เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้เข้าร่วมโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5 และได้รับการ mentoring จากพี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร
ในการเจอกันครั้งแรก สิ่งที่พี่อ้นให้ผมกับเพื่อนอีกสองคนเป็นการบ้าน คือการไปทำ CliftonStrengths (ชื่อที่คุ้นหูมากกว่าคือ StrengthsFinder) และให้เบอร์ติดต่อโค้ชที่เก่งเรื่องนี้มาช่วยอ่านผลให้เราฟัง
เพราะหนึ่งในสิ่งที่ผู้บริหารวัยกลางคนต้องเผชิญ คือการตัดสินใจว่าเราจะเป็นผู้นำแบบไหน
บางทีเราเห็นผู้นำที่เราชื่นชอบและชื่นชม เราจึงอยากเป็นอย่างเขา อยากทำอย่างเขาบ้าง ทั้งที่จริงแล้วเรากับเขาไม่เหมือนกันเลยสักนิด
บางคนเป็น introvert แต่มีภาพจำว่าผู้นำต้องพูดเก่ง พอพยายามจะเป็น extrovert บ้างก็เลยเหนื่อยและไม่เป็นตัวของตัวเอง
การทำ CliftonStrengths จะทำให้เรารู้ว่าจุดแข็งของเราคืออะไร และจุดที่เราไม่ถนัดหรือให้ความสำคัญน้อยคืออะไร
ผมทำบททดสอบเสร็จ ก็ได้คำตอบว่าจุดแข็ง 5 ข้อของผมคือ
1.Relator ผู้สร้างสัมพันธ์
2.Connectedness ผู้เห็นความเชื่อมโยง
3.Empathy ผู้มีความเข้าอกเข้าใจ
4.Learner ผู้ใฝ่รู้
5.Responsibility ผู้มีความรับผิดชอบ
ส่วน 5 ข้อที่ผมได้คะแนนต่ำสุดคือ
30.Command นักบัญชาการ
31.Competition นักแข่งขัน
32.Woo ผู้ชนะใจ
33.Restorative นักปรับปรุงแก้ไข
34.Significance ผู้เห็นความสำคัญ
ผมเอาคำแปลไทยที่มากจากบททดสอบโดยตรง แต่ขอขยายความคำว่า Woo, Significance และ Restorative เพิ่มเติม
ใครที่ Woo สูงๆ จะสามารถทำความรู้จักกับคนใหม่ได้ง่าย ส่วนคนที่ Woo ต่ำๆ คือคนที่เวลาไปปาร์ตี้แล้วชอบยืนถือแก้วคุยแค่กับคนรู้จัก หรือไม่ก็แทบไม่ได้คุยกับใครเลย เวลาจะกลับก็หนีกลับแบบเงียบๆ
Restorative หมายถึงคนที่เห็นความผิดพลาดได้เก่ง ทนไม่ได้กับเรื่องผิดเล็กๆ น้อยๆ ต้องพยายามแก้ไขให้ถูกต้องเสมอ เป็นอาการของ perfectionist อย่างหนึ่ง
Significance หมายถึงคนที่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนสำคัญ
หลักการของ CliftonStrengths ก็คือ อะไรที่เราไม่ถนัดก็ไม่ต้องไปฝืน แต่ให้ไปหาคนที่เก่งเรื่องพวกนี้มาช่วยปิดจุดอ่อน เช่นถ้าเรา Woo ไม่ค่อยมี หรือไม่ค่อยชอบการแข่งขัน เราก็ควรมีคนแบบนี้อยู่ในทีมเพื่อช่วยทำงานบางอย่างที่ต้องอาศัยทักษะหรือมายด์เซ็ตแบบนี้
