คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษ

20171019_justice

แต่ถ้าเราทำผิด เราสมควรได้รับความเห็นใจ

“When someone wrongs us, we want the maximum amount of punishment. But when we do wrong, we want the maximum amount of understanding and forgiveness.”
— someone on Humans of New York

เพราะคนเรามีสามมาตรฐาน

มาตรฐานที่ใช้กับคนอื่น มาตรฐานที่ใช้กับคนใกล้ตัว และมาตรฐานที่ใช้กับตัวเอง

พอเราเห็นข่าวนักการเมืองทำไม่ดี เราจึงไม่รีรอที่จะตำหนิ แต่พอเราทำไม่ดีบ้าง เราจะบอกตัวเองว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน”

ปีที่ผ่านมา เราเห็นผู้นำชุมนุมทางการเมืองของหลายฝ่ายถูกพิพากษาว่าทำความผิด ต้องชดใช้ค่าเส่ียหายทั้งในด้านตัวเงินและอิสรภาพ

ถ้าเราฝักใฝ่ฝ่ายใด เราจะมองว่ามันเป็นเรื่องสมควรแล้วที่อีกฝ่ายได้รับการลงโทษ แต่การที่ฝ่ายเราต้องโดนลงโทษด้วยนั้นเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราสู้เพื่อความถูกต้อง

แต่ทุกคนก็คิดว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องทั้งนั้น

และถึงจะรู้ตัวว่ามันไม่ค่อยถูกต้อง เราก็ยังหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของเราได้อยู่ดี

“When someone wrongs us, we want the maximum amount of punishment. But when we do wrong, we want the maximum amount of understanding and forgiveness.”

ถ้านิทานเรื่องนี้พอจะสอนอะไรได้บ้าง ก็คงเป็นความตระหนักที่ว่าเรามักจะเข้มงวดกับคนอื่นและผ่อนปรนกับตัวเองเสมอ

ครั้งหน้าถ้าเจอใครทำอะไรไม่ถูกต้องอีก ก่อนจะเอ่ยคำประณาม ลองใช้โอกาสนี้กลับมาสำรวจตัวเองก็น่าจะดีนะครับ

เคล็ดลับความก้าวหน้าเหนือคนอื่น

20171018_gettingahead

คือการเริ่มต้น

“The secret of getting ahead is getting started.”
-Mark Twain

จริงๆ แล้วชีวิตก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย

หิวก็กิน อิ่มก็พัก ง่วงก็นอน

ถ้าอยากก้าวหน้า ก็แค่ต้องเริ่มต้น

ถ้าอยากก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่น ก็แค่ต้องเริ่มต้นให้เร็วกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด

เพราะคนส่วนใหญ่เอาแต่คิด ไม่ได้เริ่มทำซักที

ตอนที่ผมเริ่มเขียนบล็อกเมื่อสองปีที่แล้ว ผมยังรู้สึกเลยว่าน่าจะเริ่มเร็วกว่านี้ บล็อกเกอร์คนอื่นๆ เขาไปถึงไหนกันแล้ว

แต่เพียงเริ่มต้น และทำมันอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถเขียนบล็อกครบ 1,000 ตอนและมีหนังสือของตัวเองได้

เพราะฉะนั้นไม่มีการเริ่มต้นที่สายเกินไป

มีแต่จะเริ่มหรือไม่เริ่มเท่านั้นเอง

ไม่มีความจำเป็นอันใด

20171017_benotyourself

ที่จะต้องเป็น “เราคนเดิม” กับเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว

“You’re under no obligation to be the same person you were 5 minutes ago”
– Alan Watts

เราถูกสั่งสอนมานานว่า “จงเป็นตัวของตัวเอง”

แต่บางครั้ง ถ้าเราอยากจะเติบโต เราก็ต้องยอมที่จะ “ไม่เป็นตัวของตัวเอง” เสียบ้าง

ถ้าอยากรู้จักน้องคนนั้น ก็ต้องยอมละทิ้งความเป็นคนขี้อายแล้วเดินเข้าไปหา

ถ้าอยากจะหุ่นดีกว่านี้ ก็ต้องยอมหยุดเป็นคนที่เอาแต่นอนดูทีวี-กินอาหารขยะ

ถ้าอยากจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็ต้องยอมหยุดเป็นคนติดเฟซบุ๊คและทำงานแบบคนสมาธิสั้น

ในทางพุทธศาสนา ตัวตนที่แท้นั้นไม่มี

จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่ถ้าเราใช้ความเชื่อนี้ให้เป็นประโยชน์ เราก็จะสามารถ “เปลี่ยนตัวเอง” ได้ในเสี้ยววินาที

แค่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนอย่างเด็ดเดี่ยว ทัศนคติของเราก็จะเปลี่ยนไป

เมื่อทัศนคติเปลี่ยน การกระทำก็เปลี่ยน

และเมื่อเวลาได้ทำหน้าที่ของมัน ชีวิตของเราก็ย่อมเปลี่ยนตาม

บางทีชีวิตก็ยากเกินกว่าจะอยู่คนเดียว

20171016_toogoodtobealone

และบางทีชีวิตก็ดีเกินกว่าจะอยู่คนเดียว

“Sometimes life is too hard to be alone, and sometimes life is too good to be alone.”
-Elizabeth Gilbert

