(เคล็ดวิชาชีวิตจาก อาจารย์ไพรินทร์ IMET MAX)
สองเดือนที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนโครงการ IMET MAX อีกสองท่านได้รับโอกาส mentoring กับดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบันอาจารย์ไพรินทร์เป็นกรรมการอิสระ-กรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และนายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC
ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสองครั้ง ได้แง่คิดและความรู้กลับมามากมาย นี่คือส่วนหนึ่งที่ขอนำมาเล่าไว้ในบล็อก Anontawong’s Musings ครับ
ถ้าเราให้ความสำคัญจริง เราจะมีเวลาเอง
เราถามอาจารย์ไพรินทร์ว่า ความรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ ทำงานหนักขนาดนี้ ทำไมยังดูสุขภาพแข็งแรง หน้าตายังผ่องใสอยู่ (ปีนี้อาจารย์อายุ 67 ปี)
อาจารย์ตอบว่าไม่ได้มีอะไรมาก ตอนเช้าพยายามเดินรอบบ้านให้ได้วันละหนึ่งชั่วโมง มียกดัมเบลบ้าง และกีฬาอีกอย่างที่ชอบเล่นคือตีกอล์ฟกับเพื่อน
แต่ก่อนอาจารย์ไพรินทร์ไม่สนใจเรื่องการตีกอล์ฟ เพราะรู้สึกว่าใช้เวลาเยอะและต้องตื่นแต่เช้า
แต่เมื่อต้องขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง mentor ของอาจารย์ไพรินทร์ก็แนะนำว่าควรหัดตีกอล์ฟ เพราะการเจรจาระหว่างตีกอล์ฟมักจะเป็นการเจรจาที่ราบรื่น ผิดกับตอนเจรจาในห้องประชุมที่ต่างฝ่ายต่างจ้องเอาชนะกัน
เมื่อเริ่มตีกอล์ฟเป็นและเริ่มสนุกกับมัน อาจารย์ก็พบว่าการตื่นตีสี่มาตีกอล์ฟไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตีเสร็จเก้าโมงเช้า สิบโมงไปทำงานได้สบาย
“ถ้าเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร เราจะมีเวลาให้มันเอง ถ้าปากคุณบอกว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่คุณไม่เคยมีเวลาให้กับมัน แสดงว่าคุณยังไม่ได้เห็นความสำคัญของมันจริงๆ หรอก”
แม้เดี๋ยวนี้อาจารย์ไพรินทร์จะไม่ต้องเจรจาธุรกิจแล้ว แต่ก็ยังไปออกรอบกับเพื่อนสนิทบ่อยๆ เพราะกอล์ฟเป็นกีฬาไม่กี่อย่างที่คนวัยเกษียณยังเล่นได้ดี ช่วยให้ได้ออกกำลังกายด้วยการเดินนับหมื่นก้าว
.
ลูกน้องที่ดีต้องมีแผน
อาจารย์ไพรินทร์เคยทำงานให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี โดยคุยกันผ่านไลน์
เมื่อรู้ว่าเจ้านายมีเวลาไม่มากนัก อาจารย์จะเขียนสรุปให้สั้นๆ โดยมีทางเลือก Option A, Option B, Option C และอาจารย์จะบอกด้วยว่าตัวเองแนะนำให้เลือก Option ไหน
อาจารย์บอกว่า ลูกน้องที่ดี จะต้องสรุปสาระสำคัญให้ตรงประเด็นและรวบรัด เพื่อให้เจ้านายที่มีเวลาน้อยตัดสินใจได้
“เราต้องเป็น A man with a plan เสมอ และไม่ใช่มีแค่แผนเดียวด้วย ต้องมี Plan A, Plan B, Plan C เพื่อมอบทางเลือกให้กับเจ้านายของเรา”
.
ผู้นำที่ดีต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ
อาจารย์ไพรินทร์บอกว่าเคล็ดลับการเป็นผู้นำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ทั้งพระเดชและพระคุณในแบบพอดีๆ
ถ้าใครใช้พระเดชอย่างเดียว สั่งการ บังคับ ด่าลูกน้อง ถือว่าใช้ไม่ได้ ไปไหนได้ไม่ไกล
ถ้าใครใช้แต่พระคุณอย่างเดียว ใจดีกับลูกน้องเกินไป ไม่กล้าลงมือกับคนผิด อันนี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน
จะเป็นผู้นำ จึงต้องมีทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
.
