คนเข้มแข็งจริงๆ ย่อมไม่ทำร้ายใคร

“อย่ากลัวคนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนอ่อนแอ อ่อนแอหรือไม่ เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ แต่ผมเสนอความเห็นอย่างนี้ ความอ่อนโยนนั้นดีกว่าความแข็งกร้าวแน่ ความแข็งกร้าวนั้นมันอันตราย สุนัขที่กัดคนนั้นเขาว่าเป็นสุนัขที่ขี้ขลาด มันตกใจก็เลยกัด ดังนั้นคนที่ทำลายคนอื่น จริงๆ เป็นความอ่อนแอ คนเข้มแข็งจริงๆ คือคนที่ไม่ทำลายใคร ให้ตัวเองเจ็บปวดดีกว่าคนอื่นเจ็บปวด”
-เขมานันทะ หนังสือรุ่งอรุณแห่งความรู้สึกตัว

โลกทุนนิยมนั้นหล่อหลอมให้เราคุ้นชินกับการแข่งขัน การฟาดฟัน และการเอาชนะ เพราะผู้แพ้มักถูกทิ้งไว้กลางทาง

ชีวิตของบางคนจึงเหมือนอยู่ในสงครามตลอดเวลา สู้กับคนอื่นไม่พอ ยังต้องสู้กับมโนสำนึกของตัวเอง รู้ว่าผิดก็ยังทำ รู้ว่าทำลงไปแล้วจะไม่ชอบตัวเองก็ยังทำ

อาจเป็นเพราะเรามักคิดว่าเราไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่ออยู่ท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรด หากเราไม่เป็นผู้ล่า เราก็จะกลายเป็นเหยื่อ

แต่มันอาจจะมีทางเลือกที่สาม ที่เราสามารถเข็มแข็งพอที่จะไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายเราได้โดยง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นมนุษย์พอที่จะไม่ไปทำร้ายคนอื่น

เมื่อมีสติ เราจะไม่กลัว เมื่อมีสติ เราจะไม่ตกใจ ไม่เผลอไปแว้งกัดใครโดยไม่จำเป็น

มองจากข้างนอกอาจดูเหมือนเราเป็นคนแหย ดูเหมือนคนอ่อนแอ แต่อ่อนแอหรือไม่มีแต่เราเท่านั้นที่รู้

เพราะความเข้มแข็งเป็นเรื่องของข้างใน

และเพราะคนเข็มแข็งจริงๆ ย่อมไม่ทำร้ายใครครับ

เมื่อเราไม่ไว้ใจใคร เราจะคิดถึงเขาตลอดเวลา

Tobias Lütke ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Shopify บอกว่าความไว้ใจนั้นเป็นเหมือนแบตเตอรี่มือถือ

เมื่อเราเจอใครครั้งแรก ความไว้เนื้อเชื่อใจจะมีค่าประมาณ 50%

หลังจากนั้น ถ้าเขาทำให้เราไว้ใจได้ ด้วยการทำในสิ่งที่พูด ด้วยความสม่ำเสมอ ความไว้ใจก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

กลับกัน ถ้าเขาผิดคำพูดเป็นประจำ ความไว้ใจก็จะค่อยๆ ลดลงจนอาจเหลือ 15% หรือ 10%

ถ้าแบตเตอรี่มือถือจะหมด เราจะพะวงถึงมันตลอดเวลา เช่นเดียวกับคนที่เราไม่ไว้ใจ ที่เราจะคอยพะวงถึงเขาเช่นกัน

แต่ถ้าแบตเตอรี่มือถือเกือบเต็ม เราจะสบายใจและใช้ชีวิตของเราได้โดยแทบไม่ต้องชำเลืองดูแบตเลย

ดังนั้น เราควรตั้งเป้าเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างน้อยซัก 80%

หากหัวหน้าไว้ใจเราระดับนี้ หากแฟนไว้ใจเราระดับนี้ เราก็จะทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีอิสระ ไม่โดน micromanage และไม่โดนโทรตามครับ


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Hidden Genius by Polina Marinova Pompliano

สิ่งดีๆ อยู่ห่างออกไปแค่ 5 นาที

เรารู้ว่าการออกกำลังกายยามเช้าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะทำให้สมองโปร่งใสและมีพลังงานบวกไปได้ทั้งวัน

แต่หลายคนก็ยังไม่ออกกำลังกาย เพราะรู้สึกว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีความอยากมากพอ

James Clear บอกว่า จริงๆ แล้วเราไม่ต้องออกกำลังกายถึง 1 ชั่วโมง หรือแม้กระทั่ง 30 นาทีเพื่อจะรู้สึกดีหรอก เพียงแค่เราได้ออกกำลังกายแค่ 5 นาที ความรู้สึกก็แตกต่างจากตอนอยู่เฉยๆ มากมายแล้ว

พอผ่าน 5 นาทีแรกของการออกกำลังกาย ระดับพลังงานเราจะเปลี่ยน และเราก็จะมีแรงผลักดันให้ออกกำลังกายต่อไปเรื่อยๆ

