1995 แม่พูดกับเราว่า “เลิกเล่นเกมส์ได้แล้ว! กับข้าวเย็นหมดแล้วเนี่ย!”
2015 เราพูดกับแม่ว่า “เลิกเล่น iPad ได้แล้วครับแม่ ข้าวเย็นหมดแล้ว!”
iPad นี่ถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกจริงๆ
โดยเฉพาะโลกของผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนปีพ.ศ.2500
30 ปีที่ผ่านมาเรามี “ของเล่น” มากมาย
ไม่ว่าจะเป็น วีดีโอ เกมแฟมิลี่ เกมบอย แพ็คลิงค์ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟน
ต่อให้วัยรุ่นอย่างเราจะเสพติดสิ่งเหล่านี้แค่ไหน พ่อแม่ของเราก็ยังคงใช้เวลาว่างไปกับการจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ดี
เพิ่งจะมาช่วง 3 ปีหลังนี่แหละ ที่พฤติกรรมคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราเปลี่ยนไป
เอาแค่จากประสบการณ์ตรง ผมว่าคนวัย 50-70 นี่ใช้ iPad ดุกว่าคนรุ่นผมซะอีก
อาจจะเพราะการมาถึงของ Facebook และ LINE รวมถึงเวลาว่างที่มีเยอะด้วย ทำให้คนวัยเกษียณติดอุปกรณ์ชิ้นนี้กันอย่างงอมแงม
กระนั้นก็ตาม ผมถือว่า users กลุ่มนี้ “ชั่วโมงบิน” ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับคนรุ่นผมที่ใช้คอมพิวเตอร์และท่องอินเตอร์เน็ตมากว่ายี่สิบปีแล้ว
ในฐานะ “คนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน” จึงอยากจะขอถือวิสาสะเสนอคำแนะนำถึงผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มใช้ iPad ได้ไม่นานครับ
1. ข้อมูลต่างๆ ที่ส่งต่อในไลน์ ควรจะตั้งธงไว้ก่อนว่ามันอาจจะไม่จริง
แม้ว่าในเนื้อหาจะบอกว่า มาจาก NASA หรือ WHO มันก็อาจจะไม่จริงนะครับ เพราะใครๆ ก็อ้างได้ทั้งนั้นว่ามาจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ บทความนั้นจะมีน้ำหนักก็ต่อเมื่อมีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนหรือมีลิงค์ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นต้นทางของข้อความนั้น
ซึ่งก็หมายความด้วยว่า ก่อนจะส่งอะไรต่อ รบกวนคิดก่อนส่ง หรือลองกูเกิ้ลดูสักทีก็ได้
เพราะแม้ว่าคุณจะส่งมันต่อไปด้วยความหวังดีเพียงใด แต่ถ้ามันเป็นข้อมูลปลอม ก็ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดีครับ
2.ถึงข้อมูลจะจริง มันก็อาจจะ “หมดอายุ” ไปแล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องมูลนิธิช่วยคนตาบอดที่รับปฏิทินเก่าไปทำกระดาษอักษรเบรล ซึ่งเห็นแชร์กันเยอะมากในช่วง 2-3 วันมานี้ สิ่งแรกที่ควรจะทำก่อนที่คุณจะแชร์ต่อคือโทร.ไปถามมูลนิธิก่อนว่าเขายังรับอยู่รึเปล่าครับ ถ้าไม่มีข้อมูลก็วานให้ลูกหลานช่วยเช็คให้ก็ได้ครับ
ส่วนคนที่คิดอยากจะแชร์เรื่องปฏิทินบริจาคให้มูลนิธิคนตาบอด มูลนิธิปิดรับแล้วนะครับ ถ้ายังมัวแต่ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ความหวังดีของเราจะทำให้มูลนิธิเขาเดือดร้อนนะครับ: http://www.blind.or.th/news/detail/874
EDIT (9 Jan 2015): ขอแก้ไขข้อมูลนะครับ มูลนิธิช่วยคนตาบอดรับบริจาคถึงสิ้นเดือนมกราคม 2558 นี้ครับ (ทางเว็บไซต์มูลนิธิน่าจะมีการเปลี่ยนหัวเรื่องครับ แต่เนื้อหาน่าจะเหมือนเดิม ผมอ่านไม่เคลียร์เอง ต้องขออภัยด้วยครับ)
