ไอน์สไตน์กล่าวไว้ไม่ผิด

20200721

มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความสุข

สิ่งที่เราทำอยู่ทุกๆ วันนี้ก็เพราะว่าเราต้องการความสุข

เรียนจบแล้วจะมีความสุข มีแฟนสวยแล้วเราจะมีความสุข มีงานดีแล้วจะมีความสุข มีรถขับแล้วจะมีความสุข

แอปทั้งหลายแหล่ ธุรกิจต่างๆ ล้วนถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์มีชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยหวังว่าเมื่อชีวิตดีขึ้นแล้ว สะดวกสบายขึ้นแล้ว เราจะมีความสุขมากขึ้น

แต่ไม่ว่าเราจะได้อะไรมา ไม่ว่าเราจะมีแอปกี่ตัว ความสุขของเราก็จะกลับมาอยู่ที่ 7/10 อยู่ดี

แล้วเราก็ยังหวังอีกว่า ถ้าเราได้ …. (เติมคำในช่องว่าง) เราจะมีความสุขระดับ 9 หรือ 10 เต็ม 10 แน่นอน

ไอน์สไตน์จึงกล่าวไว้ไม่ผิด* ว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วหวังว่าผลลัพธ์จะต่างจากที่เคย

Insanity is doing the same thing over and over again and expecting a different result.

ตั้งสติให้ดี ดูว่ามีสิ่งใดที่เรายังไม่เคยทำบ้าง แล้วลองทำสิ่งนั้นดู

เผื่อว่ามันจะนำความสุขมาให้เราได้จริงๆ เสียทีครับ

—–

* ผมก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าจริงๆ แล้วไอน์สไตน์ไม่เคยกล่าวประโยคนี้เลย จึงขอใช้รูปไอน์สไตน์ตัวปลอม อ่านรายละเอียดได้ที่ Quote Investigator ครับ

ถ้ารู้ตัวว่ากำลังอู้งาน

20200720

ลองเปลี่ยนที่นั่งทำงานดู

เพราะคนเราเป็นผลผลิตแห่งความเคยชิน

สภาพแวดล้อมจะเป็นเหมือนผู้กำกับที่คอยให้คิวการแสดงกับเรา

ทั้งสิ่งที่เราเห็น เสียงที่เราได้ยิน กลิ่นที่เราสัมผัส

เมื่อผู้กำกับยังเป็นคนเดิม เราจึงแสดงได้แต่บทเดิมๆ

แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเสียใหม่ เราจะได้ผู้กำกับคนใหม่ที่พร้อมจะฟังนักแสดงมากขึ้น

มีน้องคนนึงในทีมตั้งใจจะเขียนบล็อกลง Life@Wongnai ทำอยู่หลายสัปดาห์ก็เขียนไม่จบเพราะมีคนมาคอยขัดจังหวะตลอด ผมเลยบอกว่างั้นเช้านี้ให้เข้าไปนั่งเขียนในห้องประชุม ถ้าเขียนดราฟท์แรกไม่เสร็จห้ามออกมา

แล้วภายในเวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เธอก็เขียนบทความจบจนได้ แถมยังเป็นบทความที่มีคนอ่านติด Top 10 ของ Life@Wongnai อีกด้วย

ถ้ารู้ตัวว่ากำลังอู้งาน ลองเปลี่ยนที่นั่งทำงานดูครับ

(แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วอู้กว่าเดิม ก็แสดงว่าเลือกที่นั่งผิดนะครับ)

7 เคล็ดลับสำหรับยอดนักขาย

20200719

วันก่อนผมอ่านเจอคำแนะนำการเป็นนักขายที่ดีของ Colin Dowling ชอบมาก เลยอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนครับ

1. การขายก็เหมือนกับการเล่นกอล์ฟ เราอาจทำให้มันยากเสียจนทำอะไรไม่ถูก หรือไม่ก็แค่เดินไปที่แท่นแล้วก็หวดลูกกอล์ฟ ผมดูแลทีมเซลส์มาเกือบ 20 ปีและคำแนะนำของผมก็คือจงเดินไปที่แท่นแล้วก็หวดลูกกอล์ฟซะ