เมื่อเราปิดจุดอ่อนด้วยการพึ่งพาคนอื่นแล้ว เราก็สามารถกลับมาโฟกัสกับการใช้จุดแข็งของเราได้อย่างเต็มที่
จุดแข็งบางข้อของเราก็ช่วยปิดจุดอ่อนได้ด้วย เช่นผมได้คะแนน Communication ค่อนข้างต่ำ คืออันดับที่ 24 เท่านั้น ซึ่งผมก็แปลกใจเพราะทำงานสาย Communication อยู่หลายปีแถมยังเขียนบล็อกอีกต่างหาก โค้ชที่ผมคุยด้วยอธิบายว่า Communication ในบริบทนี้คือเป็นคนที่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาได้ดังใจ วาจามีเสน่ห์ เป็นศูนย์กลางของวงสนทนาได้ ซึ่งผมก็พบว่าเวลาตัวเองอยู่ในกลุ่มคนใหญ่ๆ ก็พูดไม่ค่อยเก่งจริงๆ นั่นแหละ จะเงียบและฟังเสียมากกว่า
แล้วโค้ชก็อธิบายว่า การที่ผมสามารถทำงานสายสื่อสารได้ดี อาจเป็นเพราะผมมี Empathy อยู่อันดับที่ 3 ทำให้รู้ว่าผู้ฟังหรือผู้อ่านกำลังคิดอะไรอยู่ จึงสามารถเลือกสิ่งที่จะสื่อสารออกมาได้ตรงใจผู้รับ
ผมพบว่า CliftonStrengths เป็นหนึ่งในบททดสอบที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับคนทำงาน เพราะมันเป็น “ตัวเริ่มบทสนทนา” กับคนในทีมได้ ผมเลยให้ลูกน้องหลายคนในทีมทำ และเอาผลมาแชร์กัน
ผมเคยเชิญโค้ชด้านนี้มาสอนที่บริษัทด้วย และหนึ่งในความรู้ที่สำคัญที่สุดที่ได้จากการเข้าคลาสนั้นก็คือ “ให้ระวังจุดแข็ง 5 ข้อของเราให้ดี เพราะเรามักจะใช้มันจน ‘ช้ำ’ แล้ว และถ้าใช้บ่อยเกินไปก็จะกลายเป็นจุดอ่อน หรือ blind spots ได้”
อย่างผมที่มีความเป็น Relator เป็นข้อแรก ซึ่งหมายถึงสามารถสร้างความเชื่อใจกับคนได้ (โดยต้องใช้เวลา) ทำให้เป็นคนมีเพื่อนไม่มาก แต่เพื่อนที่มีก็จะไว้ใจและเชื่อใจกันพอสมควร
แต่มุมกลับของ Relator คือมันอาจจะทำให้เราเป็นคนที่เข้าถึงยาก หรือดูมีพวกพ้องได้เช่นกัน
อีกข้อที่เป็น Top 5 ของผมก็คือ Empathy ที่ทำให้เราเห็นใจคน รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไร ซึ่งจะว่าไปก็เหมาะกับงาน HR ที่ต้องทำอะไรกระทบกับคนเยอะๆ
แต่ถ้าเราใช้ Empathy มากเกินไป ก็อาจจะทำให้เป็นคนขี้สงสาร ตัดสินใจไม่เด็ดขาด หรือกลับไปกลับมา
จุดแข็งที่ใช้มากไปจึงอาจกลายเป็นจุดอ่อน
ในมุมกลับ จุดอ่อนก็อาจกลายเป็นจุดแข็งได้เช่นเดียวกัน
ในหนังสือ The Laws of Human Nature ของ Robert Greene (ผู้เขียนคนเดียวกับ The 48 Laws of Power) กรีนบอกว่าบางทีจุดอ่อนก็เป็นจุดแข็งที่ปลอมตัวมา – Weakness can be a strength in disguise.
