
ปีนี้ “ปรายฝน” ลูกสาวของผมอายุ 10 ขวบ ส่วน “ใกล้รุ่ง” ลูกชายอายุ 8 ขวบ
กิจวัตรประจำวันของทั้งคู่ คือคุณย่าจะไปรับที่โรงเรียน กลับถึงบ้านสามโมงครึ่ง เปิดทีวีดูแล้วกินขนม+ผลไม้ให้รางวัลตนเองหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาทั้งวัน
ในวัยนี้โรงเรียนยังให้การบ้านไม่เยอะมาก แต่ทั้งคู่จะมีการบ้านเลขให้ทำทุกวัน
ถ้าวันไหนผมทำงานที่บ้าน ประมาณห้าโมงเย็นผมก็จะเตือนทั้งคู่ว่าทำการบ้านได้แล้วนะ
แต่วันไหนที่ผมกลับบ้านค่ำ ทุ่มกว่าแล้วก็ยังดูทีวี ไม่ได้ทำการบ้าน ผมก็ต้องเตือนให้เอาขึ้นมาทำ ซึ่งกว่าจะได้เริ่มทำก็เกือบสองทุ่ม พอต้องมานั่งทำการบ้านเวลานี้ เด็กๆ มักจะงอแง (โดยเฉพาะใกล้รุ่ง) เพราะคิดเลขได้ช้ากว่าเดิม ทำผิดบ่อยขึ้น ต้องแก้บ่อย ก็เลยยิ่งหงุดหงิด
ผมก็เลยสอนใกล้รุ่งว่า เราควรจะทำการบ้านตั้งแต่หัววันแล้ว มารอทำตอนมืดแล้วเหนื่อยกว่าเดิมตั้งเยอะ การบ้านชิ้นเดียวกัน ทำตอนเย็นใช้เวลาแค่ 15 นาที ทำตอนค่ำอาจจะกลายเป็น 30 นาที แด๊ดดี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใกล้รุ่ง (และปรายฝน) จะทำให้ชีวิตตัวเองยากขึ้นทำไม
พอพูดประโยคนี้จบ ก็พลันตระหนักได้ว่าที่พูดไปก็เข้าตัวเองเหมือนกัน
เพราะผมเองก็เริ่มทำอะไรหลายอย่างช้าเกินไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าทำตั้งแต่ “หัววัน” มันจะง่ายกว่านี้
เช่นอ่านโปรไฟล์ของผู้สมัครก่อนเข้าสัมภาษณ์สัก 15 นาที แทนที่จะไปอ่านตอนที่เข้าห้องสัมภาษณ์แล้ว
เตรียมซ้อมพูดตั้งแต่เนิ่นๆ หลายๆ รอบ ก่อนขึ้นเวทีจริง
ออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนที่รถจะเริ่มติด หรือเข้านอนในเวลาที่จะเอื้อให้เรานอนได้เต็มอิ่มแม้จะต้องตื่นเช้าเพื่อเลี่ยงรถติด
ถ้ามองในกรอบเวลาที่ยาวกว่านั้น ก็มีอีกหลายสิ่งที่เราทำได้ตั้งแต่ “หัววัน”
ทั้งการลงทุนเพื่อสร้างทรัพย์สิน การดูแลสุขภาพ การใช้เวลากับคนในครอบครัว การกลับมาศึกษาเรื่องจิตใจตนเอง
ในวัยหนุ่มสาว จิตใต้สำนึกจะบอกว่าเรายังมีเวลาเหลืออีกมากมาย ไม่ต่างอะไรกับปรายฝนและใกล้รุ่งที่ยังใจเย็นดูทีวีเพราะคิดว่ายังมีเวลาเหลือเฟือในการทำการบ้าน
แต่พอเรามารู้ตัวตอน “หัวค่ำ” อายุ 40 หรือ 50 แล้ว การสร้างทรัพย์สินให้มีผลตอบแทนทบต้นก็ไม่ง่ายอีกต่อไป การดูแลสุขภาพก็อาจมีอุปสรรคเพราะมีอาการป่วยหรือบาดเจ็บเรื้อรังเพราะเราละเลยมานาน การใช้เวลากับคนในครอบครัวก็มีข้อจำกัดเพราะพ่อแม่เริ่มแก่เฒ่า ส่วนการศึกษาจิตใจตนเองบางคนในวัยนี้อาจยังไม่เห็นความสำคัญด้วยซ้ำไป
ยิ่งถ้าเลยช่วงหัวค่ำและเข้าสู่ช่วง “กลางดึก” จากแค่รู้ตัวก็อาจจะกลายเป็นร้อนรน เพราะเรื่องที่กล่าวมายิ่งยากเย็นหรือบางเรื่องก็เป็นไปไม่ได้เพราะหมดเวลาของมันแล้ว
ดังนั้น อะไรที่เรารู้ว่าสำคัญและเป็นหน้าที่ ก็อย่ามัวแต่ “ดูทีวี” จนเวลาล่วงเลย
จะได้ไม่ทำให้ชีวิตตัวเองยากขึ้นโดยไม่จำเป็นครับ