สุขภาพและความสัมพันธ์ คือพื้นฐานที่สำคัญที่สุด

นิสัยหนึ่งของมนุษย์ คือการทุ่มแรงและเวลาเพื่อตามหาสิ่งที่เรายังไม่มี

เมื่อเราอาศัยอยู่ในระบอบทุนนิยมและเสพโซเชียลมีเดีย เราจึงมีตัวเปรียบเทียบให้เรารู้สึกว่ายังขาดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ นั่นคือ status หรือสถานะทางสังคม

ไม่ว่าเราจะมีชีวิตที่ดีเพียงใด เราจะถูกเตือนอยู่ตลอดว่ายังมีคนที่ “เหนือ” กว่าเรา รวยกว่าเรา บุคลิกดีกว่าเรา มีความสุขกว่าเรา เราก็เลยต้องพยายามให้มากกว่านี้

เมื่อสภาพแวดล้อมผลักดันให้เราต้องมุ่งไปข้างหน้าแบบไม่มีขีดจำกัด แต่ชีวิตคนเรานั้นแสนจะจำกัด (finitude) สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ก็คือการ “ต้องแลก”

เมื่อเราใช้เวลาไปกับการให้ได้มาซึ่ง status เวลาสำหรับการดูแลสุขภาพและความสัมพันธ์ย่อมลดน้อยลง

ในหนังสือ How Will You Measure Your Life ของ Clayton M. Christensen ที่ผลิตเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ openbooks มีถ้อยความช่วงหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“เป็นเวลาหลายปีที่ผมเฝ้าดูเรื่องราวของเพื่อนร่วมชั้นในวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ดปี 1979 ซึ่งต้องประสบชะตากรรมแตกต่างกันไป

เพื่อนร่วมชั้นจำนวนมากกลับมางานเลี้ยงรุ่นด้วยความหม่นเศร้า ไร้สุข หย่าร้าง ห่างหายจากครอบครัวและบุตรหลาน

ผมยืนยันได้ว่า ไม่มีใครแม้แต่เพียงคนหนึ่งคนใด ที่วางแผนอย่างตั้งใจว่าจะนำชีวิตไปสู่การหย่าร้างและเลี้ยงลูกให้อ้างว้างห่างเหินจากตน แต่จำนวนมากจนน่าตกใจ จำต้องใช้กลยุทธ์เช่นนั้น

เหตุผลสั้นๆ นั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่รักษาเป้าหมายแห่งชีวิต ว่าเขาจะใช้เวลา (time) ปัญญา (talent) และ พลังงาน (energy) ไปในทิศทางใด”


ผมเห็นคนรุ่น Gen Z จำนวนไม่น้อย ที่อายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่ต้องทำกายภาพราวกับคนอายุ 50

ยังไม่นับอัตราคนรุ่นใหม่ที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นอย่างชัดเจนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

เหตุผลที่ผมพอจะคิดได้ คือเราดูแลตัวเองน้อยเกินไป

เมื่อเราทุ่มเทกับการได้มาซึ่ง status เราอาจเหลือ “ที่ว่าง” ไม่มากพอให้คิดใคร่ครวญว่าอะไรคือสิ่งสำคัญต่อเราอย่างแท้จริง

คำแนะนำของผมก็คือ จงจัดการเรื่องสุขภาพและความสัมพันธ์ให้ดีก่อน แล้วค่อยเอาเวลาไปจัดการเรื่องที่เหลือ

เหมือนกับคำแนะนำทางการเงินที่ว่า เมื่อเราได้เงินเดือนมาแล้ว สิ่งแรกที่เราควรทำคือ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” ด้วยการแบ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินออมและเงินลงทุน เหลือเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น เพราะถ้าเราเอาเงินมาใช้ก่อน มันมักจะไม่เหลือเงินให้ออมเลย

สิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยทำ คือเอางานเป็นตัวตั้ง และค่อยมาซ่อมสุขภาพและความสัมพันธ์เอาทีหลัง ในช่วงแรกอาจจะยังไปได้ดี เพราะร่างกายยังแข็งแรง และคนรอบข้างยังให้โอกาสเราอยู่

