ไม่รู้ปุ่มหยุด

20170331_play_stop

ถาม: การเปลี่ยนชีวิตมาเป็นพระสงฆ์ เป็นการตัดสินใจฉับพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป
ตอบ: ค่อยเป็นค่อยไป อาตมาสนใจธรรมะมานานเป็นสิบปีแล้ว ขนานไปกับการทำงาน ซึ่งการทำงานโฆษณานี่ ถ้าเราไม่ดูแลจิตใจตัวเอง เราจะอยู่ไม่ได้ หลายคนในวงการนี้รู้ปุ่มไปแต่ไม่รู้ปุ่มหยุด อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนั้น จริงๆ ทุกอาชีพนั่นแหละ

– จิตร์ จิตตสังวโร
GQ Magazine Thailand 
เรื่อง: แป้งร่ำ
ภาพ: แสงอรุณ จำปาวัน
31/01/2017


สมัยทำงานอยู่ที่ทอมสันรอยเตอร์ มักจะมีผู้บริหารชาวต่างชาติแวะมาเยี่ยมเยือนและเล่าให้เราฟังว่าศักยภาพของโปรดักท์ของเราก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว

หนึ่งในตลาดที่ทอมสันรอยเตอร์เป็นผู้เล่นหลัก คือการส่งข้อมูลราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเงิน

ในตลาดนี้ เราจะแข่งกันว่าใครจะสามารถส่งข้อมูลถึงลูกค้าได้เร็วกว่ากัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนวัดกันเป็นวินาที สามสี่ปีหลังแข่งกันเป็น milliseconds (1 ใน 1000 ของวินาที) และเดี๋ยวนี้เขาวัดความเร็วกันเป็น microseconds หรือ 1 ใน 1,000,000 ของวินาทีแล้ว

ผมยกมือถามเขาว่า การแข่งกันเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี่มันจะพาเราไปสู่จุดไหนเหรอ

เขาก็ตอบว่า

“I really don’t know. Scary isn’t it.”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน น่ากลัวมั้ยล่ะ”


สัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างขับรถไปทำงาน ผมได้ฟังพอดคาสท์ Hardcore History เกี่ยวกับ “เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20

เหตุการณ์ที่ว่านั้นคือสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต

อเมริกาคิดค้นระเบิดนิวเคลียร์สำเร็จในสมัยประธานาธิบดีทรูแมน ซึ่งสั่งการให้ทิ้งระเบิดลงฮิโรชิมาและนางาซากิอันนำไปสู่การลงเอยของสงครามโลกครั้งที่สอง

อีกไม่กี่ปีต่อมา อเมริกายังประสบความสำเร็จในการสร้างไฮโดรเจนบอมบ์ที่มีพลังทำลายล้างมากกว่าระเบิดที่ฮิโรชิมา 300 เท่า

โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการตัดสินใจของมนุษย์เพียงคนเดียว (ประธานาธิบดีสหรัฐ) สามารถฆ่าคนนับล้านได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที

โซเวียตเองก็เร่งสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาไม่น้อย และสองมหาอำนาจนี้ก็จวนเจียนจะเปิดสงครามนิวเคลียร์ใส่กันในเหตุการณ์ Cuban Missile Crisis ในเดือนตุลาคมปี 1962 เดชะบุญที่ John F. Kennedy กับ Nikita Khrushchev ผู้นำทั้งสองชาติหาทางออกร่วมกันได้

ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า

“I know not with what weapons World War III will be fought, but World War IV will be fought with sticks and stones.”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะใช้อาวุธอะไรสู้กัน รู้แต่ว่าสงครามโลกครั้ง 4 นี่คนจะสู้กันด้วยไม้และก้อนหินแน่ๆ”

ความ “ก้าวหน้า” ทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติได้สร้างอาวุธที่สามารถพาเรา “ถอยหลัง” กลับสู่ยุคหินได้อีกครั้ง

ยิ่งคิดภาพโดนัลด์ ทรัมป์ มีปุ่มกดยิงขีปนาวุธอยู่ในมือยิ่งใจไม่ดีเอาเสียเลย


เคยถามตัวเองมั้ยครับว่า แต่ละวันเราใช้มือถือวันละกี่ชั่วโมง?