เคล็ดลับจากเชอร์ชิล
ผู้นำบางคนพูดต่อหน้าสาธารณชนไม่เก่ง พูดแล้วหาลานจอดไม่ได้
อาจารย์ไพรินทร์ชอบคำของ Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่แนะนำไว้ว่า speech ที่ดีนั้นเหมือนกระโปรงผู้หญิง มันควรยาวพอที่จะครอบคลุมสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องสั้นพอที่จะดึงความสนใจ
“A good speech should be like a woman’s skirt; long enough to cover the subject and short enough to create interest.”
.
ตั้งสติก่อนเอ่ยคำ
อาจารย์ไพรินทร์ย้ำหลายครั้งว่า เมื่อเราพูดอะไรออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นนายเรา
ดังนั้น ก่อนจะพูดอะไร ต้องตั้งสติให้ดี หากสิ่งที่เราพูดออกไปมันถูกต้องเที่ยงตรง สิ่งที่ตามมาก็จะถูกต้องเที่ยงตรง
แต่หากเราพูดอะไรที่มันบิดเบี้ยวออกไป สิ่งที่ตามมาก็จะบิดเบี้ยวไปด้วยเช่นกัน
เคล็ดลับอย่างหนึ่งของการตั้งสติ คือสูดลมหายใจแรงๆ แล้วฮึบ ก่อนจะเอ่ยปากหรือกระทำการใด
.
อย่าไปกลัวเอไอ
ผมถามอาจารย์ว่า จะเลี้ยงลูกอย่างไรให้พร้อมรับมือกับ ChatGPT ที่ฉลาดขึ้นทุกวัน
อาจารย์บอกว่าไม่ต้องไปห่วงลูกๆ เราหรอก พวกเขาเป็น digital native เกิดมาก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดีอยู่แล้ว เขาเอาตัวรอดได้
ที่ต้องห่วงคือคนรุ่น Gen Y ขึ้นไปมากกว่า เพราะพวกเราเป็น digital immigrants
“อย่าไปกลัวเอไอ แต่จงศึกษาและทำความเข้าใจ จะได้อยู่ร่วมกับมันได้”
.
การศึกษา 4.0
อาจารย์ไพรินทร์บอกว่า หน้าที่ของครูสมัยก่อน คืออ่านหนังสือแล้วเอามาสอนเด็กๆ
แต่ตอนนี้อาจารย์ที่อ่านหนังสือได้เยอะที่สุด และจำได้แม่นที่สุดก็คือเอไอ
ดังนั้นหน้าที่ของคุณครูจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่คนสอน แต่ต้องเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้หรือ facilitator
ส่วนบทบาทของเด็กนักเรียนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป การรู้คำตอบจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าแต่ก่อน เพราะเอไอรู้คำตอบอยู่แล้ว
สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถาม ถ้าตั้งคำถามได้ดี ก็จะได้คำตอบที่ดี แต่ถ้าตั้งคำถามมั่วซั่ว ก็จะได้คำตอบมั่วซั่ว
สมัยนี้ถึงเกิดศาสตร์และวิชาชีพที่เรียกว่า prompt engineering คือจะเขียน prompt ป้อนให้กับเอไออย่างไรถึงจะได้คำตอบที่มีประโยชน์และตอบโจทย์อย่างแท้จริง
ความฉลาดหลักๆ มีสี่ด้านด้วยกัน คือ IQ, EQ, AQ และ SQ
AQ คือ Adversity Quotient ความสามารถในการเผชิญปัญหา
SQ คือ Social Quotient คือความฉลาดทางสังคม
แต่ก่อนโรงเรียนจะสอนให้เด็กพัฒนา IQ เป็นหลัก แต่ตอนนี้เอไอมีไอคิวพอๆ กับคนคือประมาณ 90 แล้ว ดังนั้นคนที่ใช้เอไอก็จะมี IQ สูงขึ้นได้ทันที
เมื่อโรงเรียนไม่จำเป็นต้องพัฒนา IQ มากเท่าแต่ก่อน สิ่งที่โรงเรียนควรโฟกัสคือพัฒนาความฉลาดด้านอื่นๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น EQ, AQ หรือ SQ โดยฝึกให้เด็กรู้ทันและจัดการอารมณ์ตัวเอง กล้าเผชิญความยากลำบาก และทำงานเป็นทีมได้
อาจารย์บอกว่าการเรียนรู้สมัยก่อนเป็น mono-disciplinary ใครที่รู้อะไรก็จะรู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว
แต่โลกสมัยใหม่เราต้องเรียนรู้แบบ multi-disciplinary เอาความรู้ศาสตร์ต่างๆ มาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เห็นภาพว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้มันไปกระทบส่วนอื่นๆ อย่างไรบ้าง
.