แต่ถ้าเราละเลยสุขภาพและความสัมพันธ์นานเกินไป ความจริงของชีวิตจะสำแดงตน และความเจ็บปวดจะรอเราอยู่ที่ปลายทาง

“If you want a recipe for unhappiness, spend your time accumulating a lot of money and let your health and relationships deteriorate.”
-James Clear

สุขภาพและความสัมพันธ์ คือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดครับ

เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้ว่าอะไรสำคัญ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพาครอบครัวไปเที่ยวจันทบุรีกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอีกสามคนที่รู้จักกันมา 1 ใน 4 ศตวรรษ

เราเช่าบ้านพูลวิลล่าติดทะเล เด็กๆ ทั้ง 8 คนจาก 4 ครอบครัวเลยสนุกสนานกันยกใหญ่

จันทบุรีเป็นเมืองแห่งฝน สองคืนที่เราพักกันที่นั่นฝนน่าจะตกไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง

โต๊ะอาหารและครัวอยู่ในโซน open air ที่เป็นช่องลม ฝนตกโปรยปราย อากาศเย็นสบาย มีเครื่องดื่มและขนมพร้อมสรรพ เรานั่งคุยเรื่องราวแต่ก่อนเก่า นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงยุค 90 กันยาวนานหลายชั่วโมง ปล่อยให้ลูกๆ และภรรยาเข้านอน แต่เรายังไม่มีทีท่าว่าจะง่วง

ถึงตี 2 ก็ลงไปว่ายน้ำท่ามกลางสายฝน มีวิวทะเลสีดำเวิ้งว้างว่างเปล่าอยู่เบื้องหน้า พอขึ้นจากสระก็ทำมาม่าเกาหลีกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

เป็นช่วงเวลาที่ดีและน่าจดจำ


ตอนที่นั่งคุยเรื่องสมัยเรียนปริญญาตรี เราคุยกันเรื่องรับน้อง เรื่องชีวิตในหอพัก เรื่องอุบัติเหตุรถคว่ำ เรื่องเล่นกีฬา เรื่องโดดฝึกงาน เรื่องอาจารย์บางท่าน และเรื่องทำผิดกฎระเบียบ

น่าสนใจที่เราแทบไม่ได้คุยถึงเรื่องในห้องเรียนเลย

สิ่งที่ควรจะมี “สาระ” ที่สุด กลับเป็นสิ่งที่เราคิดถึงน้อยที่สุด ส่วนเรื่องที่เราคิดถึงมากที่สุด สร้างเสียงหัวเราะได้มากที่สุด คือเรื่องที่เราทำตัวไม่ค่อยมีสาระ

หรือจริงๆ แล้วเรื่องที่เราคิดว่าไม่มีสาระนี่แหละคือสาระที่แท้ของชีวิต?


ว่ากันว่าเวลาคือตัวกรองที่ทรงพลังที่สุด – Time is the greatest filter.

Paulo Coelho ผู้เขียน The Alchemist จึงบอกว่า เวลาพบเจอหรืออ่านเจออะไร ไม่จำเป็นต้องไปจดบันทึกให้มากมาย เพราะอะไรที่สำคัญจะยังคงอยู่ ส่วนอะไรที่ไม่สำคัญจะจางหายไปเอง

ลองมองย้อนกลับไปในชีวิตเรา คำพูดของคนบางคน เช่นพ่อแม่ เพื่อนฝูง หรือครูบาอาจารย์ ตอนที่เราได้ยินเขาพูดเป็นครั้งแรก เราอาจไม่ได้รู้สึกว่ามันสลักสำคัญ เผลอๆ อาจรู้สึกต่อต้านด้วยซ้ำ

แต่พอเวลาผ่านมาหลายปี ก็น่าแปลกใจว่าทำไมเรายังจดจำคำนี้ได้อยู่ อาจเพราะว่ามันมีความจริงบางอย่าง หรืออาจเป็นเพราะว่ามันทำให้เราระลึกถึงช่วงเวลานั้นหรือคนคนนั้นได้ดีเป็นพิเศษ