ดังนั้น ถ้าวันไหนเราอยากจะออกกำลังกายแต่รู้สึกว่าไม่มี motivation ให้บอกตัวเองว่า “สิ่งดีๆ อยู่ห่างออกไปแค่ 5 นาที” เพื่อให้อย่างน้อยเราได้เริ่ม แล้วจากนั้นโมเม็นตัมจะพาเราไปต่อเอง

ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่กับสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์แต่เรามักจะหลีกเลี่ยง เราก็สามารถใช้หลักการนี้ได้เช่นกัน

ลงทุนแค่ 5 นาที แล้วทิศทางของวันนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมครับ

ชีวิตคนไม่ควรสบายจนเกินไป

ท่านเขมานันทะเคยเล่าไว้ในหนังสือดวงตาแห่งชีวิตว่า ที่วัดสวนโมกข์มีลำไยอยู่ต้นหนึ่งซึ่งไม่เคยออกลูกมาเลยนับสิบปี

วันหนึ่ง พระท่านกวาดขยะและเผาขยะ บังเอิญไฟลามไปจนสุมโคนของต้นลำไย

ปรากฎว่าปีนั้นต้นลำไยออกลูกอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะด้วยสัญชาตญาณแห่งการมุ่งจะสืบต่อสายพันธุ์เอาไว้ให้เผล็ดผล


หนังสือเล่มหนึ่งที่เคยโด่งดังมากเมื่อ 8 ปีที่แล้ว มีชื่อว่า ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี ของนายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ

ผู้เขียนบอกว่า การปล่อยตัวเองให้ท้องหิว จะทำให้ growth hormone หลั่ง ทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและมีหน้าตาอ่อนกว่าวัย

ช่วงนี้มีคนหันมาทำ IF หรือ Intermittent Fasting กันมากขึ้น หลายคนบอกว่าทำแล้วมีสมาธิกับการทำงานมากกว่าเดิม คิดอะไรได้ชัดเจน


Neil Pasricha ผู้เขียนหนังสือ The Happiness Equation เคยเขียนไว้ว่า สองปีที่อันตรายที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือปีที่เกิด กับปีที่เกษียณ

ปีที่เกิดนี่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะทารกเป็นสิ่งเปราะบาง ต้องการการดูแลประคบประหงม

แต่ปีที่เกษียณก็อันตรายเช่นกัน เพราะหากเกษียณแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีเหตุผลของการตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็น depression หรือโรคอื่นๆ ได้

แม้เทคโนโลยีจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายให้มนุษย์ แต่สุดท้ายแล้วพวกเราอาจ “ถูกสาป” ไม่ให้สบายจนเกินไป เพราะมันจะทำให้เราอ่อนแอและไร้ชีวิตชีวา

เราอาจเป็นเหมือนต้นลำไย ที่จำเป็นต้องมีไฟมาสุมโคนบ้างเป็นครั้งคราวครับ

คนอื่นคิดถึงเราน้อยกว่าที่เราคิด

ในปี 2000 นักจิตวิทยาชื่อ Thomas Gilovich และคณะได้ทำการทดลองให้นักศึกษาใส่เสื้อยืดที่มีรูปนักร้องเชยๆ อย่าง Barry Manilow ไปเข้าคลาสเรียน จากนั้นทีมงานก็ให้นักศึกษาประเมินว่ามีเพื่อนในห้องเห็นเขาใส่เสื้อยืดตัวนี้กี่คน ผลก็คือนักศึกษาส่วนใหญ่ประเมินตัวเลขสูงเกินจริง

ในอีกการทดลองหนึ่ง นักวิจัยให้นักศึกษาเลือกเสื้อยืดที่มีรูปคนเท่ๆ (สำหรับยุคนั้น) เช่น Bob Marley, Martin Luther King หรือ Jerry Seinfeld และผลก็ออกมาเหมือนเดิม คือนักศึกษาประเมินจำนวนเพื่อนที่สังเกตเห็นว่าเขาใส่เสื้อยืดสุดคูลมากเกินความเป็นจริง

นักวิจัยเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Spotlight Effect – เราจะ overestimate ความสนอกสนใจที่คนอื่นมีต่อเราเสมอ ไม่ว่าจะเชิงบวกหรือเชิงลบ


Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money มักจะพูดอยู่เสอมว่า

“No one is impressed with your possessions as much as you are. Nobody is thinking about you as much as you are. They are only thinking about themselves.”

ไม่มีใครประทับใจกับทรัพย์สมบัติของเราเท่าตัวเราเอง ไม่มีใครคิดถึงเราเท่าตัวเราเอง เพราะแต่ละคนก็เอาแต่คิดถึงตัวเองทั้งนั้น

มันทำให้ผมนึกถึง “กฎ 20-40-60”

ตอนอายุ 20 คุณกังวลว่าคนอื่นคิดกับคุณยังไง

ตอนอายุ 40 คุณไม่แคร์ว่าคนอื่นคิดกับคุณยังไง

ตอนอายุ 60 คุณเพิ่งเข้าใจว่าไม่มีใครคิดถึงคุณตั้งแต่แรกแล้ว

คนอื่นคิดถึงเราน้อยกว่าที่เราคิดครับ


ขอบคุณเนื้อหา Spotlight Effect จากหนังสือ The Human Mind: A Brief Tour of Everything We Know by Paul Bloom