
ปัญหาของเขาก็เป็นปัญหาของเขา
ชีวิตจะเริ่มวุ่นวายเมื่อเราเอาปัญหาของเราไปเป็นปัญหาของคนอื่น หรือเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของเรา
คนที่เอาปัญหาของเราไปเป็นปัญหาของคนอื่น ก็คือคนที่พอเกิดปัญหาอะไรแล้วชอบโทษนู่นโทษนี่
โทษว่าเพื่อนร่วมงานไม่น่ารัก โทษว่าหัวหน้าใช้ไม่ได้ โทษว่าโชคร้าย โทษว่ามีแต่คนรังแก
อันนี้เรียกว่าเป็น victim’s mindset คือมองตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งคนไม่น้อยเป็น เพราะว่าไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องสบตากับความจริงว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตอนนี้เราล้วนมีส่วนเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งนั้น
ส่วนคนที่เอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของเราก็เช่นคนที่เดือดเนื้อร้อนใจไปกับข่าวดราม่าต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องชาวบ้าน เรื่องดารา หรือเรื่องนักการเมือง เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันกระตุ้นต่อมศีลธรรมของเราให้พองโตได้ดียิ่งนัก เราจึงเมามันไปกับการแสดงความเห็นทั้งบนโต๊ะกินข้าวและในช่องคอมเมนท์ตาม social network
ประเด็นก็คือความเห็นเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลี่คลาย หรือทำให้ชีวิตของตัวเอกในข่าวดีขึ้นแต่ประการใด
ในภาษาของพี่ต่อ ฟีโนมีน่า การกระทำอย่างนี้เรียกว่า “ไม่สร้างการผลิต”
อีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่เอาปัญหาคนอื่นมาเป็นปัญหาของตัวเอง ก็คือคนที่ชอบโทษว่าตัวเองผิดเวลาที่คนอื่นมีปัญหา
“แฟนกำลังเครียดกับเรื่องงาน เดี๋ยวเราร่อนเรซูเม่หางานใหม่ให้แฟนดีกว่า”
“เพื่อนร่วมงานคนนี้ดูเศร้าๆ ต้องเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้ชวนเธอคุยแน่เลย”
“ลูกเพื่อนเซลฟี่ขึ้นเฟซบ่อยจัง เมสเสจไปเตือนหน่อยดีกว่า”
ดูแล้วเหมือนปรารถนาดี แต่จริงๆ ภายใต้ความคิดเหล่านี้ เราอาจกำลังมองว่าตัวเองเป็นฮีโร่ที่ต้องคอยเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น และเมื่อทำสำเร็จเราก็จะได้รับการยอมรับและความรักกลับคืนมา
ไม่ได้จะบอกว่าเราต้องเป็นคนไม่มีน้ำใจและนิ่งดูดายนะครับ เพียงแต่ต้องมองให้ออกว่าเจตนาที่แท้จริงของเราคืออะไร ถ้าจะช่วยก็เพื่อจะช่วยจริงๆ ไม่ใช่ช่วยเพื่อให้เราได้อะไรบางอย่าง
อย่าเอาปัญหาของเราไปเป็นปัญหาของเขา เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
อย่าเอาปัญหาของเขามาเป็นปัญหาของเรา เพราะเวลามีจำกัด และทุกคนต่างมีวิบากเป็นของตัวเองครับ