2. การขายเป็นเรื่องของคนและเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ solutions หรือเทคโนโลยี หรือการเขียนโค้ดเลย มันเป็นเรื่องของคนและเรื่องการแก้ปัญหาล้วนๆ

3. คนเราซื้อแค่ 4 อย่าง – ย้ำว่าแค่ 4 อย่างนี้เท่านั้น – เวลา เงิน เซ็กส์ และการถูกยอมรับ/ความสบายใจ ถ้าคุณพยายามจะขายอะไรนอกเหนือไปจากนี้คุณจะล้มเหลว

4. คนจะซื้อยาพาราเซตามอลเสมอ คนจะซื้อวิตามินแค่บางเวลาเท่านั้น แถมยังคาดเดาไม่ได้ด้วยว่าจะซื้อเมื่อไหร่ จงขายยาพารา

5. เวลาผมไปบรรยายผมจะพูดเสมอว่า “ถ้าทุกอย่างเท่ากัน (ราคา,คุณภาพ) คนจะซื้อจากเพื่อนตัวเอง” ดังนั้นจงทำให้ทุกอย่างทัดเทียมกับคู่แข่ง จากนั้นก็ออกไปสร้างเพื่อนให้เยอะๆ

6. สิ่งเดียวที่จำเป็นต่อการการขายคือเราต้องทำตัวให้มีประโยชน์ ใครติดอะไรก็จงช่วยเหลือเขา อ่านเจออะไรดีๆ ก็ส่งให้เขาอ่าน เขียนการ์ดวันเกิด อัดไอเดียการสร้างความเจริญเติบโตลงวีดีโอแล้วส่งให้เขาดู แนะนำคนให้ได้รู้จักกัน จากนั้นก็ถอยฉากออกมาโดยไม่ต้องไปคาดหวังอะไร ถ้าคุณทำอย่างนี้เป็นประจำและด้วยความจริงใจ ผมสัญญาว่าผู้คนจะหาทางเอาเงินมาให้คุณเอง

7. ไม่มีใครสนใจเรื่องเป้าของคุณ หรือเรื่องเงินเดือนของคุณ หรือเรื่องค่าใช้จ่ายของคุณ ฯลฯ ไม่มีใครสนเลย เขาสนแค่ว่าคุณจะแก้ปัญหาให้เขายังไงได้บ้าง

โลกใบนี้มีเงิน 100 ล้านล้านดอลลาร์หมุนเวียนอยู่ รอให้คุณเข้าไปดอมดม ขอให้คุณโชคดี

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก James Clear: 3-2-1: On learning from mistakes, complaining, and getting better at sales

วิธีทำลายความฝันให้หมดจด

20200718

พี่เมฆ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท Index Creative Village เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ a day BULLETIN เมื่อปี 2555 ว่า

“เราไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่าง 100% เช่น เราเป็นคนชอบสะสมกีตาร์เบส เราเห็นกีตาร์ตัวหนึ่ง เราก็อยากได้ ไปตามหาหลายประเทศมาก ซึ่งในที่สุดก็ได้มา พอได้มามันก็จบ และมองหาตัวอื่นต่อเป็นตัวที่สาม คิดไปคิดมาก็บอกตัวเองว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องซื้อ มีสองตัวรุ่นเดียวกันก็เยอะพอแล้ว จะไปมีทำไมเป็นตัวที่สาม ในอีกแง่หนึ่งก็บอกตัวเองว่า นี่มันคืออีกสิ่งหนึ่งที่ตามหามาทั้งโลกเลยนะ สุดท้ายก็ติดสินใจว่าไม่เอาก็ได้ ความสุขมันอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า ตรงที่เราเป็นคนเลือกที่จะเอาหรือไม่เอามันด้วยตัวเอง คือเรากลายเป็นคนเลือก เราไม่ได้เป็นทาสของมัน…การเอาชนะตัวเองด้วยการไม่ซื้อมันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ประมาณว่า เห็นไหม กูมีปัญญา แต่กูไม่ซื้อมึง มึงก็รอของมึงต่อไป จนทุกวันนี้ผมหยุดซื้อกีตาร์มาเป็นปีแล้ว เบื่อ เพราะบางครั้งซื้อมาก็ไม่ได้เล่น แต่ถึงยังไงผมก็ยังเหมือนเดิมตรงที่ไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็ต้องไปร้านกีตาร์ ไปยืนดู ไปดมกลิ่น มีความสุข ซื้อไม่ซื้อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