และย้อนกลับไปเมื่อซัก 30 ปีที่แล้ว ก่อนที่พวกเราจะมีมือถือ เราเอาเวลาว่างไปทำอะไรกัน?

สมัยนั้นถ้าผมต้องนั่งรอรถเมล์ ผมก็คงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็ทนทุกข์ทรมานกับการรอคอย

แม้จะไม่ค่อย productive เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนเราสมัยนั้นก็ยังมีเวลาได้ใจเหม่อลอยหรือคิดนู่นคิดนี่ได้

มาสมัยนี้เราไม่มีเวลาให้เหม่อลอยหรือคิดนู่นคิดนี่กันแล้ว ว่างเมื่อไหร่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาส่องเฟซหรือเช็คไลน์ เจออะไรก็ต้องเสพ มีความเห็นอะไรก็ต้องเมนท์

เราเสพติด “การทำอะไรตลอดเวลา” จนไม่มีโอกาสได้ทอดสายตาไปไกลๆ หรือกลับมารู้เนื้อรู้ตัวเลย

ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราซึ่งเคยมีโอกาสได้อยู่ในโลก analog ยังเสพติดการทำอะไรตลอดเวลาขนาดนี้ คิดดูว่ารุ่นลูกของเราจะยิ่งเหนื่อยกว่าเราขนาดไหน

เหนื่อยที่ใจไม่เคยได้พักแม้ซักวินาทีเดียว

“คนในวงการนี้รู้ปุ่มไปแต่ไม่รู้ปุ่มหยุด”

ในโลกที่มนุษย์เกือบร้อยละร้อยรู้จักแต่การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยไม่เคยหยุดถามด้วยซ้ำว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไร

บางทีการ “อยู่เฉยๆ” ให้เป็นอาจเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ก็ได้นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก GQ Thailand: จิตร์ จิตตสังวโร สร้างความสงบในใจและเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น 

นิทานตาบอดถือโคม

20170323_blindlantern

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ยังมีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมอง เห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า “คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย” เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?”

คนผู้นั้นตอบว่า “ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร”

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า “เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?”

คนตาบอดตอบว่า “เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ”

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า “ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์”

มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า “ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง”

“ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?” พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

คนตาบอดอธิบายว่า “เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตังแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย”


ขอบคุณนิทานจาก ASTV ผู้จัดการ นิทานเซน : คนตาบอดกับโคมไฟ

ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Unsplash.com

ทำดีไม่มีใครเห็น

20170330_dogood

“When you do something noble and beautiful and nobody noticed, do not be sad. For the sun every morning is a beautiful spectacle and yet most of the audience still sleeps.”

ถ้าเราทำเรื่องที่ดีงามแล้วไม่มีใครสังเกตก็อย่าเศร้าไปเลย พระอาทิตย์ยามเช้างดงามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่คนส่วนใหญ่ก็แทบไม่เคยเห็นมันเลยเช่นกัน

― John Lennon

เดวิด เจ้านายเก่าของผมเคยบอกว่า แผนกที่คนเห็นคุณค่าน้อยที่สุดคือแผนก IT Support และแผนก HR

เพราะด้วยธรรมชาติงานของสองทีมนี้ คือการทำให้ทุกอย่างราบรื่นมากที่สุด

เวลาทุกอย่างราบรื่น คนก็จะไม่สังเกตเพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดหวังและคุ้นชินอยู่แล้ว

ไม่มี IT Support คนไหนเคยได้รับคำชมว่า วันนี้เน็ตเร็วดีจังเลย และไม่มีพนักงานคนไหนส่งเมลมาขอบคุณ HR วันที่เงินเดือนออก

แต่ถ้าเน็ตพัง หรือเงินเดือนเข้าบัญชีไม่ครบ สองทีมนี้จะโดนรุมทันที

ถ้าใครกำลังรู้สึกว่า overworked, underappreciated (ทำงานหนักเกินไป คนเห็นคุณค่าน้อยเกินไป) ก็ลองมองไปรอบๆ ตัวเรานะครับว่าไม่ใช่แค่เราหรอกที่ทำงานดีแต่ไม่มีใครเห็น

