วิธีเอาชนะอาการผัดวันประกันพรุ่ง

20160110_Procastination

ในชีวิตการทำงาน เชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยผัดวันประกันพรุ่งมาไม่มากก็น้อย

งานที่เราหลีกเลี่ยงไม่ยอมทำ มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ (อาจมากกว่าหนึ่งข้อ)

  • น่าเบื่อ
  • ด้อยคุณค่า
  • ถึก
  • ยาก
  • ใช้เวลานาน
  • ยังไม่ต้องรีบส่ง
  • ไม่ต้องส่งก็ได้ (ไม่มีใครสั่ง แต่คิดว่าถ้าทำออกมาน่าจะมีประโยชน์)

ถ้าจัดกลุ่มจริงๆ ก็อาจจะมีงานแค่สองประเภท คืองานที่ไม่ค่อยมีประโยขน์ กับงานที่มีประโยชน์แต่ยาก

สำหรับงานที่เราเห็นว่าไม่มีประโยชน์ วิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษาหัวหน้าว่าจำเป็นต้องทำมันจริงหรือเปล่า หรือต้องส่งบ่อยขนาดนี้จริงหรือ

ซึ่งทางออกก็จะมีสองทางคือ เออ มันไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะ เราก็สบายไป แต่ถ้าหัวหน้าอธิบายได้ว่ามันสำคัญต่อทีมหรือต่อองค์กรอย่างไร เราก็เริ่มมองเห็นประโยชน์ของมันและมีแรงกระตุ้นให้อยากทำมากขึ้น

ส่วนประเภทที่สอง คืองานที่เรารู้ว่ามีประโยชน์ แต่ยากชะมัด แถมเรายังมีงานอื่นๆ ที่ด่วนกว่า (แต่คุณค่าน้อย) เราก็เลยใช้เวลาไปกับงานที่เร่งด่วนแต่ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่นักแทน

แต่ผมเชื่อว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน จะต้องสามารถทำงานที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วนได้ดีครับ

ตัวอย่างของงานที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ก็เช่นการสร้างเครื่องมือ (tool) ใหม่ๆ เพื่อให้ทีมทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การทบทวนและปรับปรุงกระบวนการ (process) เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาน้อยลง หรือการพัฒนาลูกทีมให้เก่งกาจและทำงานแทนเราได้

ซึ่งงานเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีเดดไลน์ และมีแนวโน้มที่จะตกเป็นเหยื่อของการผัดวันประกันพรุ่งมากที่สุด

คราวนี้ ถ้าเรารู้แล้วว่างานชิ้นนี้สำคัญ และถ้ามัวแต่รอให้ “มีเวลาว่าง” จริงๆ ก็คงไม่ได้เริ่มซะที แล้วเราจะทำยังไงดี?

ผมขอเสนอวิธีที่ผมคิดว่าใช้ได้ผลนะครับ

วิธีของผมมีองค์ประกอบสามส่วน

1. ทำเป็นอย่างแรก นั่นคือเราต้องทำงานชิ้นนี้เป็นงานแรกของวัน ทำก่อนที่จะเช็คอีเมล์หรือเล่นเฟซบุ๊ค

2. ทำสั้นๆ พอ บอกตัวเองว่า ขอทำงานชิ้นนี้แค่ 5 นาทีเท่านั้น ด้วยเวลาที่สั้นขนาดนี้ ไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากแค่ไหน เราจะมีกำลังใจที่จะเริ่มต้นได้ และส่วนใหญ่พอได้เริ่มต้นแล้ว มันจะมีแรงส่ง (momentum) ที่จะทำให้เราทำงานต่อไปได้เรื่อยๆ เอง

3. ทำเสร็จแล้วมีรางวัล เสร็จในที่นี้อาจจะหมายถึง ทำงานได้ 5 นาทีตามที่บอกตัวเองไว้ตอนแรกก็ได้ หรือจะเสร็จส่วนแรกของงานชิ้นนี้ก็ได้ หรือถ้าโชคดีอาจจะเสร็จงานทั้งชิ้นเลยก็ได้ ส่วนรางวัลที่เราจะให้กับตัวเองก็อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราชอบทำ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเฟซบุ๊ค หรือเดินไปชง/ซื้อเครื่องดื่มที่เราโปรดปราน