ไม่มีนิสัยแบบไหนที่ ‘ดี’ หรือ ‘แย่’ ในตัวมันเอง เพราะมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยเราอาจจะเรียกมันว่า situational strengths และ situational liabilities ก็ได้
กรีนยกตัวอย่าง อัมบราฮัม ลินคอล์น ที่มักจะมีอาการซึมเศร้าอยู่บ่อยๆ เลยทำให้เขาดูหม่นหมองตลอดเวลา แต่เมื่อเป็นคนแบบนี้ ลินคอนล์นจึงเข้าใจความทุกข์ร้อนของเพื่อนมนุษย์ และมีความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้นำที่เหมาะสมในการพาสหรัฐผ่านวิกฤติ Civil War
หรือการที่ แฟรงคลิน รูสเวลต์ ป่วยเป็นโรคโปลิโอในวัย 39 ปี ต้องใช้ไม้เท้าหรือรถเข็นเกือบตลอดเวลา ก็ได้เปลี่ยนเขาจากอภิสิทธิ์ชนบนหอคอยงาช้างให้กลายเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากกว่าเดิม และมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศผ่านช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
อะไรที่เราคิดว่าเป็นจุดอ่อน จึงอาจกลายเป็นจุดแข็งได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันในสถานการณ์แบบไหน
ความเป็นคนไม่อดทน (impatience) อาจช่วยให้เรากลายเป็นคนที่รู้ว่าอะไรสำคัญและเร่งด่วน (sense of urgency)
การที่เรายอมแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น (vulnerability) อาจทำให้คนอื่นเปิดใจกับเรามากกว่าเดิม
การที่เราเป็นคนขี้อาย อาจทำให้เรากลายเป็นคนช่างสังเกต
ดังนั้น หากมีนิสัยบางอย่างที่เราหงุดหงิดและรู้สึกว่าเป็นจุดอ่อนของเรามานาน จะแก้ตอนนี้ก็เป็นไม้แก่ดัดยากเสียแล้ว บางทีเราอาจต้องปรับความรู้สึกเสียใหม่ ว่าเราจะเปลี่ยนจุดอ่อนนี้ให้กลายเป็นจุดแข็งในบางสถานการณ์ได้อย่างไร
ส่วนในสถานการณ์ที่จุดอ่อนจะกลายมาเป็น situational liability ก็ควรจะหาเพื่อนหรือลูกทีมมาจัดการสถานการณ์นั้นแทนเรา
ก่อนจะจากกันไป ขอฝากนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมเคยเล่าเอาไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้วครับ
เด็กชายอายุ 10 ขวบประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนสูญเสียแขนข้างซ้ายไป เมื่อออกจากโรงพยาบาล เขาอยากจะเข้มแข็งกว่านี้ เลยตัดสินใจเรียนยูโด
เด็กชายแขนเดียวไปฝากเนื้อฝากตัวกับเซนเซชาวญี่ปุ่นที่แก่พอจะเป็นปู่เขาได้
เด็กชายสนุกกับการเรียนยูโดมาก แต่เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว อาจารย์ก็ยังให้ฝึกท่ายูโดอยู่เพียงท่าเดียว
“เซ็นเซครับ ผมควรจะเรียนท่าอื่นๆ ด้วยรึเปล่า?”
“นี่คือท่าเดียวที่เธอทำเป็น แต่ก็เป็นท่าเดียวที่เธอจำเป็นต้องรู้” เซ็นเซตอบ
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่เด็กน้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไป
จากนั้นไม่นาน อาจารย์ก็พาเขาไปแข่งทัวร์นาเมนต์
ด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กชายเอาชนะคู่ต่อสู้ในสองรอบแรกได้อย่างง่ายดาย
แมทช์ที่สามนั้นยากกว่าเดิม แต่เมื่อถึงจังหวะที่คู่ต่อสู้หมดความอดทนและกระโจนเข้ามา เด็กชายก็ใช้ท่าเดียวที่เขามีอยู่ล้มคู่ต่อสู้เขาได้
เด็กชายเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอย่างงงๆ คู่ชิงนั้นเป็นเด็กที่ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่ามาก แต่แล้วเมื่อถึงจังหวะที่คู่ชิงประมาท เด็กชายก็เข้าประชิดตัวแล้วใช้ท่าเดิมในการเผด็จศึก
“เซ็นเซครับ เป็นไปได้ยังไงที่ท่าเพียงท่าเดียวทำให้ผมชนะเลิศได้”
“เหตุผลมีสองข้อ ข้อแรกคือเธอได้ฝึกฝนหนึ่งในท่าที่ยากที่สุดของยูโดจนเชี่ยวชาญ”
เซนเซกล่าวต่อ
“ข้อที่สองก็คือ วิธีเดียวที่คู่ต่อสู้จะป้องกันท่านี้ได้ คือการคว้าแขนซ้ายของเธอไว้”
ขอบคุณนิทานจาก Quora: Harshil Pathak’s answer to What are some good short stories?
ขอบคุณเนื้อหาส่วนหนึ่งจาก The Laws of Human Nature by Robert Greene