—–

เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมได้ไปเที่ยวเกียวโตกับแฟน และได้ไปทานร้านซูชิสายพานชื่อ Musashi ที่อยู่ตรงสถานีรถไฟเกียวโต ร้านนี้เป็นร้านดังใน Tripadvisor ต้องต่อคิวราวครึ่งชั่วโมงถึงจะได้กิน ผมตื่นตาตื่นใจมากเพราะซูชิจานละสองคำราคาแค่ไม่กี่สิบบาทแถมยังคุณภาพดีกว่าซูชิที่เคยได้กินที่เมืองไทย วันนั้นผมน่าจะซัดไปไม่น้อยกว่า 40 คำ เป็นมื้ออาหารที่ฟินมากๆ และบอกตัวเองกับแฟนว่าถ้าได้กลับมาเกียวโตอีกจะต้องมาซ้ำร้านนี้ให้ได้

กลับมาได้ไม่นานเราก็แต่งงาน แล้วแฟนก็ตั้งท้อง แล้วเราก็มีลูกสองคน จึงไม่ได้เดินทางไปไหนไกลๆ เลย ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าร้าน Musashi จะไม่ปิดไปเสียก่อน

เมื่อปีที่แล้ว เมื่อลูกเราโตพอที่จะฝากคนอื่นช่วยดูได้ เราจึงตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่นกันสองคน และคราวนี้เราใช้เกียวโตเป็นฐานที่มั่น จองโรงแรมใกล้สถานีเกียวโต 7 คืนรวด แน่นอนว่านอกจากเรื่องเดินทางสะดวกแล้ว ก็เพราะจะได้เดินมากินร้าน Musashi ตอนไหนก็ได้ แฟนบอกผมว่าอนุญาตให้กินเท่าไหร่ก็ได้ จะมาซ้ำสองสามรอบก็ได้ตามที่ต้องการ

วันที่เรากลับไปร้าน Musashi ตอนนั้นเวลาเพิ่ง 11 โมง คิวยังไม่ยาวมาก รอแค่ 10 นาทีก็ได้เข้าไปนั่งแล้ว บรรยากาศยังคึกคักเหมือนเดิม เราสองคนได้ไปนั่งเกือบสุดสายพาน สั่งซูชิมาหลายรูปแบบตามที่ใจอยาก

แต่ปรากฎว่าคราวนี้มันไม่ฟินเหมือนอย่างที่เคย

ตอนที่มากินมูซาชิครั้งแรก เมืองไทยยังมีแค่ร้านญี่ปุ่นแบบเชนอย่าง Zen และ ฟูจิ อยู่เลย ส่วนร้านแบบ stand alone ก็มักจะราคาแพงจนเอื้อมไม่ถึง พอได้กินที่ Musashi จึงรู้สึกว่าปลาคุณภาพดีกว่าที่เราเคยกิน แถมราคาก็ถูกกว่ามาก จึงได้ความประทับใจกลับไปเต็มกระเป๋า

แต่หลายปีที่ผ่านมา ร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดใหม่เยอะมาก ราคาก็ถูกลง ผมเลยมีโอกาสได้กินอาหารญี่ปุ่นคุณภาพดีอยู่เรื่อยๆ พอได้มากินซูชิของ Musashi เป็นครั้งที่สอง มันก็เลยไม่ว้าวอีกต่อไปแล้ว จริงๆ ต้องบอกว่าหลายจานอร่อยสู้ที่เมืองไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ

ความไม่ว้าวนี้เองที่ทำให้ผมไม่ได้กลับไปซ้ำ Musashi เป็นครั้งที่สาม แม้ว่าจะพักอยู่ใกล้ร้านแบบเดิน 10 นาทีถึงอยู่ถึง 1 สัปดาห์เต็ม

ความฝันที่ผมพกพามันไว้มาตลอด 7 ปีสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้

—–

Mark Mansion ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ Everything is F*cked, A Book About Hope ว่า

In this sense, success is in many ways far more precarious than failure. First, because the more you gain the more you have to lose, and second, because the more you have to lose, the harder it is to maintain hope. But more important, because by experiencing our hopes, we lose them. We see that our beautiful visions for a perfect future are not so perfect, that our dreams and aspirations are themselves riddled with unexpected flaws and unforeseen sacrifices.