การที่เราเลือกทำเป็นชิ้นแรก ก็เพื่อที่จะได้แตะงานชิ้นนี้ก่อนที่ความวุ่นวายของชีวิตคนทำงานออฟฟิศจะถาโถม

เราทำสั้นๆ เพื่อที่จะได้เริ่มต้นซะที

และเราให้รางวัลกับตัวเอง เพื่อที่จะทำให้สมองของเรารู้สึกดีกับกระบวนการนี้ และมีแรงกระตุ้นให้เราอยากจะทำแบบเดิมอีกในวันพรุ่งนี้ครับ

ลองเอาไปใช้ดูนะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ชอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เราควรดีใจเมื่อโดนตำหนิ

20160110_Scold

ถ้าคนที่ตำหนิเรานั้นเป็นเพื่อน แฟน พ่อแม่ หัวหน้า ครู หรือใครก็ตามที่หวังดีกับเรา

การถูกคนในกลุ่มนี้ตำหนิ ถือเป็นเรื่องน่ายินดี

ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่กล้าพูดกับเราตรงๆ เพื่อให้เรารู้ตัวและได้ปรับปรุงตัวเอง

ถ้าเราทำอะไรผิด แล้วไม่มีใครเตือนเราเลยนี่สิ น่าเป็นห่วง

เพราะนั่นอาจแปลว่า เขาเลิกหวังกับเราแล้ว

—–

ขอบคุณต้นทางความคิดจาก The Last Lecture by Randy Pausch

นิทานชายผู้เชื่อมั่นในพระเจ้า

20160108_ReligiousMan

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ครั้งหนึ่งเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ชายคนหนึ่งติดอยู่ในบ้านออกไปไหนไม่ได้

เขาเป็นคนเคร่งศาสนาและมีความศรัทธาในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง จึงคุกเข่าสวดมนต์ภาวนาขอให้พระเจ้าช่วยเขาให้รอดพ้น

เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันขับรถปิ๊กอั๊พมาจอดหน้าบ้านแล้วตะโกนบอกชายคนนั้นให้ออกเดินทางไปด้วยกัน จะได้ลุยน้ำไปเมืองที่อยู่สูงกว่านี้

“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าเดี๋ยวพระเจ้าจะต้องมาช่วยผมแน่ๆ”

เพื่อนบ้านพยายามโน้มน้าวกี่ครั้งก็ไม่เป็นผลจึงยอมแพ้และขับรถจากไป

น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเลยหัว ชายผู้เชื่อในพระเจ้าปีนออกหน้าต่างชั้นสองแล้วขึ้นไปนั่งบนหลังคา แต่เขาไม่ลืมที่จะสวดมนต์วอนขอให้พระเจ้ายื่นมือมาช่วยเขา

ซักพักก็มีคนพายเรือผ่านมา เป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ นี่เอง เขาโยนเชือกจากในเรือไปตกใกล้ๆ จุดที่ชายผู้เชื่อมั่นในพระเจ้านั่งอยู่

“จับเชือกนั้นสิ เดี๋ยวผมจะดึงคุณมาขึ้นเรือเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าเดี๋ยวพระเจ้าต้องมาช่วยผม”

คนที่พายเรือจนใจไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงพายเรือจากไป

ระหว่างที่ชายผู้เชื่อมั่นในพระเจ้าสวดมนตร์เป็นรอบที่ร้อย ก็ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ลอยอยู่ไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่ในเฮลิคอปเตอร์โรยบันไดลิงลงมาแล้วตะโกนว่า

“ปีนขึ้นมาเลย ถ้ารอนานกว่านี้น้ำท่วมมิดบ้านแน่”

ชายคนนั้นก็ตอบว่า “ผมไม่เป็นไรครับ ผมได้ภาวนากับพระเจ้าแล้ว ปาฏิหาริย์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เจ้าหน้าที่จึงยอมแพ้และบินไปช่วยบ้านหลังอื่นแทน