เรื่องที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นสาระ เช่นท่าเดิน อากัปกิริยาตอนกินข้าว น้ำเสียงเวลาบ่นหรือพร่ำสอน หรือแม้กระทั่งเสียงนอนกรน รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้เรากลับจดจำมันได้ เพราะมันคือเอกลักษณ์และตัวตนของคนที่เรารักและระลึกถึง


เมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้ว Sylvester Stallone เคยเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ดที่โด่งดังระดับโลกจากหนังนักมวยอย่าง Rocky และหนังนักรบเดนตายอย่าง Rambo

ในปี 2018 สตอลโลนในวัยเจ็ดสิบปีได้มาปรากฎตัวในซีรี่ส์ This Is Us ซีซั่น 2 โดยเล่นเป็น “ตัวเอง” ที่มาร่วมแสดงในฉากการต่อสู้ของหนังเรื่องหนึ่ง

พระเอกหนุ่มในตอนนี้ชื่อเควิน ซึ่งชื่นชอบสตอลโลนมานาน เพราะสมัยเด็กๆ พ่อจะชวนเควินและน้องสาวดูหนังเรื่อง Rocky ด้วยกันบ่อยๆ แต่พ่อของเควินจากไปตั้งแต่ตอนเขายังเป็นเด็กนักเรียน

นี่คือบทสนทนาที่สตอลโลนคุยกับเควินในกองถ่าย

เควิน: น้องสาวผมไม่ได้ขอลายเซ็นคุณใช่มั้ยครับ รู้มั้ยครับว่าผมต้องขอน้องว่าอย่าเอาตุ๊กตาแรมโบ้มาจากบ้าน

สตอลโลน: เธอก็แค่ฮัมเพลงให้ผมฟังนะ และเธอก็พูดถึงพ่อของคุณนิดหน่อยด้วย พ่อคุณจะต้องภูมิใจมากแน่ๆ ถ้าได้มาเห็นคุณตอนนี้

เควิน: มีคนเคยบอกผมอย่างนั้นเหมือนกัน

สตอลโลน: การเติบโตมาโดยไม่มีเขาอยู่ด้วยคงเป็นเรื่องลำบากน่าดู จริงมั้ย?

เควิน: สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่นานมาแล้วน่ะครับ ก็เลย…

สตอลโลน: บางทีเวลามันก็เล่นตลกกับเรานะ เพียงน้องสาวของคุณฮัมเพลงในหนังร็อคกี้แค่ท่อนเดียว ผมก็ได้กลิ่นเวทีมวยขึ้นมาแว้บนึงเลย

และน้องสาวคุณก็ยังเล่าด้วยว่าตอนเด็กๆ พวกคุณดูหนังของผมหลายเรื่อง ซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกถึงลูกๆ ของผมในวัยนั้นเหมือนกัน ทั้งผมยุ่งๆ ทั้งชุดนอนลายเดียวกัน ทั้งอะไรต่อมิอะไร ผมเห็นภาพเหล่านั้นชัดเจนมากจนแทบจะยื่นมือออกไปสัมผัสมันได้เลย

จากประสบการณ์ของผมนะเควิน มันไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่า “นานมาแล้ว” มีแค่ความทรงจำที่มีความหมาย กับความทรงจำที่ไม่มีความหมายเท่านั้น

“There’s no such thing as a long time ago. There’s only memories that mean something, and memories that don’t.”


ความทรงจำบางอย่าง เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทั้งที่เวลาผ่านมาเนิ่นนาน

เรื่องที่เราเคยคิดว่ามีสาระ เรื่องที่เราเคยจะเป็นจะตาย สุดท้ายอาจจะไม่ใช่ความทรงจำที่มีความหมายมากนัก

ส่วนเรื่องที่เราคิดว่าไม่ได้มีสาระแก่นสารอันใด อาจจะกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดก็ได้ เพียงแต่วันนี้เราอาจจะยังมองข้าม เพราะมันอยู่ใกล้ตัวและแสนจะเป็นเรื่องธรรมดา

คงต้องรอให้เวลาผ่านพ้นไป เราถึงจะรู้ว่าอะไรสำคัญครับ