เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2015 ผมเขียนบทความชื่อ “ทำก่อน เชื่อทีหลัง” ที่เล่าให้ฟังว่าผมเขียนบล็อกครบ 100 ตอนได้อย่างไร พร้อมกับประกาศในบรรทัดสุดท้ายว่า Anontawong’s Musings จะมีบทความใหม่ไปทุกวัน
และผมก็ตั้งใจเขียนบทความทุกวันจริงๆ แม้กระทั่งช่วงปลายปี 2015 ที่มีลูกสาวคนแรก ได้นอนวันละ 4 ชั่วโมง ก็ยังเขียนบทความทุกวันอยู่แม้จะต้องเขียนตอนตี 3 ก็ตาม
เพราะผมเคยได้ยินเทคนิค Don’t Break The Chain ของ Jerry Seinfeld
Jerry Seinfeld เป็น standup comedian และนักแสดงนำใน Seinfeld ซึ่งเป็นซีรี่ส์ซิทคอมที่โด่งมากในยุค 90’s
สมัยที่ยังไม่โด่งดัง เจอรี่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะคิดมุกทุกวัน วันละ 1 มุก
เจอรี่จะมีปฏิทินติดผนัง ทุกครั้งที่เขาเขียนมุกเสร็จ เขาจะกาปฏิทินเอาไว้ พอนานวันเข้าเครื่องหมายกากบาทติดๆ กันก็ทอดยาวราวกับห่วงโซ่ที่บ่งบอกว่าเขาเขียนมุกวันละ 1 ตอนมานานแค่ไหน
แล้วเขาก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมน้องที่เป็นนักแสดงตลกด้วยกันว่า
“Don’t break the chain!” – อย่าให้โซ่ขาด!
ผมก็เลยอยากจะเขียนบล็อก Anontawong’s Musings แบบไม่ให้โซ่ขาดบ้าง
ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีปีไหนที่ผมเขียนได้ครบ 365 ตอน มีหลุด มีคิดไม่ออก มีไม่สบาย ซึ่งก็รู้สึกเสียดายและรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
การแบกความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่สามารถเขียนบล็อกได้ทุกวันเริ่มคลี่คลายเมื่อผมได้อ่านบทความชื่อ Why you should aim to do new habits ‘dailyish’ ของ Oliver Burkeman ผู้เขียน Four Thousand Weeks
เขาเคยสัมภาษณ์ Jerry Seinfeld เรื่องเทคนิคดูแลโซ่ไม่ให้ขาดที่กลายเป็นตำนานในแวดวง productivity แล้วโอลิเวอร์ก็ได้พบว่าเจอรี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิคนี้อย่างที่เราคิด
นี่คือคำพูดของเจอรี่:
“มันเป็นเรื่องเบสิกมากจนผมไม่อยากจะพูดถึงมันด้วยซ้ำ ถ้าคุณเป็นนักวิ่งและอยากจะวิ่งให้ดีขึ้น คุณก็แค่บอกตัวเองว่าคุณจะวิ่งทุกวันแล้วก็เขียน X ลงในปฏิทินทุกวันที่คุณวิ่ง ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นไอเดียที่ลึกซึ้งตรงไหนเลย จะมีใครคิดจริงๆ เหรอว่าถ้านั่งเฉยๆ แล้วจะเก่งขึ้น?”
ในโลกของชาว productive เทคนิคของเจอรี่มีนัยว่า “ให้ทำสิ่งที่มีคุณค่ากับเราทุกวันโดยห้ามพลาดโดยเด็ดขาด”
แต่สำหรับตัวเจอรี่เอง เขาแค่ต้องการจะสื่อว่าเราต้องลงทุนลงแรงติดต่อกันเป็นเวลายาวนานเท่านั้นเอง
ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะทำอะไรให้ได้ทุกวันนั้นเป็นการตั้งมาตรฐานที่ขาดความยืดหยุ่น เต็มที่ก็ได้แค่เสมอตัว โอกาสพลาดพลั้งก็สูง แถมการทำอะไรให้ได้ perfect score นั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นธรรมชาติของหุ่นยนต์
ชีวิตมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอ และสำหรับคนไม่น้อยที่ตั้งเป้าแบบนี้ เมื่อพลาดไปหนึ่งหรือสองครั้ง เขาก็อาจสูญเสียกำลังใจจนล้มเลิกไปเลยก็ได้
แนวคิดที่โอลิเวอร์คิดว่าเมคเซนส์มากกว่ามาจาก Sam Harris เจ้าของแอป Waking Up สำหรับคนที่อยากฝึกนั่งสมาธิ
เขาใช้คำว่า ‘Dailyish’
เวลาเติม ‘ish’ ลงไปท้ายคำไหน จะหมายความว่า “โดยประมาณ”
Dailyish ก็คือการทำทุกวันโดยประมาณ หรือทำเกือบทุกวันนั่นเอง
ความดีงามของการทำอะไร ‘เกือบ’ ทุกวัน คือมันบอกให้เรายังจริงจังกับเรื่องที่เราให้ความสำคัญโดยที่ยังเปิดพื้นที่ให้เรื่องไม่คาดฝันในชีวิต
ถ้าสัปดาห์หนึ่งทำสัก 2 วันก็คงอาจไม่เรียกได้ว่า dailyish แต่ถ้าทำสัปดาห์ละ 5 วัน อันนั้นก็น่าจะพอเรียกได้ว่า dailyish ส่วนถ้าสัปดาห์ไหนจะทำได้ครบทั้ง 7 วันเลยก็เรียกว่า dailyish ได้เหมือนกัน
จริงๆ ผมควรจะเขียนบทความนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ผมไปข้างนอกมาและคุยกับคนค่อนข้างเยอะ กลับถึงบ้านก็หมดแรง เลยเลือกที่จะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วตื่นมาเขียนเช้าวันนี้แทน
การประกาศว่าจะเขียนบล็อกทุกวันของผมเมื่อ 8 ปีที่แล้วอาจดูเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้นเป้าหมายนี้ก็ดูเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน เพราะผมอาจจะยอมเขียนบทความที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพื่อจะให้ได้รับความยอมรับว่าเป็นคนเขียนบล็อกทุกวันก็ได้
ผมจึงขอถอนคำพูดเดิมที่ว่าจะเขียนบล็อก Anontawong’s Musings ทุกวัน และตั้งปณิธานใหม่เป็นการเขียนบล็อก ‘เกือบทุกวัน’ แทน จะได้ไม่เบียดเบียนตัวเองจนเกินไป และหวังว่าจะรักษามาตรฐานเนื้อหาที่ดีเอาไว้ ส่วนผู้ติดตามอาจจะได้อ่านบทความบ้างในบางวัน และได้พักบ้างในบางวันให้พอคิดถึง
แต่โดยรวมแล้วผมคิดว่ามันจะทำให้บล็อกนี้แข็งแรงขึ้นและยืนระยะได้ดีกว่าเดิมครับ
Like this:
Like Loading...