ใกล้ห่าง

20151101_CloseButFar

ถาม: แล้วคิดว่าสังคมต่างจังหวัดเหมือนหรือต่างจากสังคมเมืองอย่างไร
ตอบ: อยู่ในกรุงเทพมันรู้สึกแห้งแล้งจิตใจมาก คนบีบแตรใส่กัน ขับรถแซงกัน ชีวิตคนกรุงเทพอยู่ใกล้กันมาก แต่ไม่ใกล้ชิดกันเลย อยู่คอนโดฯ ห้องติดกันแต่ไม่รู้จักกัน เรายังจำได้เลยว่าครั้งแรกที่มากรุงเทพฯ เราเคยถามพ่อว่าทำไมเมืองนี้คนดีต้องอยู่ในกรง (หัวเราะ) คือหมายถึงรั้ว เหล็กดัด เพราะเราเติบโตที่อเมริกา เราไม่เคยเห็นกรงเยอะขนาดนี้ มันมีกรง แล้วมีกำแพง แถมยังมีเศษแก้วเศษกระจกติดอยู่บนกำแพงอีก พอมองไปรอบๆ มันเหมือนทุกคนอยู่ในกรงริมถนนเต็มไปหมด

– อารียา สิริโสดา
อดีตนางสาวไทยประจำปี 2537
a day BULLETIN 100 Interview The Influencer
หน้า 15: Pop of The Town
สัมภาษณ์โดยเวสารัช โทณผลิน

—–

คุณป๊อป อารียา เป็นนางสาวไทยคนล่าสุดที่ผมเห็นหน้าและบอกชื่อได้

ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาผมไม่เคยจำชื่อนางสาวไทยคนไหนได้อีกเลย

ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณป๊อป ใน a day BULLETIN แล้วพบหลายถ้อยคำที่ชวนให้คิด จนน่าจะเอาไปเขียนเป็นบล็อกได้หลายตอนเลยทีเดียว

นี่คือตอนแรกครับ

—–

“ชีวิตคนกรุงเทพอยู่ใกล้กันมาก แต่ไม่ใกล้ชิดกันเลย อยู่คอนโดฯ ห้องติดกันแต่ไม่รู้จักกัน”

แปลกไหมที่เรามีคำว่า “เพื่อนบ้าน” แต่ไม่มีคำว่า “เพื่อนห้อง”

ครอบครัวผมเคยอยู่คอนโดร่วม 12 ปี และก็เจอสถานการณ์แบบเดียวกับที่คุณป๊อปพูดถึง คือไม่ได้รู้จักห้องข้างๆ หรือห้องไหนบนชั้นตัวเองเลย

จะว่าบ้านเราไม่มีอัธยาศัยก็ไม่ใช่เพราะช่วงที่อยู่บ้านหรือทาวน์เฮาส์ก็มีเพื่อนบ้านมาโดยตลอด

เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผมพาปรายฝนกลับมาบ้านเป็นวันแรก คุณป้าจรรยาที่อยู่บ้านข้างๆ ยังทำไก่ผัดขิงมาให้หม้อใหญ่ แฟนผมมีกินบำรุงไปได้อีกหลายมื้อ

เรื่องอย่างนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยถ้าผมยังอยู่คอนโด

หรือเพราะคอนโดมีพลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในอาคารไม่มีอารมณ์อยากข้องแวะกัน?

“เรายังจำได้เลยว่าครั้งแรกที่มากรุงเทพฯ เราเคยถามพ่อว่าทำไมเมืองนี้คนดีต้องอยู่ในกรง (หัวเราะ) คือหมายถึงรั้ว เหล็กดัด เพราะเราเติบโตที่อเมริกา เราไม่เคยเห็นกรงเยอะขนาดนี้”

ในวันทำงาน ตอนพักเที่ยงผมกับพี่ๆ มักจะไปกินข้าวกันที่ร้านป้าหยวก ซึ่งถือเป็นร้านเก่าแก่ที่คนแถวนี้รู้จักกันดี