และแล้ว น้ำก็ท่วมสูงขึ้นจริงๆ ชายผู้เชื่อมั่นฯ ว่ายน้ำไม่ค่อยแข็งก็เลยจมน้ำตายและดวงวิญญาณก็ถูกส่งมาในปรภพ

สิ่งแรกที่ชายคนนั้นทำคือขอเข้าพบพระเจ้า

“พระเจ้าครับ ผมผิดหวังในตัวท่านมาก ผมอุตส่าห์เชื่อมั่นในท่านเสมอมา แถมยังสวดภาวนาถึงท่านตลอด ทำไมท่านถึงไม่ยอมช่วยผมล่ะครับ”

พระเจ้าจึงตอบว่า “เราก็ส่งทั้งรถปิ๊กอั๊พ เรือพาย และเฮลิคอปเตอร์ไปให้เจ้าแล้วไง เจ้ายังจะเอาอะไรอีกหรือ?

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ชอบคุณนิทานจาก Eternal Vigilance : The Parable of the Flood

ปากเบา หูหนัก

20150107_LightLips

อะไรไม่รู้ก็ถาม อย่าเดาเอง เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรู้ทุกอย่างในโลก และคุณต้องใช้การถามเพื่อหาคำตอบ อยากให้คิดว่าต้นทุนของการถามนั้นไม่แพงเลย เพียงแค่คุณอ้าปากพูดเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่ถามและเดาเอาเอง มูลค่าของความเสียหายที่เกิดจากการคิดเอง เดาเอง อาจจะมากกว่าต้นทุนของการถามร้อยเท่าพันเท่า แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าคนส่วนมากเลือกที่จะไม่ถามแล้วเดาเอาเอง เรียกว่ากล้าเสี่ยงในเรื่องที่ไม่ควรจริงๆ

คนเราควรปากเบา แต่หูหนัก ถามให้ง่าย เชื่อให้ยาก (อย่าเชื่อทุกเรื่องโดยไม่ไตร่ตรอง) แต่ก็แปลกที่คนกว่า 99 เปอร์เซ็นต์กลับเป็นในสิ่งที่ตรงกันข้าม

– ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์
หนังสือ ทำธุรกิจ คิดเยอะจึงเหนื่อยน้อย

 

ต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมรู้จักกับพี่ปิ๊ก ธรรศภาคย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้

แม้จะเป็นการรู้จักกันแบบห่างๆ เพราะว่าเราไม่เคยเจอหน้ากัน เคยแต่คุยกันทางเฟซบุ๊ค เพราะพี่ปิ๊กผ่านมาเจอบล็อกผมเข้าเลยเข้ามาให้กำลังใจ

ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นเจ้าของเพจ Trick of the Trade ที่มีแฟนคลับหลายหมื่นคน เพราะเพจนี้มีคำแนะนำดีๆ สำหรับคนทำ (หรือคิดทำ) ธุรกิจ SME มาแบ่งปันตลอด

—–

ผมได้หนังสือ “ทำธุรกิจคิดเยอะจึงเหนื่อยน้อย” มาจากร้านนายอินทร์ที่ตึกอื้อจื่อเหลียง

อารมณ์ว่าเดินเข้าไปในร้าน เห็นปก แล้วพอรู้ว่าพี่เขาเป็นคนเขียนก็หยิบมาโดยไม่ลังเลเลย (อ้อ จ่ายตังค์ด้วยนะครับ)

ตอนแรกกะว่าจะอ่านช่วงหยุดปีใหม่ แต่แล้วก็มัวแต่เก็บบ้านและเลี้ยงลูก

เมื่อสองวันที่ผ่านมาเลยหยิบขึ้นมาอ่านใหม่

หนังสือของพี่เขาประหลาด คือเนื้อหาเยอะ รูปประกอบแทบไม่มีเลย แต่กลับอ่านได้อย่างลื่นไหลจนผมอ่านจบโดยใช้เวลาแค่แป๊บเดียว

ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้มีอยู่สามอย่าง

หนึ่ง คือความสดใหม่ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ค่าที่พี่เขาเล่นเขียนขึ้นมาเองเกือบทั้งดุ้น และน่าจะมาจากประสบการณ์ตรงเสียส่วนใหญ่ จึงแทบไม่มีอะไรที่อ้างอิงหรือลอกฝรั่งมาเลย เนื้อหาจึงไม่มีซ้ำกับหนังสือ How To ที่มีมากมายจนล้นตลาด

สอง คือเทคนิคการใช้อุปมาอุปไมยตลอดทั้งเล่ม ซึ่งนอกจากจะทำให้อ่านง่ายแล้ว ยังทำให้เราจดจำเนื้อหาได้มากกว่าการเขียนแบบปกติอีกด้วย

ตัวอย่างของการใช้อุปมาอุปไมยก็เช่น

  • การทำธุรกิจก็เหมือนกับการขับรถที่ต้องมองข้างหน้าเพื่อพร้อมรับปัญหา มองกระจกข้างเพื่อให้รู้ว่าคู่แข่งของเรากำลังทำอะไร และมองกระจกหลังเพื่อเรียนรู้อดีต
  • คนทำธุรกิจแต่ละรุ่นก็เหมือนไฟบนเตาที่มีความแรงไม่เหมือนกัน
  • ลูกค้ามีหลายแบบ เหมือนปิ่นโตที่มีห้าชั้นและใส่อาหารไม่เหมือนกัน
  • ทำธุรกิจแบบ SME ต้องคิดอย่างต้นหญ้า ถึงจะสู้ธุรกิจยักษ์ที่เป็นเหมือนไม้ใหญ่ได้
  • การรับมือคู่แข่งก็เหมือนวัวไบซันรับมือฝูงหมาป่า

สาม หนังสือเล่มนี้มีข้อความชวนคิด ที่นอกจากจะช่วยนำทางเรื่องธุรกิจแล้ว ยังนำทางเรื่องการใช้ชีวิตด้วย

อย่างเช่นประโยคที่ยกมาเปิดหัวเรื่องเป็นต้น

คนเราควรปากเบา แต่หูหนัก ถามให้ง่าย เชื่อให้ยาก แต่ก็แปลกที่คนกว่า 99 เปอร์เซ็นต์กลับเป็นในสิ่งที่ตรงกันข้าม

จะบอกพี่ปิ๊กว่า ผมเองก็(ยัง)อยู่ใน 99 เปอร์เซ็นต์นั้นนะครับ!

โดยเฉพาะเรื่องปากหนัก เพราะมีนิสัยชอบทำอะไรเอง เลยเกรงใจไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะตัวเองยังมีอีโก้สูงอยู่ กลัวว่าการถามออกไปจะทำให้เราดูไม่เก่งในสายตคนอื่นรึเปล่า

ซึ่งก็อย่างที่พี่บอก ว่ามันทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุจริงๆ

—–

อีกหนึ่งช่วงตอนที่ผมประทับใจ คือตอนที่พี่ปิ๊กพูดถึงนางเอกหนังเรื่อง Little Forest ที่นั่งอยู่บนคันนาและนึกพูดกับตัวเองว่า

“วันนี้ฉันกำลังนั่งกินข้าวที่ฉันปลูกไว้เมื่อปีที่แล้ว
และปีหน้า ฉันก็จะนั่งกินข้าวที่ฉันกำลังปลูกวันนี้”

ประโยคธรรมดาๆ นี้มีความหมายยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของผม มันหมายความว่าเราทุกคนจะต้องได้รับผลของสิ่งที่เราทำไว้ในอดีต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ขณะเดียวกัน ทุกสิ่งที่เราทำในวันนี้จะส่งผลกับตัวเราในวันข้างหน้า แปลง่ายๆ คือ เราทุกคนเป็นคนกำหนดชีวิตของเราเอง ไม่ต้องรอโชคชะตาฟ้าบันดาล

ประโยคธรรมดาสั้นๆ ในหนัง เป็นผมฟังคงไม่ได้คิดอะไร (เพราะมัวแต่มองนางเอก) แต่พี่แกสามารถผูกเรื่องข้าวกับเรื่องกรรมและวิบากได้อย่างเนียนกริบเลย

—–

สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากบอกคือความรู้สึกตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว

ผมรู้สึกว่าพี่เขาใส่ใจกับหนังสือเล่มนี้มาก เพราะนอกจากเนื้อหาที่สดใหม่แล้ว ผมยังไม่พบตัวสะกดผิดซักคำเดียว (แต่ผมเจอเว้นวรรคผิดที่นึงนะครับพี่!)