3. วีดีโอที่ส่งกันมานั้น พวกผมแทบไม่เคยกดเข้าไปดูหรอกนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นลิงค์ Youtube หรือไฟล์วีดีโอ เพราะค่าดาต้า 3G มันแพงครับ แล้วการดูวีดีโอมันต้องใช้ดาต้าเยอะกว่าข้อความหรือรูปภาพเอาการอยู่ ดังนั้นถ้าพวกเราคิดจะดูก็ต้องรอตอนกลับไปต่อ Wifi (วายฟาย) ที่บ้านแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาถึงบ้านมันก็มีอย่างอื่นให้ดูแทนแล้วล่ะ
ข้อเสียอีกอย่างของวีดีโอคือมันต้องใช้เวลาดูค่อนข้างนาน ดังนั้นเวลาเห็นใครส่งลิงค์ Youtube มาสี่ห้าอัน แล้วเขียนคำโปรยประมาณว่า “สนุกมาก ต้องดู!” พวกผมจะไม่สนใจไยดีมันเลย
4. อย่าทำตัวเป็น Spammer
สิ่งที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราไม่มีโอกาสได้สัมผัสคือยุค 1997-2003 ที่พวกเราเคยส่ง Forward Mail กันเป็นประจำ
เวลามีเรื่องราวดีๆ หรือภาพสวยๆ เราก็จะส่งต่อให้กลุ่มเพื่อนของเรา พออ่านเสร็จแล้วก็ต้องมานั่งลบเมล์เพราะ Mailbox เค้ามีพื้นที่ให้แค่ 25 Mb เท่านั้น น้อยกว่าสมัยนี้หลายร้อยเท่า
บางทีพอได้รับ Forward Mail บ่อยๆ เข้า เราจะเรียกคนที่ส่งเมล์พวกนี้โดยไม่ได้ถามความสมัครใจของเราก่อนว่าเป็นพวก Spammer ครับ
Spammer แปลว่า ผู้ส่งขยะทางอีเมล์ ซึ่งพวกเราจะมีความรู้สึกไม่ดีกับคนประเภทนี้อยู่ประมาณนึงเลย
เพราะฉะนั้นถ้าคุณชอบส่งรูปทุ่งหญ้า รูปดอกไม้ รูปเด็ก มิหนำซ้ำยังกระหน่ำส่งเป็นสิบๆ รูป เข้ากรุ๊ปในไลน์ อาจจะต้องระวังนิดนึงนะครับว่าบางคนอาจจะมองว่าคุณเป็น Spammer และแอบรำคาญคุณอยู่ก็ได้
5.ระวังจะกลายเป็นคนใจร้อนโดยไม่รู้ตัว
การใช้เวลากับเทคโนโลยีมากๆ อาจจะทำให้คุณกลายเป็นคนใจร้อนและหงุดหงิดง่ายขึ้นนะครับ คนรุ่นผมก็เป็นเหมือนกัน แต่มันจะ “เจ็บ” กว่า หากผู้ใหญ่ที่ควรจะใจเย็นกลับทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปซะนี่
ผู้ใหญ่เคยห่วงพวกเราว่าถ้าเล่นเกมส์เยอะๆ จะกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น
ตอนนี้ผมก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะมีใครกลายเป็น “ผู้ใหญ่สมาธิสั้น” บ้างรึเปล่า
——
ผมคิดว่าตอนนี้ผู้ใหญ่กำลังตื่นเต้นกับความสามารถที่จะรับรู้และส่งต่อข่าวสารอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน และขอเดาว่าหากให้เวลาพวกเขาอีกซัก 5 ปี ก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควร อะไรไม่ควร เหมือนอย่างที่คนรุ่นผมได้ผ่านมาแล้ว
เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากเห็นผู้ใหญ่ใช้ iPad มากเกินไปนะครับ เพราะการดูวีดีโอซึ้งๆ หรือส่งต่อข่าวลือ มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่วัย 60-70 ควรจะให้ความสำคัญมากนัก
โดยเฉพาะเมื่อคำนึงด้วยว่าเวลาของคนเรามีจำกัด
ถ้าแบตเตอรี่ชีวิตของผมมีเหลืออยู่ไม่กี่พันชั่วโมง ผมคงจะใช้เวลากับ “โลกในจอ” ให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะมีเวลาสะสางธุระ ทั้งกับ “โลกภายนอก” และ “โลกภายใน” ให้เรียบร้อย ก่อนที่แบตเตอรี่ของผมจะหมด
แบตเตอรี่ไอแพดหมดแล้วยังชาร์จใหม่ได้ แต่แบตเตอรี่ของมนุษย์อย่างเราหมดแล้วหมดเลยนะครับ

Pingback: หมดเวลาไปอีกวันหนึ่ง | Anontawong's Musings