจระดับรอยสัก

การตัดสินใจแบบนี้แทบจะย้อนกลับไปแก้อะไรไม่ได้ สักแล้วสักเลย หรือต่อให้พยายามลบก็จะเหลือร่องรอยอยู่ดี ดังนั้นต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน

เมื่อเจอเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ลองจำแนกแยกแยะให้ดีว่ามันคือการตัดสินใจระดับ หมวก ทรงผม หรือรอยสักนะครับ


ขอบคุณที่มาจาก 3-2-1: On hats, haircuts, and tattoos

เราเป็น Introvert หรือ Extrovert ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กับใคร

เคยมีใครบางคนให้สัมภาษณ์ไว้ในพ็อดแคสต์ว่า คนฝั่งตะวันออก (คนเอเชีย) มักจะไม่ใส่ใจเรื่องการ “จัดกลุ่ม” เท่าคนฝั่งตะวันตก (คนยุโรปและอเมริกา)

เขายกตัวอย่างว่า การบอกว่าใครคนหนึ่งเป็น introvert หรือ extrovert นั้น เป็นการจัดกลุ่มที่ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่นัก

เพราะเราจะเป็น introvert หรือ extrovert มันขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กับใครและอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

หลังจากฟังคำสัมภาษณ์นั้นเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว พอผมลองสังเกตดูก็เห็นว่าเป็นจริง

ดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างพ่อกับแม่ผมเอง เวลาอยู่ข้างนอกพ่อจะพูดเก่งและทักทายคนไปทั่ว ขณะที่แม่แทบไม่แสดงตัวและไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครมากนัก

แต่เวลาพ่อกับแม่อยู่กับคนในครอบครัว บทบาทจะสลับกัน แม่จะเป็นคนที่มีเรื่องคุยเรื่องเล่ามากที่สุด ส่วนพ่อแทบจะเป็นคนที่เงียบที่สุดในบ้าน

บางคนที่ทำงานพูดเยอะ อาจจะด้วยบทบาทและหน้าที่ ขณะที่พออยู่ในกลุ่มเพื่อนก็กลายเป็นคนพูดน้อย เพราะเพื่อนสมัยเรียนนั้นมักจะมีคนที่พูดเยอะประจำกลุ่มอยู่แล้ว

บางคนเวลาอยู่กับคนอื่นอาจจะพูดน้อยมาก แต่พออยู่กับแฟนหรือคนรู้ใจก็อาจจะพูดได้ไม่หยุด

ลองมองที่ตัวเองก็ได้ครับว่า สถานการณ์แบบไหนที่เราเป็น introvert และสถานการณ์แบบไหนที่เราเป็น extrovert

แล้วเราอาจพบว่าจริงๆ แล้วเราเป็น ambivert คือปรับตัวได้กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่กับใครและอยู่ในบทบาทใดครับ


ป.ล. ผมเข้าใจดีว่าคำจำกัดความของ introvert / extrovert นั้นอาจกินความหมายกว้างไกลกว่าแค่พูดเยอะหรือพูดน้อย แต่อยู่ที่ว่าเราได้พลังงานจากการอยู่กับคนอื่นหรืออยู่คนเดียว แต่ผมก็เชื่อว่า สุดท้ายแล้ว introvert ก็อยากครึกครื้นบ้าง และ extrovert ก็มีโมเมนต์ที่อยากอยู่คนเดียวเช่นกัน