เลยขอเชียร์ออกนอกหน้านิดนึงว่า ลองอ่านดูเถิด

เนื้อหาแปลกใหม่ อ่านง่าย และมีข้อคิดดีๆ ที่จะติดตัวคุณไปอีกนาน

กับหนังสือเล่มหนึ่ง จะขออะไรได้มากกว่านี้?

แต่อย่าเพิ่งเชื่อผมครับ

เพราะคนเราควรปากเบา แต่หูหนัก

ลองไปยืนอ่านดูก่อน ถ้าคิดว่าใช่ ก็อย่าลืมช่วยอุดหนุนพี่เขานะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ ทำธุรกิจ คิดเยอะจึงเหนื่อยน้อย โดย ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ เจ้าของเพจ Trick of the Trade

Motivation ที่ดีที่สุดในการทำงาน

20160101_Motivation

ก่อนอื่นต้องขออภัยก่อนที่ใช้ “ไทยคำอังกฤษคำ” ในหัวข้อ

เนื่องจากเรื่องที่จะมาคุยในวันนี้จากบทความของ Harvard Business Review ที่ว่าด้วยเรื่อง motivation เป็นหลัก

ผมไม่รู้จะแปลคำว่า motivation เป็นคำไทยว่าอย่างไรดี

ถ้าเปิดดิกชันนารี เขาจะแปลว่า แรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ แรงจูงใจ

แต่ผมรู้สึกว่าคำว่า “แรงกระตุ้นที่ดีที่สุดในการทำงาน” มันดูแข็งๆ และไร้มิติไปหน่อย

แรงบันดาลใจก็ไม่น่าจะใช่เพราะนั่นคือ inspiration

ส่วนแรงจูงใจ ก็ไม่ใช่อีกเพราะเราไม่ได้คุยกันเรื่อง incentive

จึงขอเลือกใช้คำเดิมว่า motivation ซึ่งในบริบทนี้ผมขอแปลว่า “แรกผลักดันในด้านบวกที่ทำให้เรามีฉันทะและวิริยะในงานของเรา”

—-

หลายท่านที่อ่าน Anontawong’s Musings อยู่อาจจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหรือผู้จัดการ และหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของหัวหน้าก็คือการสร้าง motivation ให้ลูกน้อง

ทาง HBR (Harvard Business Review) ได้ทำการสำรวจความเห็นของพนักงานระดับผู้จัดการ 669 คนจากหลายบริษัททั่วโลกว่า ให้ลองจัดอันดับปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ดูซิว่า อะไรมีผลต่อ motivation ของลูกน้องมากที่สุด?

Clear goals – เป้าหมายที่ชัดเจน
Incentives – ผลตอบแทน เช่นเงินโบนัสและค่า commission
Interpersonal support – การช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน
Recognition for good work – การกล่าวชื่นชมและให้เครดิตเวลาที่งานออกมาดี
Support for making progress – การสนับสนุนให้งานเดินหน้าต่อไปได้

ผมขอชวนทุกคนใช้เวลาซักสองนาทีจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยห้าข้อนี้ดูนะครับว่า ข้อใดสำคัญที่สุด ข้อใดสำคัญน้อยที่สุด

—–

ผู้จัดการที่ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่จัดอันดับเรื่อง Recognition ว่าเป็น motivator ที่สำคัญที่สุด และ Support for making progress เป็นอันดับสุดท้าย

แต่โลกแห่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้นครับ!

ขอยกประโยคหนึ่งในบทความเรื่อง The Power of Small Wins ของ HBR มาไว้ตรงนี้ครับ:

Through exhaustive analysis of diaries kept by knowledge workers, we discovered the progress principle: Of all the things that can boost emotions, motivation, and perceptions during a workday, the single most important is making progress in meaningful work.