วันหนึ่งหัวข้อที่คุยกันหลังจากกินข้าวเสร็จคือบ้านฝั่งตรงข้ามร้านป้าหยวกที่มีกำแพงสูงหลายเมตร บนรั้วยังมีเศษแก้วเศษกระจกเพื่อใครก็ตามที่คิดจะปีนเข้าบ้านโดยไม่ได้รับเชิญ

เดินไปอีกนิด ก็จะเจอบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ หลังใหญ่ไม่เท่าหลังแรก แต่กำแพงสูงพอกัน แถมยังไฮเทคกว่า เพราะแทนที่จะใช้เศษกระจกเขากลับใช้ลวดหนามและมีป้ายเตือนให้ระวังไฟฟ้าแรงสูง

เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคุกฝรั่งในหนังฮอลลีวู้ด

—–

เพื่อนในเฟซบุ๊คนั้นมีหลายระดับ

บางคนก็เป็นเพื่อนสนิท บางคนเป็นเพื่อนห่างๆ และบางคนก็ไม่รู้ว่ามาเป็นเพื่อนกับเราได้ยังไง

เรารับรู้ข่าวคราวของ “เพื่อน” เหล่านี้ผ่านทางนิวส์ฟีด รู้หมดว่ากินร้านอะไร ทำงานที่ไหน คบกับใคร ไปเที่ยวเมืองไหนในญี่ปุ่น หรือมีลูกคนแรกเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่บางคนเราไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ

คนเหล่านี้อาจอยู่ห่างจากเราไปหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร แต่เรารู้เรื่องเขาหมด

แต่คนบางคนที่นั่งห่างจากเราเพียงไม่กี่เมตร เรากลับไม่รู้อะไรเลย เพียงเพราะว่ามีกำแพงกั้นอยู่

กำแพงปูนจะหนาแค่ไหนคงไม่ใช่ประเด็น หากเราไม่ก่อกำแพงในใจเรา

คนกรุงขี้เหงา เพราะสร้างกำแพงใจจนชำนาญ

และการ add friends ในเฟซบุ๊คอีกซักห้าสิบหรือร้อยคนคงไม่ช่วยให้อาการทุเลา

บางทีวิธีคลายเหงาอาจเริ่มได้ที่ในครัว

ทำไก่ผัดขิงซักจาน เดินไปฝาก “คนข้างๆ”

อาจช่วยให้ชีวิตคนกรุงไม่เคว้งคว้างเกินไปนัก

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก a day BULLETIN 100 Interview The Influencer

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

สิ่งที่ควรทำเมื่อเหงา

20150506_Lonely

“The time you feel lonely is the time you most need to be by yourself.”

“เวลาที่คุณเหงาคือเวลาที่คุณจำเป็นต้องอยู่กับตัวเองมากที่สุด”

– Douglas Coupland

—–

ผมลองนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ที่ “เหงาที่สุดในชีวิต”

ปรากฎว่าไม่ใช่ตอนที่ผมอยู่บ้านคนเดียว หรือเที่ยวคนเดียว

แต่เป็นตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ครับ!

18 ปีที่แล้ว (ทำไมนานอย่างนี้ฟระ) ผมยังเรียนอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์

ที่นิวซีแลนด์เขาจะมีปาร์ตี้กันทุกคืนวันเสาร์

แต่เขาไม่ได้ไปจัดตามร้านอาหารหรือในผับครับ เพราะมันเปลือง แถมเมือง Temuka ที่ผมอยู่ (ประชากรสี่พันกว่าคน) ก็มีผับอยู่แค่ผับเดียวเท่านั้น

วิธีการจัดปาร์ตี้ที่นิยมกัน คือใครซักคนอาสาเป็น Host ให้

ใครเป็น Host คนนั้นก็ต้องเปิดบ้านให้เพื่อนๆ เข้าไปถล่ม!

