เจ้านายกับผู้นำ

20151208_BossLeader

Remember the difference between a boss and a leader; a boss says “Go!” – a leader says “Let’s go!”

ความแตกต่างระหว่างเจ้านายและผู้นำก็คือ เจ้านายจะพูดว่า “ไปได้แล้ว!” ส่วนผู้นำจะพูดว่า “ไปกันเถอะ!”

– Anonymous

—–

สมมติว่าคุณเป็นหัวหน้าทีม ได้งานชิ้นหนึ่งมา ซึ่งเป็นงานที่จำเป็นต้องทำ แต่ดันไม่มีใครอยากทำเพราะว่างานมันไม่สนุกและสิ้นเปลืองเวลา คุณจะทำอย่างไร?

ถ้างานชิ้นนี้ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงถึงจะทำเสร็จ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือโยนให้ลูกน้องที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดในทีมทำ

แต่วิธีที่ผมเชื่อว่าดีกว่าในระยะยาว ก็คือการซอยงานนี้ให้ทุกคนทำร่วมกัน

ผมเรียกวิธีนี้ว่า Share the pain

ตอนที่ผมทำงานซัพพอร์ต ทีมผมมีกัน 8 คน ดังนั้นงานแทนที่จะโยนงานให้คนๆ เดียวต้องทุกข์ทรมานถึงสองชั่วโมง ผมจะขอให้ทุกๆ คนในทีมช่วยกันทำ โดยแต่ละคนอาจใช้เวลาประมาณคนละ 20 นาทีกับงานน่าเบื่อชิ้นนี้

รวมเวลาแล้วอาจจะใช้เวลามากกว่าให้คนเดียวทำก็จริง แต่ผมถือว่าคุ้ม เพราะแน่ใจได้ว่า ปัญหาน้อยเนื้อต่ำใจจะไม่เกิดขึ้น

และที่สำคัญ การที่ทุกคน (รวมถึงหัวหน้าทีม) ร่วมกันแบ่งเบาภาระ มันก็แสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันของคนในทีม ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือใคร ทุกๆ คนยอมเจ็บปวดเล็กน้อยเพื่อให้งานลุล่วง

ดีกว่าตัวเองสบายและปล่อยให้เพื่อนต้องลำบากครับ

—–

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

วิธีง่ายๆ ที่จะเป็นเจ้านายที่ดีขึ้น

20151105_BetterBoss

วันนี้ขอมาแชร์หนึ่งในเทคนิคการทำงานจากหนังสือเรื่อง What Got You Here Won’t Get You There ของ Marshall Goldsmith ครับ

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยคนที่เป็นดาวรุ่งในองค์กร ที่ทำงานเก่งและเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่แล้วก็เจอปัญหาที่ทำให้ “ไปต่อ” ไม่ได้เพราะนิสัยบางอย่าง

โกลด์สมิธ ผู้เขียนหนังสือพูดถึงอุปนิสัย (เสีย) 20 ข้อที่มักพบเจอในเหล่า high performers เหล่านี้

แต่วันนี้ผมจะขอไม่ลงรายละเอียด 20 ข้อนะครับ อยากจะแชร์แก่นของหนังสือเล่มนี้มากกว่า

เรามักคิดว่าการที่จะเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปในองค์กร เราต้องเรียนรู้มากขึ้น ขยันมากขึ้น พูดมากขึ้น และลงมือทำมากขึ้น

แต่หนังสือเล่มนี้สอนให้เราคิดย้อนศร

แทนที่จะทำอะไรมากขึ้น ก็แค่ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกันให้น้อยลงก็พอแล้ว

เช่นถ้าคุณบอกว่าคุณอยากจะเป็นเจ้านายที่นิสัยดีกว่าเดิม (I want to be nicer) นั่นย่อมหมายถึงคุณต้องทำอะไรหลายอย่าง เช่นพูดจาให้เพราะขึ้น ชมคนอื่นบ่อยขึ้น ช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ฯลฯ