ถ้าหาไม่เจอ อย่างน้อยถ้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องเจอบ้าง

พระอาทิตย์ที่ขึ้นให้ดูทุกวัน

ต้นไม้ที่คายอ๊อกซิเจนให้เราหายใจ

นกที่ร้องจิ๊บๆ เตือนให้รู้ว่ารอบตัวเรามีมากกว่าคอนกรีตและวายฟาย

เหล่านี้คือ unsung heroes คือวีรบุรุษวีรสตรีที่ไม่เคยมีใครสรรเสริญเยินยอ

พระอาทิตย์ ต้นไม้ และนกไม่เคยน้อยใจ พวกเขายังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างแข็งขัน

เพราะถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครนึกถึง ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของพวกเขาน้อยลงซักนิดเลย



ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

คนฉลาดรู้ว่าควรจะพูดยังไง

20170330_smart

คนเฉลียวรู้ว่าควรจะเงียบเมื่อไหร่

“A smart person knows how to talk. A wise person knows when to be silent.”
― Roy T. Bennett

เวลาเราคิดถึงคำว่า “ผู้นำ” เรามักจะนึกถึงคนที่พูดจาฉะฉาน มีวาทศิลป์ พูดให้คนคล้อยตามหรือแม้กระทั่งเคลิ้มตามได้

แต่ผู้นำที่ “พูดน้อย” ก็มีเช่นกัน

ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงโค้ชทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกา

เวลาที่ฝึกซ้อมโค้ชจะพูดน้อยมาก เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสังเกตวิธีการเล่นของลูกทีมแต่ละคน และพูดเพียงคำแนะนำสั้นๆ เช่น “ทิม ตอนชู๊ตไกล ปล่อยบอลให้ช้ากว่านี้หน่อย” หรือ “สตีฟ ลงมาป้องกันตรงกลางสนามด้วย”

ไม่มีคำพูดปลุกใจใดๆ มีแต่คำแนะนำที่ตรงประเด็นและเป็นประโยชน์กับคนๆ นั้น

ดังนั้น หากเราเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเราจะเป็นหัวหน้าที่ไม่ดี

บางทีการพูดน้อยของเราอาจเป็นประโยชน์ก็ได้ เพราะเราจะมีเวลามากขึ้นในการฟังสิ่งที่ลูกน้องต้องการจริงๆ มากกว่าจะไปคิดแทนลูกน้องว่าเขาต้องการอะไร

“A smart person knows how to talk. A wise person knows when to be silent.”

ฟังให้เยอะ และพูดเท่าที่จำเป็น ก็สำเร็จได้นะครับ

ป.ล. ถ้าใครชอบบล็อกนี้ ช่วยกดไลค์เพจ Anontawong’s Musings เป็นกำลังใจด้วยนะครับ (ยอดไลค์ไม่ขยับมาร่วม 6 เดือนแล้ว!)


ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

คำพูดที่ออกจากปากไม่ได้กำหนดชีวิตเรา

20170323_wordsofmouth

คำพูดที่เรากระซิบบอกตัวเองต่างหากที่เป็นตัวกำหนด

“It’s not what you say out of your mouth that determines your life, it’s what you whisper to yourself that has the most power!”

― Robert T. Kiyosaki

เพราะลมปากนั้นเบาหวิวเหมือนขนนก ส่วนการกระทำนั้นหนักแน่นเหมือนภูผา

พูดสิบทำร้อยจึงส่งผลมากกว่าพูดร้อยทำสิบ

บางทีการประกาศความตั้งใจของเราออกไปก่อนมันก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นการผูกมัดตัวเองไม่ให้กลับคำพูดง่ายๆ

แต่คำที่มีพลังที่สุด คือคำที่ไม่มีใครได้ยิน คือคำที่เราคุยกับตัวเองเวลาที่เราขี้เกียจหรือท้อถอย

การพูดอะไรออกไป จึงไม่สำคัญเท่ากับคิดอะไรและความคิดนั้นหนักแน่นแค่ไหน

ถ้าความคิดของเราหนักแน่นพอ คำที่พูดกับตัวเองก็จะสอดคล้องกับทิศทางที่เราจะไป ซึ่งจะนำไปสู่การกระทำที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรานั่นเอง


ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com