สองสิ่งที่ดูเหมือนขัดกัน แต่เราต้องการมันทั้งคู่

ความคุ้นเคย – ความแปลกใหม่

เรามีร้านประจำ ที่ไปที่ไรก็รู้สึกสบายใจ

เรามีกับข้าวรสมือแม่ ที่คิดถึงทีไรก็มีความสุขทุกครั้ง

เรามีเพื่อนสนิทหรือคนคุ้นเคย ที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้

แต่ถ้าเราไปร้านประจำทุกวันก็คงเบื่อ ต้องหาร้านใหม่ๆ มาอยู่ในลิสต์บ้าง

กินข้าวรสมือแม่ทุกวันมันก็ดี แต่มันอาจทำให้เราไม่เห็นคุณค่าของมันเท่าไหร่

ถ้าต้องเจอเพื่อนสนิททุกวัน มันอาจจะกลายเป็นความคุ้นชิน ไม่ตื่นเต้นที่ได้เจอกัน

ดังนั้นเราจึงควรหาร้านใหม่ๆ เมนูใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ เพื่อเติมสีสันให้ชีวิต แล้วบางส่วนของสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ก็อาจกลายเป็นความคุ้นเคยในภายหลัง


งานท้าทาย – งานสบาย

เราชอบงานที่มันท้าทายเพื่อจะได้ผลักดันให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น

แต่ถ้าต้องเจอแต่งานที่ท้าทาย 8 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ 4 สัปดาห์ต่อเดือน มันก็อาจจะ burnout ได้เหมือนกัน

ร่างกายจึงต้องงานสบายด้วย

งานสบายไม่ได้แปลว่างานที่ไม่มีคุณค่า แต่แปลว่างานที่เราเอาอยู่แล้วหรือทำได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว งานสบายหลายชิ้นในวันนี้อาจเคยเป็นงานที่เคยท้าทายมากๆ มาก่อน

ในทางกลับกัน ถ้าทุกวันเราเจอแต่งานสบาย เราจะรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป อาจจะขาดการเรียนรู้ ขาดความรู้สึกว่าก้าวหน้า ขาดการสร้างคุณค่าใหม่ๆ

ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหางานที่ท้าทายมาช่วยให้การทำงานนั้นสนุกขึ้นเช่นกัน


ความเป็นคนสำคัญ – ความเป็นส่วนตัว

เราทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ อย่างน้อยก็สำหรับใครบางคน

ยิ่งมีโซเชียลมีเดียมาเป็นยากระตุ้น อินฟลูบางคนไม่เคยออกทีวีหรือเล่นละครแต่ก็ยังโด่งดังกว่าดารา

เวลาเราโพสต์อะไรแล้วมีคนกดไลค์กดฟอลโลว์ มันก็ทำให้เราใจฟู รู้สึกว่าเรายังมีตัวตนและมีคนเห็นเราอยู่

เวลามีเพื่อนคิดถึง โทรหา ชวนไปปาร์ตี้กัน เราก็รู้สึกว่าดีจังที่มีคนที่คิดถึงเราอยู่

แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้ชื่อเสียง หรือความมีเพื่อนมาก ก็คือความเป็นส่วนตัว

สมัยก่อนดาราหลายคนเลยต้องหลบซ่อนเพื่อคบกัน บางคนต้องใส่แว่นตาดำเวลาไปเดินห้างเพื่อไม่ให้คนเข้ามาขอลายเซ็น

หรือคนที่มีเพื่อนห้อมล้อมเยอะแยะ ต่อให้เป็นคน outgoing แค่ไหน มันก็จะมีวันที่อยากอยู่บ้านเฉยๆ บ้างเหมือนกัน


สร้างอนาคต – มีความสุขกับปัจจุบัน

คนที่ใช้ชีวิตแบบไม่วางแผนเผื่ออนาคตเลยเรามองว่าเป็นคนประมาท

หากได้เงินมาก็ใช้หมด ไม่มีเหลือเก็บ ถึงวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุทางการงาน รายได้หดหาย คุณภาพชีวิตก็อาจดำดิ่งลงโดยง่ายดาย

ในอีกฝั่งหนึ่ง ก็มีคนที่ทำทุกอย่างเพื่อสร้างอนาคต อยากเก็บเงินให้ได้ตามเป้าก่อนเกษียณ ใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร กินน้อย เที่ยวน้อย แบ่งปันน้อย เพราะหวังจะสร้างความมั่นคงให้ชีวิต

มีคำกล่าวว่า “Man Plans, God Laughs” ชีวิตมันไม่ได้มั่นคงอย่างที่เราคิดหรืออยากจะเชื่อ บางทีทำทุกอย่างถูกต้องที่สุดแล้วก็ยังไม่เป็นไปตามแผน ไม่มีใครได้รับการการันตีจากสวรรค์ว่าชีวิตจะยืนยาวหรือจะมีสุขภาพที่ดีจนแก่เฒ่า

ถ้ามัวแต่ใช้วันนี้เพื่อสร้างอนาคต จนไม่มีความสุขกับปัจจุบันเลย แล้ววันหนึ่งเราได้พบว่าอนาคตไม่ได้ยาวไกลอย่างที่คาดการณ์ไว้ เราอาจเสียดายคืนวันที่ผ่านมา

ดังนั้นเราจึงต้องเป็นคนทั้งสองแบบ – คนที่พร้อมใช้จ่ายเพื่อมีความสุขกับวันนี้ และคนที่พร้อมอดเปรี้ยวไว้กินหวานในเวลาเดียวกัน


การที่เราต้องการสองสิ่งที่ดูเหมือนย้อนแย้งไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามันจะมีอะไรผิดก็น่าจะเป็นวิธีคิดหรือความเชื่อของเรามากกว่า ที่มองว่าถ้าอันนึง True ด้านตรงข้ามต้องเป็น False

ในเชิงศาสนาพุทธ การที่เราต้องสลับไป-มา นั้นสะท้อนอยู่ในไตรลักษณ์ นั่นคือ “ทุกขัง” หรือ “สภาพที่ทนได้ยาก”

หลวงพ่อปราโมทย์สอนว่า ร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์ แต่เราไม่เคยเห็น เราไม่รู้ว่ามันทุกข์เพราะเราเปลี่ยนอิริยาบทตลอดเวลา

อยากเห็นความทุกข์นั้นง่ายมาก แค่ลองหายใจเข้าอย่างเดียว แล้วคอยดูว่ามันทุกข์มั้ย หรือลองหายใจออกอย่างเดียวแล้วคอยดูว่ามันทุกข์มั้ย

เราจึงไม่สามารถทนอยู่ได้กับอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอด จะให้เจอแต่สิ่งคุ้นเคยอย่างเดียวก็ทุกข์ ให้เจอแต่สิ่งแปลกใหม่ก็ทุกข์ จะให้เจอแต่งานท้าทายก็ทุกข์ เจอแต่งานสบายก็ทุกข์ ต้องเจอทั้งคู่ถึงจะยืนระยะและมีความทุกข์แบบพอรับไหว

“The test of a first-rate intelligence is the ability to hold two opposing ideas in mind at the same time and still retain the ability to function.”

F.Scott Fitzgerald

ยังมีอีกหลายมิติในชีวิตที่เราต้องการสองสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดกัน

บทเรียนสำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องเลือกแค่อันใดอันหนึ่ง

เราเลือกได้ทั้งสองอย่าง โดยดูจากบริบทและความต้องการของชีวิตในตอนนั้นครับ