
เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเขียนบทความ “การ work hard ของผู้บริหารหน้าตาเป็นอย่างไร” เพราะสังเกตว่าคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารมักทำงานหนักอยู่แล้ว ถ้าเรียกร้องให้ตัวเองทำงานหนักไปกว่านี้มันอาจจะไม่ยั่งยืน
ตอนท้ายของบทความ ผมทิ้งประโยคหนึ่งของ Kevin Kelly ไว้ว่า
“Working differently is usually more productive than working harder.”
ซึ่งเป็นประโยคที่ผมขบคิดมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาว่าจะ work differently ได้อย่างไร
แม้คำตอบของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะใช่ คือเราไม่จำเป็นต้องทำงานมากกว่าน้อง และเราไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากกว่าน้อง
เราไม่จำเป็นต้องทำมากกว่า เพราะว่าร่างกายเราไม่เหมือนเดิม แค่นั่งนานก็ปวดหลัง แค่อดนอนก็เริ่มป่วย ปล่อยให้ลูกน้องของเราใช้พลังแห่งความหนุ่มสาวของเขาไปเถอะ
เราไม่จำเป็นต้องรู้มากกว่าน้อง จริงๆ แล้วน้องต้องรู้มากกว่าเราเพราะว่าเขาอยู่หน้างาน และถ้าเขาไม่รู้อะไร เขาก็สามารถหาความรู้นั้นได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ที่สำคัญ ในยุคที่โลกเปลี่ยนไปในอัตราเร่ง ความรู้ของเราที่มันเคยถูก ตอนนี้มันอาจจะผิดแล้วก็ได้ สิ่งที่ผู้บริหารยังพอจะ add value ได้ คือการเตือนน้องว่าอะไรที่มันน่าจะผิด เพราะสิ่งที่เคยผิดมันมักจะไม่กลับมาถูกได้โดยง่าย
“So knowledge grows by subtraction much more than by addition— given that what we know today might turn out to be wrong but what we know to be wrong cannot turn out to be right, at least not easily.”
-Nassim Taleb, Antifragile
เมื่อทำน้อยกว่า และรู้น้อยกว่า อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดที่ผู้บริหารน่าจะทำได้
สำหรับผม ผมเชื่อว่ามันคือการดูแลพลังงานในร่างกายและจิตใจของเราให้ดี
เพราะผู้บริหารต้องตัดสินใจว่าเป้าหมายของทีมคืออะไร ต้องสื่อสาร และต้องดำรงสติอยู่ได้ในจังหวะที่ทุกคนกำลังสติแตก การมีหัวสมองที่ปลอดโปร่งในร่างกายที่สมบูรณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด
เมื่อเราดูแลร่างกายมาดี ใจเราก็จะดีตาม เราจะมองจะคิดอะไรได้อย่างชัดเจน ตัดสินใจได้คมขึ้น รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด อะไรสำคัญรองลงมา และอะไรที่เป็นเพียงสัญญาณรบกวน ซึ่งนี่แหละจะเป็นจุดที่เรา contribute ให้กับทีมได้
อีกประเด็นที่สำคัญมาก คือในฐานะผู้บริหาร คำพูดและการกระทำของเรานั้นจะถูก “ทวีคูณ” (amplify) และมีผลกระทบมากกว่าที่เราคิดเสมอ
ถ้าน้องทำอะไรพลาด หรือทำแล้วไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แค่เราพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่ามันยังดีไม่พอ น้องก็หน้าเสียแล้ว แต่ถ้าเราพูดแรงกว่านั้น น้องก็อาจเสียใจหรือแม้กระทั่งแตกสลายโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
ในทางกลับกัน ถ้าน้องทำอะไรดี แล้วเราชมน้องแค่นิดเดียว น้องก็หน้าบานไปได้ทั้งวัน
ดังนั้น ถ้าเรารักษาพลังงานของเราให้ดี ไม่เผลอตำหนิน้องเกินความจำเป็น และรู้ตัวว่าจังหวะไหนควรให้กำลังใจ น้องก็จะได้รับพลังงานดีๆ จากเราไป และมีสมาธิที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่
เมื่อเราผ่านวัยกลางคน และต้องอยู่ในตำแหน่งที่ต้องบัญชาการ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเอง ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี และมีเวลาทำสิ่งที่เรารัก
ผู้บริหารคนไหนที่คุ้นเคยกับการทำงานหนักมานานและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ผมขอชี้ชวนว่าให้คุณมาออกกำลังกายดู แล้วจะพบว่าเรา productive มากขึ้นโดยที่จำนวนชั่วโมงการทำงานไม่ต้องเพิ่ม
แถมเมื่อสุขภาพแข็งแรง เวลาเจอสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องลุยงานหนัก เราก็มีร่างกายที่พร้อมรับมือกับมันได้อย่างเต็มที่
ซึ่งย่อมดีกว่าการปล่อยปละละเลยจนร่างกายผุพังถึงจุดที่เกินเยียวยา และนำไปสู่ปัญหาและความทุกข์ที่ไม่ว่ารายได้หรือคำชื่นชมใดๆ ก็มิอาจชดเชย
เมื่อเราเป็นผู้บริหาร พลังงานจะสำคัญกว่าความรู้ครับ