ระวังเงินเฟ้อ
ช่วงที่อาจารย์ไพรินทร์เป็น CEO ของปตท. ชอบมีคนมาถามว่าหุ้นปตท.จะขึ้นหรือไม่ อาจารย์ตอบว่าไม่รู้ พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงเขายังไม่รู้เลย
มีช่วงหนึ่งอาจารย์เคยชื่นชอบเรื่องการเทรดหุ้นวันต่อวัน แต่พอได้ยินผู้ใหญ่บางท่านคุยกันเรื่องปั่นราคาหุ้น จึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นแค่แมงเม่า อาจารย์เลยหยุดเทรดหุ้นตั้งแต่นั้นมา
ในเวลานี้ หุ้นที่อาจารย์ถือส่วนใหญ่คือหุ้น blue chip ในเมืองไทยเพื่อรอรับเงินปันผล อาจารย์ไม่ได้ซื้อหุ้นในอเมริกา เพราะเห็นว่าอเมริกาปริ๊นท์เงินไม่หยุด (ผมลองดูข้อมูล ช่วงปี 2020-2022 อเมริกา “เสกเงิน” เข้าระบบประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์) และทำให้อเมริกามีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นทุกปี ซึ่งอาจารย์ไม่แน่ใจว่าการบริหารเศรษฐกิจแบบนี้จะยั่งยืนแค่ไหน
เมื่อมีเงินไหลเข้าระบบไม่หยุดหย่อน จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อ เราจึงควรมองการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ด้วย (hedge against inflation) เช่นทองหรือที่ดิน
.
เชื่อมั่นในคลื่นลูกใหม่
เนื่องจากนี่ (อาจ) เป็นการกินข้าวด้วยกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลับไปจับคู่กับ mentor ท่านเดิม เราจึงถามอาจารย์ว่ามีเรื่องอะไรที่คนวัยพวกผมควรจะใส่ใจหรือระมัดระวังเป็นพิเศษหรือไม่
อาจารย์ตอบว่า ไม่มีหรอก ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง คนรุ่นคุณเก่งกว่าคนรุ่นผม คลื่นลูกใหม่ย่อมแทนที่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกของเราคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้
“ผมจะรอดูพวกคุณประสบความสำเร็จ” อาจารย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
Reflections
อาจารย์ไพรินทร์เป็นหนึ่งในคนที่ไอคิวและความจำดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยคุยด้วย
ตอนฟังอาจารย์เล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แต่คิดในใจว่า “ทำไมรู้ลึก รู้กว้างได้ขนาดนี้” ทั้งด้านการศึกษา ด้านพลังงาน ด้านการเมือง ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)
อาจารย์คือตัวอย่างของคน multi-disciplinary อย่างแท้จริง เป็นทั้งวิศวกร เป็นแบงค์เกอร์ เป็นนักการเมืองที่เคยทำงานกับข้าราชการ และเหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นครู และตอนนี้งานหลักของอาจารย์ก็คือการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นถัดไป
คงจะจริงอย่างว่า การได้คุยกับบัณฑิตเพียงชั่วโมงเดียวอาจได้รับ “ทรัพย์สินทางปัญญา” มากกว่าการอ่านหนังสือเป็นสิบเล่ม
ขอบคุณโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5 ที่ให้โอกาสผมและเพื่อนได้รับประสบการณ์อันมีค่านี้ครับ