HBR บอกว่า สำหรับงานที่ต้องใช้ความคิด (knowledge work) สิ่งที่จะเป็น motivation ที่ดีที่สุดในการทำงานคือความรู้สึกว่างานของเขามีความคืบหน้า

ข้อสรุปนี้เกิดจากการทำวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลจากพนักงาน 238 คนใน 7 องค์กร โดยพนักงานเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำโปรเจ็คอะไรบางอย่าง เช่นคิดค้นอุปกรณ์ในห้องครัว จัดการโปรดักชั่นไลน์ของอุปกรณ์ทำความสะอาด และแก้ไขระบบ IT ให้กับโรงแรม

ทุกเย็น HBR จะส่งอีเมล์หาพนักงานพร้อมด้วยชุดคำถามที่ว่า วันนี้ทำอะไรไปบ้าง มีอะไรที่เป็นไฮไลท์ (ไม่ว่าจะด้านบวกหรือด้านลบ) อารมณ์ตอนนี้เป็นยังไง motivation อยู่ในระดับไหน และมีทัศนคติต่องานและองค์กรอย่างไร

HBR เก็บคำตอบมาได้ทั้งหมดประมาณ 12,000 ชุด และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะหาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกของพนักงานและสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

HBR พบว่าในวันที่พนักงาน “รู้สึกดี” (inner worklife เป็นบวก) กว่าสามในสี่ของวันเหล่านั้นเป็นวันที่พนักงานเห็นว่างานตัวเองมีความคืบหน้าหรือมี progress

และในทางกลับกัน วันที่พนักงานรู้สึกแย่ และตอบว่ามี motivation ต่ำ กว่าสองในสามของวันเหล่านั้นคือวันที่เขาเห็นว่างานตัวเองไม่คืบหน้าหรือถอยหลังลงคลอง (setback)

HBR จึงสรุปว่า Progress คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้พนักงานเกิด motivation ครับ

อีกสองปัจจัยที่ HBR ในการสร้าง motivation เช่นกันก็คือ Catalysts และ Nourishers ครับ

Catalysts คือตัวช่วยให้งานเดินหน้าได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ส่วน Nourishers คือคำพูดดีๆ และความเคารพที่พนักงานได้รับ เหมือนดอกไม้ได้น้ำนั่นเอง

ดังน้้น ในฐานะหัวหน้า เราสามารถช่วยให้พนักงานมี motivation ได้ด้วยการสร้างโอกาสให้เขารู้สึกว่างานของเขามีความคืบหน้าขึ้นทุกวัน ด้วยการ “กรุยทาง” ให้เขาทำงานได้ราบรื่นที่สุด

หากเจอปัจจัยอะไรที่กีดขวางให้งานไม่เดิน เช่นระบบมีปัญหา อีกฝ่ายหนึ่งคุยไม่รู้เรื่องหรือทำอะไรล่าช้า เราก็ควรจะลงไปหาทางออกให้ครับ

นอกจากนี้เราก็ควรจะพูดให้กำลังใจเขาและปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพครับ

อ้อ และที่สำคัญ งานที่เรามอบหมายให้ลูกน้องในทีม ควรจะเป็น meaningful work ด้วย ซึ่งก็คืองานที่เขามองเห็นว่ามีประโยชน์อย่างแท้จริงครับ

ขอยกประโยคด้านบนมาย้ำตรงนี้อีกครั้ง

Through exhaustive analysis of diaries kept by knowledge workers, we discovered the progress principle: Of all the things that can boost emotions, motivation, and perceptions during a workday, the single most important is making progress in meaningful work.

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นหัวหน้า เราก็ยังสามารถนำหลัก progress principle มาประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการสร้าง mini milestones ให้กับโปรเจ็คตัวเอง เพื่อให้แต่ละวันเรารู้สึกว่าได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันครับ

ใครลองแล้ว ได้ผลยังไง มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณข้อมูลจาก Harvard Business Review: The Power of Small Wins by Teresa Amabile and Steven J. Kramer

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com