Because the only thing that can ever truly destroy a dream is to have it come true.

วิธีทำลายความฝันให้หมดจด คือการทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา…

Life coach หลายคนบอกว่า เราต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึง เราฟังแล้วเราก็กังวลว่าแล้วถ้าไปไม่ถึงล่ะมันจะไม่เหนื่อยเปล่าหรือ

แต่ในความเป็นจริง แม้จะไปถึงสิ่งที่เราตั้งไว้ มันก็ยังมีปัญหาอยู่ดี หนึ่งคือมันไม่ได้ฟินอย่างที่เราเคยคิด สองคือเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วเราก็เหมือนสูญเสียเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเราที่เป็นเหมือนดาวเหนือนำทางมาโดยตลอด สาม เราก็เลยต้องหาฝันที่ใหญ่และยากกว่าเดิมต่อไป กลายเป็นหนูถีบจักรที่เหนื่อยหนักกว่าเดิม

เมื่อรู้ดังนี้ บางทีเราจึงควรให้ความสำคัญกับการได้เดินสู่เป้าหมายมากกว่าการบรรลุเป้าหมายด้วยซ้ำไป

ฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขกับการเดินทาง โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหรือร้อนรนเพื่อไปให้ถึงปลายทางครับ

—–

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการค้นหาสิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริง มีขายที่ whatisitpress.com ครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room/

นิทานเพื่อนรัก

20200717

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ชายสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาก คนหนึ่งชอบทำความดีเป็นนิสัย แต่อีกคนชอบทำบาปเป็นอาจิณ

ต่อมาทั้งสองตายลงในเวลาใกล้เคียงกัน คนที่ชอบทำบุญได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ เมื่อได้เสวยทิพยสุขพอสมควรแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนของตนว่าไปอยู่ที่ไหน เขาเพ่งดูด้วยตาทิพย์ จึงรู้ว่าเพื่อนของตัวเองไปเกิดเป็นหนอนที่ส้วมของวัด

เขาจึงลงจากสวรรค์มาปรากฏตัวที่ส้วม และดลใจเพื่อนเก่าให้จำได้ สหายทั้งสองทักทายกันด้วยความยินดี หลังจากถามข่าวคราวเสร็จสิ้น สหายผู้เป็นเทวดาจึงกล่าวขึ้นว่า

“เพื่อนเอ๋ย ฉันสงสารแกเหลือเกินที่ต้องมาเกิดเป็นหนอน กินนอนอยู่ในอุจจาระอันแสนสกปรกโสมมนี้ มาเถิดเพื่อน อย่าอยู่ที่นี่เลย ไปอยู่สวรรค์กับเราเถิด”

“ขอบคุณเพื่อนมากที่ปรารถนาดีกับเรา แต่บอกหน่อยได้ไหมว่า สวรรค์ของนายนั้นดีอย่างไร”

ฝ่ายเพื่อนเทวดาจึงสาธยายความวิเศษของเมืองสวรรค์ รวมทั้งความสะดวกสบายในทุกเรื่องให้หนอนฟัง

“สวรรค์ของนายฟังดูก็น่าอยู่ดี แต่ถามหน่อย ในสวรรค์มีขี้กินไหม”

“ไม่มี” เทวดาตอบอย่างงงๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็สู้ที่นี่ไม่ได้ ที่นี่มีอาหารการกินบริบูรณ์ ถึงเวลาก็ตกลงมาเองจากเบื้องบน เชิญนายตามสบายเถอะ เราขออยู่ที่นี่ต่อไปดีกว่า”

—–

ขอบคุณนิทานจากเพจนิทานเซน