เรื่องเล่าสามเรื่องนี้ผมอ่านมาจากหนังสือสามเล่มเมื่อนานมาแล้ว
เรื่องแรกเป็นของพนักงานขายทางโทรศัพท์ที่มีผลงานดีที่สุดในบริษัท
เคล็ดลับของเขานั้นเรียบง่ายมาก ทุกเช้าวันทำงานที่เขามานั่งที่โต๊ะ จะมีแก้วอยู่สองใบ ใบหนึ่งมีคลิปหนีบกระดาษอยู่ 50 ชิ้น อีกใบหนึ่งเป็นแก้วเปล่า
จากนั้นเขาก็จะยกหูโทรคุยกับลูกค้า เมื่อวางสาย ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ เขาจะหยิบคลิปหนีบกระดาษจากแก้วที่เต็มไปใส่ในแก้วเปล่า
เขาจะไม่เลิกทำงาน จนกว่าจะย้ายคลิปหนีบกระดาษครบทั้ง 50 ชิ้น ซึ่งหมายความว่าเขาได้โทรศัพท์หาลูกค้าครบ 50 สายแล้วนั่นเอง
เรื่องเล่าที่สอง เป็นเรื่องราวจากร้านกาแฟเจ้าดังแบรนด์หนึ่งในเมืองนอก
เด็กที่มาเริ่มทำงานวันแรกโดนลูกค้าตำหนิจนร้องไห้
พนักงานทุกคนในร้านจะมียูนิฟอร์มที่เป็นผ้ากันเปื้อนอยู่แล้ว
รุ่นพี่ที่อยู่มาก่อน จึงเดินเข้าไปหารุ่นน้อง จับผ้ากันเปื้อนที่ลูกน้องใส่อยู่ แล้วพูดว่า
“ให้จินตนาการว่าผ้ากันเปื้อนนี้คือเกราะกำบังของเรา เมื่อเราใส่ผ้ากันเปื้อนนี้แล้ว คำพูดของใครก็จะทำอะไรเราไม่ได้”
เรื่องเล่าที่สาม มาจากหนังสือ What I Wish I Knew When I Was 20
อาจารย์ให้การบ้านนักศึกษาให้ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง
นักศึกษากลุ่มหนึ่งผุดไอเดีย “ยางลงมือทำ”
ยางลงมือทำมีหน้าตาเหมือน wristband ทั่วไป โดยมีหลักการใช้งานดังนี้
สวมยางไว้ที่ข้อมือ แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ถอดมันออกเมื่อทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว
บันทึกความสำเร็จลงในเว็บไซต์ของโครงการ
ส่งต่อยางลงมือทำให้คนอื่น
ต้องขออภัยที่ผมจำที่มาของสองเรื่องแรกไม่ได้ เนื้อหาที่เล่าจึงอาจไม่ได้ตรงตามต้นฉบับนัก แต่หวังว่าคุณผู้อ่านจะพอเห็นภาพ
ในวันที่เราทำทุกอย่างบนคอมพิวเตอร์และมือถือ อะไรๆ ก็เป็น digital ไปเกือบหมด ในแง่หนึ่งก็สะดวกและรวดเร็ว แต่มันอาจจะทำให้เราอยู่แต่กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้มากไปหน่อย
ผมจึงคิดว่าไม่ใช่การเสียหายที่จะลองคิดใช้ประโยชน์จากสิ่งที่จับต้องได้
เช่นอาจจะใช้สมุดหรือกระดาษในการทำ To Do List ของแต่ละวัน แทนที่จะเปิดดูเอาจากแอป
หรือาจจะเขียนโน้ตขอบคุณ แทนที่จะส่งไลน์หรือ Slack ไปหา
ลองนำไอเดียนี้ไปปรับใช้ตามที่เห็นว่าเหมาะสมนะครับ
