เราควรเลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode

คำแนะนำหนึ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์และนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตของพวกเราทุกคน คือ เราควรเลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode มากกว่าที่จะเล่นใน Hard Mode

คำแนะนำนี้มาจาก Shane Parrish ผู้เขียนบล็อก Farnam Street และผู้เขียนหนังสือ Clear Thinking

เขาบอกว่า เรามักจะทำให้ชีวิตยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ราวกับว่าเราเลือกเล่นเกมนี้ใน Hard Mode ทั้งที่เราสามารถเลือกจะทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นได้ ด้วยการเล่นใน Easy Mode

ขอยกตัวอย่าง Hard Mode กับ Easy Mode เพื่อให้เห็นภาพนะครับ

Hard Mode: ไม่ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือคืนก่อนสอบ สอบได้คะแนนไม่ดี
Easy Mode: ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือล่วงหน้า สอบได้คะแนนดี

Hard Mode: นอนดึก ตื่นสาย ไปทำงานสาย เจ้านายดุ
Easy Mode: นอนเร็ว ตื่นเช้า ไปทำงานตรงเวลา เจ้านายรัก

Hard Mode: ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่รอบคอบ ต้องแก้งานหลายรอบ
Easy Mode: ทำงานอย่างรอบคอบและตั้งใจ ส่งงานครั้งเดียวผ่าน

Hard Mode: สูบบุหรี่ กินเหล้า เข้าโรงพยาบาลตอนแก่
Easy Mode: ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า หรือกินแค่พอประมาณ ไม่ต้องทุกข์ทรมานตอนแก่

Hard Mode: ไม่ออกกำลังกาย ปล่อยให้ตัวเองอ้วน เป็นเบาหวานและเพิ่มความเสี่ยงโรคต่าง ๆ
Easy Mode: ออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาหุ่น สุขภาพสมบูรณ์ ทำอะไรได้ด้วยตัวเองจนแก่เฒ่า

Hard Mode: ใช้เงินเกินตัว เป็นหนี้บัตรเครดิต ยืมเงินเพื่อนฝูง ไม่กล้าสู้หน้าใคร
Easy Mode: ใช้เงินสมฐานะ ไม่เป็นหนี้ที่ไม่สร้างสินทรัพย์

คิดว่าแค่นี้น่าจะพอเห็นภาพ เพราะมันเป็นภาพที่เราเห็นเป็นประจำ

และสิ่งที่ผมเขียนก็ไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไร เพราะผู้อ่านก็รู้อยู่แล้วว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

แต่เหตุผลที่เราหลายคนยังพาตัวเองไปเล่นเกมชีวิตใน Hard Mode เป็นครั้งคราว (หรือบ่อยครั้ง) ก็เพราะว่าเราตามใจกิเลสมากไปหน่อย ก็เลยโดนผลลัพธ์ที่ตามมาลงโทษ และเราก็ไม่เข็ดหลาบ จนกว่าสถานการณ์มันจะแย่มากพอให้เราบอกว่า “ไม่เอาอีกแล้ว”

เลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างความเครียดและความทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่จำเป็นครับ