เจ้าของแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะทุกคนจะขนเบียร์กันมาเอง อย่างมากก็อาจจะซื้อขนมเตรียมไว้นิดหน่อย

แถมปาร์ตี้ที่นั่นเขาก็ไม่ได้เชิญเฉพาะเพื่อนสนิท แต่เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ก็ยังชวนกันมา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกินกว่าครึ่งของคนที่ไปปาร์ตี้ที่นั่นจะเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ามาก่อนในชีวิต

ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงชวนไปงานปาร์ตี้ ผมก็ลังเลนิดหน่อยเพราะต้นสัปดา์จะมีสอบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป

พอไปถึงแล้วเพื่อนฝรั่งคนที่ชวนเรามาเขาก็แค่ทักเรานิดหน่อยแล้วก็ไปสรวลเสเฮฮากับเพื่อนของเขาซึ่งผมไม่รู้จัก ผมเองก็ได้แต่ถือเบียร์หนึ่งกระป๋อง แกร่วไปแกร่วมา เจอใครที่เขารู้จักเราอยู่บ้างเขาก็ทักเราสองสามประโยคแล้วเขาก็ผละจากเราไป

—–
(คำอธิบายประกอบ)

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากฝรั่งคือ เค้าหัวเราะคนละเรื่องกับเรา

สิ่งที่เค้าคุยๆ กันแล้วขำจนแทบลงไปกองกับพื้น ผมได้แต่หัวเราะเหะๆ แล้วคิดในใจว่ามันขำขนาดนั้นเลยเหรอ (วะ)

โอเค อาจจะเป็นกำแพงทางด้านภาษาก็ได้ แต่ตอนนั้นผมก็อยู่มาเกือบสามปีแล้ว คิดว่าเข้าใจ 90% ของสิ่งที่เค้าพูดนะ

ผิดกับคนเอเชียอย่างฮ่องกงหรือญี่ปุ่น ผมรู้สึกว่าเขา “เก็ท” มุขเดียวกับเรา

เวลาคุยกับเพื่อนนักเรียนชาวเอเชียเลยรู้สึกสนิทใจมากกว่าเพราะเรากับเขาหัวเราะเรื่องเดียวกันได้

—–

(ตัดกลับมาที่งานปาร์ตี้)

เมื่อผมเองไม่สามารถเข้ากลุ่มไหนหรือยืนคุยกับใครได้นานๆ อารมณ์ “เหงา” ก็เริ่มเข้ามาครอบคลุม

ซักพัก Creep – หนึ่งในเพลงโปรดของผมก็ลอยเข้ามาในหัว

But I’m a creep. I’m a weirdo. What the hell am I doing here. I don’t belong here.

ตอนนั้นผมจำได้เลยว่าผมคิดถึงพ่อ แม่ และน้องชาย

พ่อกับแม่ทำงานหาเงินส่งเรามาเรียน ส่วนน้องชายที่อยู่เมืองไทยก็คงกำลังตั้งใจเรียนหนังสืออยู่เช่นกัน

ผมเลยรู้สึกละอายที่มาทำอะไม่รู้อยู่ในปาร์ตี้นี้ เลยตัดสินใจเดินกลับบ้านคนเดียว และถ้าจำไม่ผิดผมกลับถึงห้องแล้วก็อ่านหนังสือวิชาที่จะต้องสอบสัปดาห์ถัดไปเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นมา

—–

“The time you feel lonely is the time you most need to be by yourself.”

ทำไมคนเราถึงควรอยู่คนเดียวเวลาเหงา

เพราะความเหงาเกิดจากความคิด

และถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ “ไม่ได้ดั่งใจ” เหมือนอย่างที่ผมเจอในงานปาร์ตี้ เราก็จะยิ่งคิดมาก

เวลาอยู่กับคนอื่น เราย่อมมีความคาดหวังว่าเขาจะคุยกับเรา แต่ในเมื่อเราไม่สามารถบังคับกะเกณฑ์คนอื่นได้ โอกาสผิดหวังจึงมีสูง

แต่ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียว เราย่อมไม่มีความคาดหวังว่าจะต้องมีใครมาคุยด้วย

เมื่อไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง และใจเราก็มีความสงบมากขึ้น

เมื่อสงบ ความคิดลบๆ ก็จะน้อยลง มีเวลาสำรวจใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น

แล้วความเหงาก็จะจางไปครับ