เมื่อถึงจุดหนึ่ง Self-Improvement จะไม่สำคัญเท่า Self-Acceptance
เวลาเดินเข้าร้านหนังสือ มุมหนึ่งที่ผมไปเยือนบ่อยที่สุดคือมุม Self-Improvement หรือ Self-Help
มีหนังสือมากมายที่สอนว่าเราจะทำงานเก่งกว่านี้ได้อย่างไร จัดการตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร ดูแลร่างกายให้แข็งแรงขึ้นได้อย่างไร
พ็อดแคสต์ชื่อดังหลายรายการที่ผมฟังก็จะโคจรรอบหัวข้อประมาณนี้
ดูเหมือนมนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น หรือถ้าให้ตรงประเด็นยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกคนอยากมีชีวิตที่ดี
แต่สมการชีวิตที่ “ดี” ก็มีส่วนประกอบสองอย่าง คือความจริงของโลกภายนอก กับความคาดหวังของโลกภายใน
ที่ผ่านมาเราพยายาม “พัฒนา” ความจริงของโลกภายนอก เพื่อให้ทำงานได้มากขึ้น หาเงินได้มากขึ้น ดูดีขึ้น
แต่ไม่ว่าเราจะพัฒนาไปเท่าไหร่ ความคาดหวังของโลกภายในมักจะตามทันเสมอ
เพราะในโลกโซเชียลนั้น เรื่องมหัศจรรย์ถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมดา
ในความหมายที่ว่า เรื่องราวของคนระดับ Top 1% หรือแม้กระทั่ง Top 0.01% จะถูกแชร์ให้เราเห็นอยู่ทุกวัน จนรู้สึกว่ามันเป็น “เรื่องปกติ” ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรปกติเลย
เมื่อเห็นคนที่เก่งกว่า รวยกว่า ดูดีกว่า เราก็อาจจะมีปฏิกิริยาหนึ่งในสามอย่างนี้
หนึ่ง คือเราฮึกเหิม เกิดแรงบันดาลใจ และเราก็ออกไป “วิ่ง” เพื่อไขว่คว้า
สอง คือเรารู้สึกด้อยค่า ว่าทำไมเราถึงยังไม่ดีเท่าเขา
สาม คือปฏิเสธเส้นทางของคนเหล่านั้น อารมณ์หมาจิ้งจอกกับองุ่นเปรี้ยว
แต่มันอาจจะมีทางที่สี่ก็ได้
กลับมาที่สมการนี้
ชีวิตที่ดี = ความเป็นจริงของโลกภายนอก – ความคาดหวังของโลกภายใน
สำหรับคนที่ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น แน่นอนว่าเราต้องทำความจริงของโลกภายนอกให้ดีขึ้นก่อน อย่างน้อยให้ถึงจุดที่เราสามารถเลี้ยงดูตัวเองและคนที่เรารักได้
แต่มีงานวิจัยมากมาย ที่ระบุว่าเมื่อเรามีรายได้ถึงจุดหนึ่ง การมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ได้นำพามาซึ่งความสุขที่เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันอีกต่อไป
คำถามสำคัญก็คือเรามาถึงจุดนั้นแล้วหรือยัง ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ แต่ยังหมายถึงมิติอื่นๆ ด้วยเช่นความแข็งแรงหรือความดูดี
เพราะถ้าเราคิดแต่จะ beat yesterday เราก็กำลังหลบตาความจริงที่ว่า สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เมื่อถึงจุดที่โลกภายนอกดีพอแล้ว เราจึงควรกลับมาจัดการโลกภายในให้พอดี
ในการ์ตูนเรื่อง One Piece มีตัวละครหนึ่งเคยพูดเอาไว้ทำนองว่า
“สัญญาณของการเติบโต คือการยอมรับในข้อจำกัดของตัวเอง”
พี่อ้น วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผม เคยบอกไว้ว่า
“เราสามารถชื่นชมคนอื่นได้ โดยไม่ต้องอยากเป็นอย่างเขา”
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะสงบศึกกับตัวเอง รู้ตัวว่าเราเหมาะกับอะไร ไม่เหมาะกับอะไร และยอมรับว่าต่อให้เราพยายามกว่านี้ มันก็จะได้ประมาณนี้แหละ
เราก็อาจโล่งอกที่ไม่ต้อง “วิ่ง” ไปตลอด และไม่รู้สึกผิดกับการอยู่เฉยๆ
เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต การพัฒนาตัวเองจะไม่สำคัญเท่ากับการยอมรับตัวเองครับ
