เวลามีคนมาขอคำปรึกษากับผม ว่าพยายามเขียนบทความแต่ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ผมมักจะบอกกลับไปว่าให้เริ่มที่ตรงกลาง – Start in the middle.
เมื่อเห็นเขาทำหน้างง ผมก็จะขยายความว่าให้เริ่มที่ตรงไหนก็ได้ อาจจะเริ่มจากประเด็นที่อยู่ในใจก่อน หรือเริ่มจากเหตุการณ์ที่ทำให้เราคิดถึงเรื่องที่อยากเขียน พอได้ระบายตรงนั้นออกมาแล้วค่อยมาคิดส่วนอื่นๆ ไม่ต่างอะไรกับนักแต่งเพลงที่แต่งท่อนฮุคก่อน
เพราะถ้ามัวแต่ติดพันกับประเด็นที่ว่าจะขึ้นต้นเรื่องราวอย่างไรให้น่าสนใจมันก็จะไม่ได้เริ่มต้นเสียที
ส่วนใครที่ต้องทำงานเขียนสเกลที่ใหญ่ไปกว่านั้น เช่นเขียนนิยาย ก็มีคำแนะนำที่น่าสนใจจาก Ernest Hemingway เจ้าของรางวัลโนเบลจากผลงาน The Old Man and the Sea
เขาบอกว่าแต่ละวัน เขาจะไม่พยายามเขียนให้จบบท ไม่แม้แต่จะเขียนให้จบย่อหน้า แต่จะเขียนให้ค้างไว้ที่กลางประโยค
คำแนะนำนี้ฟังดูแปลกประหลาด แต่ก็มีเหตุผลที่น่าสนใจ
เหตุผลของเฮมิงเวย์ก็คือ ถ้าวันนี้เขาเขียนจนจบบท วันต่อมาเขามักจะคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นบทใหม่อย่างไร ทำให้งานเขียนล่าช้าไปอีกวันหรือแม้กระทั่งหลายวัน
แต่ถ้าเขาเขียนค้างไว้ที่กลางประโยค วันรุ่งขึ้นเขาสามารถมาเขียนต่อได้ทันที เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเขียนอะไรต่อ และเมื่อเครื่องติดแล้ว การเขียนบทต่อไปก็ง่ายขึ้น
ผมคิดว่าหลักการ “เริ่มที่ตรงกลาง หยุดที่ตรงกลาง” นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานออฟฟิศเราได้ด้วย
ถ้ามีโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ได้รับมา และเราไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ก็ให้เริ่มที่ตรงกลาง ซึ่งตรงกลางของแต่ละคนก็แล้วแต่ใครจะนิยาม ขอเพียงแค่ให้ได้เริ่มเถิด
ส่วนการหยุดที่ตรงกลาง อาจจะขัดกับนิสัยของเราพอสมควร เพราะใจคนทำงานก็อยากทำให้เสร็จเป็นเรื่องๆ ก่อนที่จะไปพักหรือปิดคอม
แต่การทำจนเสร็จงานหนึ่งชิ้น และต้องเริ่มงานชิ้นใหม่ (ในโปรเจ็กต์เดียวกัน) ในวันถัดไป ก็อาจจะทำให้การเริ่มต้นมันลำบากเหมือนการเริ่มบทใหม่ในนิยายก็ได้
ถ้าเรารู้ว่าโปรเจ็กต์นี้เป็น “เกมยาว” ที่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอมากกว่าความเร็ว และเราอยากมีกำลังใจในการกลับมาทำต่อในวันพรุ่งนี้ การหยุดที่ตรงกลางอาจเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะครับ
