ยูโรมโนสาเร่ ตอนที่ 5

5 เรืองเล่าจากเจนีวา

1. ศูนย์กลางองค์กรสากล
สวิตเซอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางขององค์กรสากลเยอะมาก

นี่คือที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรที่เราคุ้นเคย

FIFA – Zurich
UEFA – Bern
Olympic – Lausannne
Red Cross – Geneva
United Nations – Geneva (Regional headquarters)

คนที่ดูบอลจะคุ้นเคยว่า เวลาจับสลากรอบลึกๆ รายการฟุตบอลอย่างยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หรือมอบรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีอย่าง Ballon D’Or (บัลลงดอร์) ก็จะจัดที่สวิตเซอร์แลนด์เสมอ

2. อังรีดูนังต์บางอ้อ
ผมคุ้นเคยกับชื่อถนนอังรีดูนังต์มานาน เพราะเป็นถนนสายที่มีตึกสำคัญๆ อย่าง ราชกรีฑาสโมสรหรือ Sports Club, จุฬา และ โรงพยาบาลตำรวจ

แต่ผมเพิ่งรู้ว่าอังรีดูนังต์ เป็นคนก่อตั้งสภากาชาดจากการไปเยือนเจนีวาคราวนี้!

และเพิ่งรู้ว่า Henri Dunant เป็นชาวสวิสด้วย (นึกว่าเป็นคนฝรั่งเศสมาโดยตลอด)

image

3. เจนีวาเป็น regional headquarters ของ UN ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ UN

สวิสชอบมีอะไรแปลกๆ แบบนี้
อยู่ใจกลาง Schengen states  แต่ไม่ยอมเข้าร่วมเป็น Schengen จนถึงปี 2008

ตอนที่ยุโรปตะวันตกประกาศใช้เงิน Euro ก็มีอังกฤษกับสวิสนี่แหละที่ไม่ยอมใช้เงินยูโรด้วย

สหประชาชาติใช้ตึก Palais des Nations ในเจนีวาเป็น regional headquaters มาหกสิบกว่าปีแล้ว ทั้งๆ ที่สวิสเพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ UN เมื่อปี 2002 นี่เอง

เหตุผลที่ UN ใช้เจนีวาเป็นออฟฟิศหลัก ทั้งๆ ที่สวิสไม่ใช่ประเทศสมาชิกก็เพราะว่า Palais des Nations ถูกสร้างเพื่อไว้ใช้โดยองค์กร League of Nations ซึ่งสวิสเป็นสมาชิก

แต่พอสร้างเสร็จไม่นาน League of Nations ก็ถูกยุบและมี United Nations ตั้งขึ้นมาแทน

ถึงสวิสจะตัดสินใจไม่สมัครเป็นประเทศสมาชิกของ UN แต่ก็ถือว่าอาคารนี้เป็นสมบัติกลางก็เลยยกให้ United Nations ใช้งานต่อซะเลย

4. เหตุผลของการมี UN
จะว่าไปผมก็ไม่เคยถามตัวเองจริงจังว่า UN สร้างขึ้นเพื่ออะไรนะครับ เพิ่งมารู้คำตอบเอาคราวนี้เหมือนกัน

ต้องกลับไปดูที่ “พ่อ” ของ UN อย่าง League of Nations ก่อน

League of Nations ตั้งขึ้นหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 2

League of Nations สร้างออฟฟิศอย่าง Palais des Nations  ขึ้นมา ยังไม่ทันได้ใช้งาน สงครามโลกครั้งที่สองก็ดันปะทุขึ้นซะก่อน

เมื่อรู้ตัวแล้วว่า ไม่สามารถทำหน้าที่หมายของตัวเองได้ League of Nations จึงฮาราคีรี ปิดตัวเองลง และตั้งองค์กรใหม่อย่าง UN ขึ้นมา…

พอจะเดาออกรึยังครับว่า UN ตั้งขึ้นเพื่ออะไร?

ใช่ครับ เพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่สามนั่นเอง!

5.สามหน้าที่หลักของ UN Geneva
คือ Peace, Human Rights และ Wellbeing โดยทุกๆ ปี UN ที่เจนีวาจะมี “งานใหญ่” สองงานคือการประชุมประจำปีของ WHO (World’s Health Organization) ในเดือนพฤษภาคม และ International Labour Conference ในเดือนมิถุนายน นอกนั้นก็จะมีการประชุมกลุ่มย่อยๆ ตลอดทั้งปี

ห้องประชุมใหญ่นั้น ยังมีประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างที่ผมไม่เคยรู้ นั่นคือเอาไว้จัดคอนเสิร์ตและโชว์บัลเลต์ครับ! (เขาออกแบบวัสดุในห้องให้เหมาะแก่การนี้ด้วย)

เป็นอันจบเรื่องเล่าของสวิตเซอร์แลนด์นะครับ พรุ่งนี้เราจะไปปารีสกันต่อ

image

พรุ่งนี้จะไปต่อกันที่ฝรั่งเศสนะครับ!

ยูโรมโนสาเร่ ตอนที่ 4

5 ความแตกต่างของคนสวิสเยอรมันและสวิสฝรั่งเศส

1. พื้นที่บอกภาษา
อย่างที่ได้เล่าไว้เมื่อสองตอนที่แล้วว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นมีภาษาทางการอยู่สามภาษา คือเยอรมัน ฝรั่งเศส และ อิตาลี

คนในแต่ละพื้นที่จะพูดภาษาไหนเป็นหลักนั้น ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่นั้นอยู่ใกล้กับประเทศอะไร

เมืองในพื้นที่ภาคเหนือที่มีพรมแดนติดกับเยอรมัน ก็จะพูดภาษาเยอรมัน เช่น Zurich และ Bern

ภาคตะวันตกอยู่ติดกับฝรั่งเศส ดังนั้นคนในเมือง Geneva หรือ Lausanne ก็จะพูดภาษาฝรั่งเศส

ส่วนคนในเมืองอย่าง Lugano ที่อยู่ตอนใต้ของสวิตฯ ก็จะพูดภาษาอิตาลี

ผมเองยังไม่เคยไปจังหวัดที่พูดภาษาอิตาลี เลยสามารถเปรียบเทียบได้แค่สวิสเยอรมัน กับ สวิสฝรั่งเศสครับ

2. รถไฟในสวิสเยอรมันตรงเวลากว่า
ผมเล่าไปตอนที่แล้วว่ารถไฟสวิสตรงเวลามาก แต่ก็ไม่จริงเสมอไป

ผมมาพักที่เมือง Montreux สองคืน ได้นั่งรถไฟสามครั้ง รถไฟล่าช้าถึงสองครั้ง

ครั้งแรกที่สาย เรานั่งรถไฟจาก Montreux ไป Lausanne (เพื่อจะต่อรถไป Geneva) รถมาสายไปหนึ่งนาที และระหว่างทางก็ไปจอดแช่อยู่ที่สถานีหนึ่งประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้

ครั้งที่สองที่สายนี่หนักกว่า ผมนั่งรถจาก Montreux มา Lausanne เหมือนกัน แต่คราวนี้เพื่อที่จะนั่งรถ TGV จาก Lausanne ข้ามประเทศไปปารีส จองตั๋วทุกอย่างไว้หมดแล้ว

ปรากฏว่า ระหว่างทางจาก  Montreux ไป Lausanne รถกลับจอดเฉยๆ และให้คนลงจากรถ

ที่ๆ เราลงเป็นสถานีเล็กๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่ซักคน เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอรถขบวนถัดไปอีกครึ่งชั่วโมง และไปขึ้นรถ TGV ก่อนรถออกเพียงแค่ 8 นาที

3. คนสวิสฝรั่งเศสคุยเก่งกว่า
อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตเฉพาะตอนอยู่บนรถไฟเช่นกัน เวลานั่งรถไฟในโซนสวิสเยอรมัน ทุกอย่างจะเงียบสงบ คนส่วนใหญ่นั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นมือถือเงียบๆ

แต่เวลาผมนั่งรถไฟในโซนสวิสฝรั่งเศสนั้น เสียงจะเจี๊ยวจ๊าวมาก ได้ยินคนคุยกันตลอดเวลา ทั้งผ่านมือถือและคุยกันเอง

4. สวิสเยอรมันเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่า
คนสวิสเยอรมันเหมือนทหาร ส่วนคนสวิสฝรั่งเศสเหมือนศิลปิน

ในพื้นที่สวิสเยอรมัน รถจะจอดกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างเป๊ะหมด ส่วนที่ Montreux ซึ่งเป็นสวิสฝรั่งเศส บ้านที่ผมอยู่นั้นอยู่บนเนินเขา ถนนก็แคบ ไม่มีช่องจอดรถชัดเจน รถก็เลยจอดกันได้ “อาร์ท” สุดๆ คือเกยกันไปดกยกันมา จนอดคิดไม่ได้ว่า ตอนเอารถออกมันจะทำกันอีท่าไหน

5. ผู้หญิงสวิสฝรั่งเศสหน้าตาดีกว่า
(อันนี้ขออนุญาตแฟนแล้ว) ช่วงสามวันแรกที่อยู่สวิสเยอรมันนั้น เจอผู้หญิงสวยน้อยมาก แต่พอลงมาที่ Montreux หรือ Geneva จะเจอผู้หญิงที่ทำให้ต้องชำเลืองอีกครั้งอยู่เรื่อยๆ อาจจะเป็นทั้งเรื่องการแต่งตัวและเรื่องโครงหน้าที่คนไทยนิยมด้วย

ผมเคยไปเที่ยวเมืองมิวนิคที่เยอรมัน (ซึ่งอยู่ภาคใต้และไม่ไกลจากซูริค)  ก็ไม่ค่อยเจอผู้หญิงสวยเหมือนกัน เพื่อนบอกว่าที่เยอรมันต้องขึ้นไปภาคเหนือคนสวยถึงจะเยอะกว่า

พรุ่งนี้มาต่อเรื่องสวิสเป็นวันสุดท้ายนะครับ

พรุ่งนี้มาต่อตอนสุดท้ายเกี่ยวกับสวิสนะครับ

ยูโรมโนสาเร่ ตอนที่ 2

อย่างที่เกริ่นไปในตอนที่แล้วว่า ช่วงนี้ผมกำลังเดินทางในยุโรป ทำให้พิมพ์บทความได้ทางมือถือเท่านั้น จึงต้องขอเขียนให้สั้นลง โดยนำเรื่องราวน่าสนใจที่ได้พบเห็นในการเดินทางครั้งนี้มาเล่าให้ฟังวันละ 5 เรื่องนะครับ

วันนี้ขอเล่าเรื่องจากสวิตเซอร์แลนด์ครับ

1.ไม่ต้องกรอกใบคนเข้าเมือง
ตอนจะลงจากเครื่องแฟนผมก็ทักว่า ทำไมเขาไม่เห็นแจกใบอะไรให้กรอกเลย เราก็เลยตั้งสมมติฐานกันว่า ที่นี่คงไม่ต้องกรอกมั้ง

แล้วก็เป็นความจริง ตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เราแค่ยื่นพาสปอร์ตให้ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ถามนิดหน่อยว่ามาเที่ยวกี่วัน จะไปประเทศอะไรบ้าง ก็เรียบร้อยแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับผมที่ไม่ต้องกรอกใบคนเข้าเมืองเวลาเดินทางไปต่างถิ่น ซึ่งจะว่าไปการกรอกใบพวกนี้ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะในพาสปอร์ตก็น่าจะมีข้อมูลการเดินทางอยู่แล้วว่าขึ้นสายการบินอะไร บินมาจากไหน

แถมกระดาษที่เรากรอกๆ ไป วันหนึ่งๆ สนามบินต้องรับไว้วันละเป็นพันเป็นหมื่นใบ น่าจะจัดเก็บลำบากและใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยจะได้ด้วย

2. พูดได้สองภาษาอย่านึกว่าเท่ห์
ที่ประเทศไทย ใครพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ หน่อยจะดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาทันที  แต่คนสวิสนี่เขาพูดได้อย่างน้อยสามภาษานะครับ เพราะประเทศของเขามีภาษาราชการคือเยอรมัน ฝรั่งเศส และ อิตาลี  แถมเยอรมันก็มีแยกเป็น Swiss German กับ High German อีก (อารมณ์คล้ายๆ จีนแต้จิ๋วกับจีนกลาง) เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ของที่นี่จะพูดสามสี่ภาษาได้หน้าตาเฉย เช่นถ้าอยู่ในซูริค (ซึ่งใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาทางการ) ก็จะพูดสวิสเยอรมัน เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษได้ แม้สำเนียงจะไม่เป๊ะ แต่ก็สื่อสารได้สบายๆ

และด้วยความหลากหลายทางภาษานี่เอง ป้ายส่วนใหญ่จะต้องมีอย่างน้อยสามภาษา

image

3. ตั๋วรถไฟราคาเป็นแสน
มาเที่ยวที่นี่ ผมซื้อ  Swiss Rail Pass แบบใช้ได้สามวัน ราคา 210 Francs ( เจ็ดพันบาท) เที่ยวได้ทั่วสวิส ส่วนคนพื้นที่ไม่มีสิทธิ์ซื้อตั๋วพวกนี้ (คล้ายกับคนญี่ปุ่นที่ไม่มีสิทธิ์ซื้อ JR Pass) แต่สามารถซื้อตั๋วรายปีเพื่อใช้เดินทางในเขตใดเขตหนึ่งได้ อย่างเพื่อนผมซื้อไว้เดินทางในพื้นที่ซูริคและละแวกใกล้เคียง ค่าตั๋ว 5000 francs หรือ 170,000 บาท!

4. เด็กอนุบาลต้องเดินไปโรงเรียนเอง
เพื่อนผมชื่อมิกิมีลูกสาวสองคน คนโตสี่ขวบครึ่ง คนเล็กสองขวบครึ่ง  ตอนนี้คนโตเรียนโรงเรียนอนุบาลแล้ว และเดินไปโรงเรียนเอง (ใช้เวลาเดินประมาณเสิบห้านาที) โดยทางคุณครูที่โรงเรียนขอร้องพ่อแม่ว่าไม่ต้องมาส่ง เพราะอยากให้เด็กฝึกการมีชีวิตโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร (independent)

ผมรู้ว่าเมืองไทยคงทำไม่ได้ เพราะบ้านเมืองเราไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น ขนาดเด็กมัธยมพ่อแม่ยังขับรถมาส่งถึงประตูโรงเรียนเลย

บางคนอาจจะถามว่า อ้าว แล้วถ้าบ้านอยู่ไกลจากโรงเรียน จะให้เดินทางมาเองได้ยังไง

ประเด็นนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะ…

5. เด็กต้องเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเท่านั้น
ถ้าบ้านของคุณอยู่ในเขตนี้ รัฐบาลจะไม่อนุญาตให้คุณส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่อื่น ที่สวิสนักเรียนส่วนใหญ่จะเรียนโรงเรียนรัฐบาลเพราะคุณภาพของเขาดีได้มาตรฐานเหมือนกันหมด จะมีเฉพาะเด็กที่เรียนไม่ทันเพื่อนเท่านั้นที่ต้องไปเรียนโรงเรียนเอกชน

อ้อแล้วที่นี่ชั้นอนุบาลกับประถมเรียนฟรีนะครับ ส่วนชั้นมัธยมก็เทอมละ 600 francs หรือสองหมื่นนิดๆ ครับ ถือว่าไม่แพงเลย เพราะตอนผมมาฝึกงานที่สวิสเมื่อปี 2001 ก็ได้เงินเดือน 2500 francs เข้าไปแล้ว นี่ขนาดแค่เด็กฝึกงานนะ

—–

พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องสวิสให้ฟังเพิ่มนะครับ

ยูโรมโนสาเร่ ตอนที่ 1

ผมมาเที่ยวยุโรปได้สี่วันแล้ว อีกเกือบสองสัปดาห์ถึงจะกลับ ช่วงนี้เลยต้องขอเปลี่ยนรูปแบบและเนื้อหาการเขียนชั่วคราวเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตตอนนี้นะครับ

เวลาเราไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เรามักจะเจออะไรแปลกใหม่และอยากเอากลับมาเล่าให้คนที่บ้านฟัง

ผมเลยตั้งใจจะหยิบสิ่งใหม่ๆ หรือน่าสนใจมาเล่าให้ฟังวันละ 5 เรื่องนะครับ หากจะดูสัพเพเหระไปหน่อยก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ครับ

วันแรกผมขอพูดถึงสนามบินดูไบครับ

1. สนามบินดูไบใหญ่มาก
มาเที่ยวคราวนี้ผมนั่งสายการบินอาหรับเอมิเรตส์ครับ

จากกรุงเทพ ผมต้องมาลงที่สนามบินดูไบตอนตีสี่ครึ่งเพื่อเปลี่ยนเครื่องไปซูริค

ผมไม่รู้หรอกว่าสนามบินเค้ามีขนาดใหญ่แค่ไหน แต่ความรู้สึกที่ได้คือมันอลังการมาก
แค่ลิฟต์แก้วก็จุคนได้ไม่ต่ำกว่า 50 คน มองออกไปนอกลิฟต์ก็เห็นน้ำตกใหญ่ๆ อารมณ์คล้ายๆ กับเวเนเซียของมาเก๊าเลย

2. สนามบินดูไบยุ่งมาก
เวลาตีสี่ครึ่ง แต่คนเดินในสนามบินอย่างกับห้าง Em Quartier เปิดวันแรก (ผมไม่ได้ไปหรอกนะครับ ฟังเค้าเล่ามา) มีคนทุกชาติพันธุ์ แต่ที่เยอะๆ ก็คือจีน ฝรั่ง แขก
สนามบินนี้มีร้านรวงเยอะที่สุดในบรรดาสนามบินที่ผมเคยไปมาทั้งหมด

สินค้าที่ผมประทับใจที่สุดคือมือถือครับ

ยี่ห้อของมันคือ Vertu น่าจะมาจากอังกฤษ

ราคาก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่ซื้อรถได้หนึ่งคัน!

3. พนักงานไม่มีคนแขกเลย
เคยได้ยินมานานแล้วว่า เพราะประเทศเขารวยมาก ชาวอาหรับที่นี่เลยไม่ทำงาน “พื้นๆ” อย่างพนักงานขายของหรือพนักงานทำความสะอาด แต่จะใช้บริการชาวต่างชาติ มาทำให้ เท่าที่ผมดู คนดูแลห้องน้ำเป็นชาวฟิลิปปินส์กับอเมริกาใต้ ส่วนพนักงานขายหญิงก็หน้าตาออกแนวรัสเซีย ไม่มีคนแขกทำงานให้เห็นเลย

4. ห้องน้ำที่นี่หรูหราไฮโซ
นอกจากเมืองไทย ก็เพิ่งเคยเจอห้องน้ำสนามบินที่เขามีที่ฉีดก้น แถมภาชนะต่างๆ ยังสีทอง สอดคล้องกับกิจกรรมเป็นอย่างยิ่ง

5. มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สุวรรณภูมิควรพิจารณา

ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นเด็ก เก้าอี้คล้ายๆ เก้าอี้ตากอากาศเพื่อการนอนอย่างเป็นสุข และจุดชาร์จไฟโทรศัพท์ที่ทำไว้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ขอแถมอีกซักเรื่องแล้วกัน

ระหว่างเดินไปเกทที่จะขึ้นเครื่อง ผมก็เจอหญิงสาววัยรุ่นคนนึง ผอมขาวและตัวสูงเลยทีเดียว ดูน่าจะเป็นคนไทยด้วย  เดินอยู่กับผู้ชายวัยห้าสิบหกสิบ เดาว่าน่าจะเป็นคุณพ่อ ซักแป๊บน้องเค้าก็เดินไปหาผู้หญิงที่น่าจะเป็นคุณแม่

คุณแม่นี่แหละที่น่าสนใจ

เพราะเป็นอดีตนักการเมืองระดับประเทศ ที่มีบทบาทสำคัญในช่วงพรรคไทยรักไทยรุ่งเรือง

ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงมาเปลี่ยนเครื่องเหมือนกัน แต่แฟนผมก็ทักว่า มาหาคนแถวนี้รึเปล่า

อืม…น่าคิด

ไว้พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องที่น่าสนใจจากสวิสเซอร์แลนด์นะครับ

image

image

image

image