ซึ่งการเปลี่ยนอุปนิสัยหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันอาจจะขัดกับจริตของคุณที่เป็นคนโผงผางตรงไปตรงมาและมุ่งเน้นผลลัพธ์ (results-oriented)

สิ่งที่โกลด์สมิธแนะนำนั้นง่ายกว่านั้นมากนั่นคือ แทนที่จะพยายามทำตัวดีขึ้น คุณแค่เลิกทำตัวแย่ๆ ก็พอแล้ว – Instead of trying to be nicer, just stop being a jerk

Jerk เป็นคำแสลงของฝรั่งที่เอาไว้ด่าคน ที่ผมเห็นส่วนใหญ่คือเอาไว้ด่าผู้ชาย เช่น He’s such a jerk แปลว่าผู้ชายคนนี้ถ่อยว่ะ หรือ คนๆ นี้สันดานเสียว่ะ หรืออะไรทำนองนั้น

แล้วในฐานะหัวหน้า เราจะหยุดการเป็น Jerk ได้ยังไงบ้าง?

ถ้าลูกน้องนำเสนอไอเดียที่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ แทนที่คุณจะวิพากษ์วิจารณ์ไอเดียนั้น คุณก็แค่รับฟังแล้วก็ไม่ต้องพูดอะไร

ถ้ามีใครวิจารณ์การตัดสินของคุณ แทนที่คุณจะตอบโต้กลับหรือพูดจาปกป้องตัวเอง คุณก็แค่พิจารณาคำวิจารณ์นั้นอย่างเงียบๆ ก็พอ

ถ้ามีคนชี้แนะสิ่งที่มีประโยชน์ คุณก็ไม่จำเป็นต้องบอกเขาว่าคุณรู้อยู่แล้ว ก็แค่เอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อ

ระหว่างทำตัวให้ nice ขึ้น กับเลิกทำตัวเป็น jerk อันหลังทำง่ายกว่ากันเยอะ

คุณไม่จำเป็นต้องพูดจาให้เพราะขึ้น หรือยิ้มมากขึ้น หรืออะไรทั้งนั้น

แค่หยุดทำสิ่งที่ทำให้คุณเป็น jerk ในสายตาลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน

แค่นี้คุณก็จะเป็นหัวหน้าที่ดีขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้วครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

9 สาเหตุที่ทำให้ลูกน้องเบื่อเจ้านาย

20150702_9ReasonsEmployeesResentTheirBoss

ผมเพิ่งได้อ่านบทความชื่อ The Top Complaints from Employees About Their Leaders ในเว็บของ Harvard Business Review เห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ

ผู้เขียนบทความนี้ชื่อ Lou Solomon เป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Interact Authentic Communication

Interact และ Harris Poll ได้ร่วมกันสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในอเมริกากว่า 1000 คนว่า อะไรบ้างที่ทำให้เจ้านายไร้ประสิทธิภาพ โดยเน้นไปที่เรื่องการสื่อสารของเจ้านายครับ

ปัญหาที่เจอบ่อยที่สุด 9 ข้อมีดังนี้ครับ

  1. ไม่เห็นคุณค่าในงานที่ลูกน้องทำออกมา (Not recognizing employee achievements)
  2. ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน (Not giving clear directions)
  3. ไม่มีเวลาให้ลูกน้อง (Not having time to meet with employees)
  4. ปฏิเสธที่จะคุยกับลูกน้อง (Refusing to talk to subordinates)
  5. เอาหน้าในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ/คิด (Taking credits for others’ ideas)
  6. ไม่ให้ฟีดแบ็คในทางสร้างสรรค์ (Not offering constructive feedback)
  7. จำชื่อพนักงานไม่ได้ (Not knowing employees’ names)
  8. ไม่ยอมคุยทั้งทางโทรศัพท์หรือแบบเห็นหน้า (เดาว่าอาจให้ลูกน้องรับหน้าแทน) (Refusing to talk to people on the phone / in person)
  9. ไม่ถามไถ่ลูกน้องเรื่องชีวิตนอกออฟฟิศ (Not asking about employees’ lives outside work)

คุณลู โซโลมอนยังมีข้อแนะนำอีก 7 ข้อ เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ครับ

1.แสดงให้ลูกน้องเห็นว่าเราเห็นคุณค่าในตัวเขา โดยต้องยกตัวอย่างที่จับต้องได้ด้วย เพื่อให้ลูกน้องเห็นว่าเราใส่ใจมากพอที่จะสังเกตเห็นสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้บริษัท

2. กล่าวขอบคุณ ทั้งเป็นการส่วนตัวและต่อหน้าคนอื่น โดยอย่างแรกอาจจะทำโดยวาจา อีเมล์หรือแม้กระทั่ง Post-it ส่วนอย่างหลังนั้นอาจจะทำในที่ประชุมหรือในจดหมายข่าวก็ได้

3. ถามความเห็นลูกน้อง ถ้าหัวหน้ารู้ดีไปหมดทุกเรื่องลูกน้องก็คงไม่อยากนำเสนอไอเดียอะไร หัวหน้าควรจะหมั่นถามคำถามลูกน้องอยู่เสมอ เช่น “น้องคิดว่าเราจะปรับปรุงเรื่องนี้ได้ยังไง?”  หรือ “น้องคิดว่าต้นเหตุของปัญหาน่าจะอยู่ตรงไหน”  หรือ “งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ชอบส่วนไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”  หัวหน้าที่ดีควรจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสดงออกทางความคิด

4. อธิบายที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลง องค์กรย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และเราเองอาจจะไม่ได้รู้ทุกอย่างหรือเรื่องบางเรื่องก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด แต่การไม่บอกอะไรลูกน้องเลยรังแต่จะทำให้ลูกน้องกังวลและเก็บเอาไปมโนกันเอง จึงเป็นการดีกว่าที่เราจะให้ข้อมูลเท่าที่เราให้ได้ เพราะคำอธิบายที่อยู่บนข้อเท็จจริงนั้นยังไงก็ดีกว่าการไม่อธิบายอะไรเลย

5. ให้ฟีดแบ็คกับลูกน้องอย่างทันท่วงที เพราะพวก Millenials (คนที่เริ่มทำงานหลังปี 2000) นั้นต้องการฟีดแบ็คและการโค้ชชิ่งมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ

6. เล่าความผิดพลาดของตัวเองให้ฟัง เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าหัวหน้าเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน และลูกน้องย่อมจะเคารพหัวหน้าที่พร้อมจะเปิดเผยและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเคยทำพลาด เพื่อที่ลูกน้องจะได้ไม่พลาดซ้ำเดิมอีก

7. จำชื่อพนักงานให้ได้ ถ้าองค์กรใหญ่เกินไปก็เริ่มจากการจำชื่อคนในทีมก่อน การจะมาบอกว่าตัวเองเป็นคนจำชื่อไม่เก่งนั้นเป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้ เพราะคนที่จำชื่อคนอื่นได้แม่นนั้นเพราะเขาใช้ความพยายามและความใส่ใจต่างหาก

การเป็นเจ้าคนนายคนไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะโดยทั่วไป คนที่เก่งในด้านนั้นๆ มักจะโดนเลือกขึ้นมาให้เป็นหัวหน้า ทั้งๆ ที่จริงๆ อาจจะยังไม่มีทักษะการเป็นผู้นำหรือมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ

สมมติว่าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมาก แต่ไม่เก่งเรื่องการจัดการหรือด้านการเข้าหาผู้คน ถ้าองค์กรโปรโมตคุณขึ้นมาเป็นหัวหน้า นั่นอาจหมายความว่าองค์กรได้เสียโปรแกรมเมอร์ดีๆ ไปหนึ่งคน และได้หัวหน้าแย่ๆ มาหนึ่งคนแทน

ดังนั้น เราควรจะพัฒนาทักษะที่เป็น soft skills หกข้อด้านบนเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อที่วันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง เราจะยังเป็นพนักงานที่มีคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้างรวมถึงตัวเองได้อย่างแท้จริงครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Harvard Business Review

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี

หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 บทความเกี่ยวกับธรรมะใกล้ตัว ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ

20150316_RebornCover