
ผมเป็นนักผัดวันประกันพรุ่งมืออาชีพ
สมัยผมเรียนประถม ยังมีวิชาการงานและพื้นฐานอาชีพ (กพอ.) อยู่ จำได้ว่าคุณครูมักจะให้การบ้านงานฝีมือมา โดยให้เวลาเป็นเดือน แต่ผมก็จะไม่ยอมทำมันจนสามวันสุดท้าย แล้วค่อยไปขอให้น้าหรือเพื่อนผู้หญิงช่วยทำให้หน่อย
พอเรียนมหาวิทยาลัย ต้องทำซีเนียร์โปรเจ็ค มีเวลาตั้งสองเทอมเต็มๆ แต่กว่าจะได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็เดือนสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล
พอมาทำงาน ต้องทำสไลด์สำหรับการประชุม หลายต่อหลายครั้งที่ผมมาเริ่มทำเอาเช้าวันที่ประชุมนั่นแหละ
การผัดวันประกันพรุ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนเคยทำกันทั้งนั้น
แต่ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่เราไม่เคยศึกษามันอย่างถ่องแท้ซักทีว่าการผัดวันประกันพรุ่งนั้นเกิดจากอะไรกันแน่
โชคดีที่นาย Chris Bailey เจ้าของบล็อก A Life of Productivity และผู้เขียนหนังสือ The Productivity Project ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ให้แล้ว
คริสบอกว่า เหตุผลที่เราผัดวันประกันพรุ่งกับงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งนั้นเพราะว่างานชิ้นนั้นมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในหกข้อต่อไปนี้
1. น่าเบื่อ (Boring)
2. ยาก (Difficult)
3. ทำแล้วหงุดหงิด (Frustrating)
4. ไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน (Unstructured and Ambiguous)
5. ไม่มีความหมายกับเรา (Lack of Personal Meaning)
6. ไม่มีรางวัลในตัวมันเอง (Lacking in intrinsic reward – not fun/engaging)
เมื่อใดก็ตามที่พบว่าเรากำลังผัดผ่อนงานชิ้นหนึ่ง ลองถามตัวเองดีๆ ว่างานชิ้นนั้นมันมีองค์ประกอบใดบ้างในหกข้อที่กล่าวมา และเมื่อรู้แล้วก็หาทางพลิกมันซะ
ถ้างานชิ้นนั้นมันน่าเบื่อ เราทำให้มันสนุกขึ้นด้วยการเปลี่ยนสถานที่การทำงาน หรือแบ่งงานกับเพื่อนและมีให้มีการแข่งขันกันได้ไหม
ถ้างานมันยาก ลองใช้เวลาในการหาข้อมูลเพิ่มเติมและแตกงานให้มันเล็กลง เพื่อให้งานแต่ละชิ้นมันง่ายลงได้มั้ย
ถ้าทำแล้วหงุดหงิด ลองบอกกับตัวเองว่า จะให้เวลากับงานชิ้นนี้แค่ 30 นาทีเท่านั้น เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะพักผ่อนหรือทำงานชิ้นอื่นที่เราอยากทำมากกว่า
ถ้าไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน ก็อาจจะระบุให้ได้ว่า อย่างน้อยในสามสเต็ปถัดไปเราต้องทำอะไรบ้าง
ถ้างานชิ้นนี้ไม่มีความหมายกับเรา แต่อย่างน้อยงานชิ้นนี้มันควรจะมีความหมายกับใครซักคน (เช่นหัวหน้าเราเป็นต้น) และเมื่อเราเห็นว่ามันสำคัญต่อหัวหน้า และหัวหน้าสำคัญกับเรา งานชิ้นนี้ก็จะเริ่มมีความหมายมากขึ้น
ถ้างานชิ้นนี้ไม่มีรางวัลในตัวมันเอง เราก็อาจต้องตั้งมันขึ้นมาเอง เช่นถ้าทำงานชิ้นนี้เสร็จ จะให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินซูชิร้านโปรดเป็นต้น
เหมือนที่ผมเคยเขียนไว้ในแรงต้านคือเข็มทิศว่า ยิ่งงานชิ้นนั้นมีความหมายมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงมันมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่ามันยาก
แต่เพราะว่ามันยาก จึงไม่มีคนอยากทำ
และถ้าเราทำสำเร็จ เราก็จะเป็นคนไม่กี่คนที่เอาชนะงานยากๆ ได้
ซึ่งก็จะทำให้เราเติบโตได้เร็วกว่าคนที่เอาแต่ทำงานง่ายๆ และผัดผ่อนงานยากๆ ครับ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ The Productivity Project by Chris Bailey
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจาก Unsplash.com
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ
ติดตามอ่านเป็นอาหารสมองเกือยทุกวัน
^_^
LikeLike