ในประวัติศาสตร์ 200,000 ปีของมนุษย์เผ่าพันธุ์ Home Sapiens นั้น เราใช้เวลา 190,000 ปีแรกไปกับการหาอยู่หากินแบบล่าสัตว์และเก็บพืชผล (hunter-gatherers) ซึ่งบังคับให้มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหลักสิบหลักร้อยเพื่อจะช่วยกันออกล่าเหยื่อและดูแลความปลอดภัยซึ่งกันและกัน

ถ้ามนุษย์ในอดีตคนไหนเข้ากลุ่มไม่ได้ มนุษย์คนนั้นก็มีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก และยีนส์ของมนุษย์ไร้เพื่อนผู้นั้นก็จะไม่ถูกส่งต่อมายังรุ่นต่อไป ส่วนมนุษย์คนไหนที่เข้ากับเพื่อนได้ดีก็มีโอกาสรอดชีวิตสูงและส่งต่อยีนส์มาให้คนรุ่นต่อๆ ไป

มนุษย์จึงเป็นสัตว์สังคมโดยดีเอ็นเออยู่แล้ว

แม้กระทั่งคนที่เราเห็นว่าเงียบๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน ผมก็เชื่อว่าเขาก็ยังมีสังคมของเขา เช่นในโลกออนไลน์เป็นต้น

เมื่อวิวัฒนาการสร้างให้มนุษย์จำเป็นต้องมีพวกพ้อง จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว เพราะเรากำลังทำอะไรที่ผิดธรรมชาติอยู่

ในวันที่เราอ่อนแอ ในวันที่ชีวิตเราตกต่ำ เราล้วนต้องการใครซักคนที่จะคอยให้กำลังใจหรืออย่างน้อยก็รับฟังเราก็ยังดี

และในวันที่เราประสบความสำเร็จ พิชิตความฝันของเราได้ ความรู้สึกมันคงไม่ฟินเท่าไหร่นักหากไม่มีใครซักคนมาร่วมชื่นชมกับเราด้วย

“Sometimes life is too hard to be alone, and sometimes life is too good to be alone.”

ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องหาคู่นะครับ

เพียงแต่อยากเตือนว่าอย่าละเลยความสัมพันธ์ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้องหรือเพื่อนที่เคยคบกันเท่านั้นเอง

กฎความสำเร็จ 11 ข้อของแอปเปิล

20171015_applelawsofsuccess

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Huxley Dunsany อดีตพนักงานของ Apple ได้ถ่ายรูปด้านหลังบัตรพนักงานของเขาและเขียนลงเว็บ Reddit ว่า

“When I was hired by Apple in 2004, these “rules for success” were attached to the back of my employee badge. Words to live by.”

“ตอนที่แอปเปิลรับผมเข้าทำงานในปี 2547 กฎแห่งความสำเร็จเหล่านี้ติดอยู่ด้านหลังบัตรพนักงานของผม มันคือสิ่งที่เราควรปฏิบัติตามทุกวันเลยนะ”

ในปี 2547 นั้นแอปเปิลยังไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ Steve Jobs เพิ่งกลับเข้ามารับตำแหน่ง CEO ได้ 7 ปี iPod mini เพิ่งวางตลาด และโปรเจ็ค iPhone กำลังตั้งไข่ (่ก่อนจะเปิดตัวในอีก 3 ปีต่อมา)

ในรูปภาพ เราจะเห็นคำจั่วหัวว่า “JB’s Rules for Success” แว้บแรกนึกว่า JB จะย่อมาจาก Jobs แต่แท้จริงแล้วเป็นชื่อย่อของ John Brandon ซึ่งเป็น Vice President ฝ่าย Sales

นี่คือกฎความสำเร็จ 11 ข้อที่ติดอยู่หลังบัตรพนักงานคนนั้นครับ

– Let go of the old, make the most of the future
– ละทิ้งสิ่งเดิมๆ และใช้ประโยชน์จากอนาคตให้คุ้มค่าที่สุด

– Always tell the truth, we want to hear the bad news sooner than later
– พูดความจริงเสมอ บอกข่าวร้ายเร็วๆ ดีกว่ามาบอกกันทีหลัง

– The highest level of integrity is expected, when in doubt, ask
– ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าไม่แน่ใจให้ถาม

– Learn to be a good businessperson, not just a good salesperson
– อย่าเป็นเพียงนักขายที่ดี ต้องเป็นนักธุรกิจที่ดีด้วย

– Everyone sweeps the floor
– ทุกคนต้องพร้อมที่จะกวาดพื้น (ไม่มีงานไหนต่ำเกินไป)

– Be professional in your style, speech and follow-up
– เป็นมืออาชีพทั้งเรื่องวิธีการ การพูดการจา และการติดตามผล

– Listen to the customer, they almost always get it
– จงฟังลูกค้า ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเข้าใจนะว่าอะไรเป็นอะไร

– Create win/win relationships with our partners
– สร้างความสัมพันธ์แบบ win/win กับพันธมิตรของเรา

– Look out for each other, sharing information is a good thing
– คอยสอดส่องดูแลกัน การแบ่งปันข้อมูลเป็นเรื่องดี

– Don’t take yourself too seriously
– อย่าเอาเป็นเอาตายกับตัวเองมากนัก

– Have fun, otherwise it’s not worth it
– สนุกกับมัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่คุ้มกันหรอก

แม้กฎเหล่านี้จะไม่ได้มาจาก Steve Jobs โดยตรง แต่ผมก็เชื่อว่ามันคือสิ่งที่พนักงาน Apple จำนวนไม่น้อยปฏิบัติตาม และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Apple กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก CNBC This former Apple employee shares the ‘rules for success’ the company gave him when he worked there 

ขอบคุณภาพจาก imgur by wowbobwow