ความเสี่ยง vs ความไม่แน่นอน

20150927_RiskUncertainty

วันนี้ผมขอมาแนววิชาการหน่อยนะครับ

เป็นเรื่องเล่าที่ได้มาจากหนังสือ The Art of Thinking Clearly ของ Rolf Dobelli ครับ

มีกล่องอยู่สองกล่อง

กล่องแรกมีลูกบอลอยู่ 100 ลูก โดย 50 ลูกเป็นสีแดง และอีก 50 ลูกเป็นสีดำ

กล่องที่สองมีลูกบอลอยู่ 100 ลูกเหมือนกัน แต่เราไม่รู้ว่ามีบอลสีแดงกี่ลูกและมีบอลสีดำกี่ลูก

ถ้ากติกาคือให้คุณล้วงลงไปในกล่อง แล้วหยิบบอลขึ้นมาหนึ่งลูก

ถ้าได้บอลสีแดง คุณจะได้เงินรางวัล 1,000 บาท

คุณจะเลือกหยิบบอลจากล่องแรกหรือกล่องที่สอง?

เชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะเลือกหยิบจากกล่องแรก

—–

เอาใหม่

ถ้ารอบสอง เราเปลี่ยนกติกาเป็นต้องหยิบบอลสีดำขึ้นมาถึงจะได้เงินรางวัล

คราวนี้คุณจะเลือกหยิบบอลจากกล่องแรกหรือกล่องที่สอง?

คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกหยิบบอลจากกล่องแรกอยู่ดี

เหมือนตรรกะจะบิดเบี้ยวนิดนึงนะครับ!

ตอนหยิบบอลครั้งแรก เราตั้งสมมติฐานว่ากล่องที่สองอาจมีบอลสีแดงน้อยกว่าบอลสีดำ

ดังนั้น ถ้ากติกาบอกให้เราหยิบบอลสีดำ เราก็ควรเลือกหยิบจากกล่องที่สองสิ

——

เหตุการณ์ข้างต้นเป็นตัวอย่างของ Ellsberg Paradox ครับ

โดยทฤษฎีนี้กล่าวว่า คนเรามักเลือกที่จะ “เล่น” กับความเสี่ยงที่ระบุได้ มากกว่าที่จะเล่นกับความเสี่ยงที่ระบุไม่ได้

ในกล่องแรก เรามีโอกาส 50:50 ที่จะได้บอลสีดำ หรือพูดง่ายๆ ว่าเรารู้ว่า “ความเสี่ยง” หรือ “ความน่าจะเป็น” มีค่าเท่าไหร่

ขณะที่กล่องที่สอง เราไม่รู้ “ความเสี่ยง” เลย สิ่งที่เราเผชิญอยู่คือ “ความไม่แน่นอน” ต่างหาก

ความเสี่ยง (Risk) กับความไม่แน่นอน (Uncertainty) เป็นคำสองคำที่ดูเผินๆ จะเหมือนกัน แต่ Ellsberg Paradox ช่วยอธิบายให้เห็นความแตกต่างของสองคำนี้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเรารู้ความแตกต่างระหว่าง ความเสี่ยง กับ ความไม่แน่นอนแล้ว เราจะมองโลกได้ชัดขึ้น และไม่ถูกหลอกง่ายๆ

อะไรก็ตามที่เราคำนวณได้ นั่นคือความเสี่ยง

อะไรก็ตามที่เราคำนวณไม่ได้ นั่นคือความไม่แน่นอน

เราสามารถคำนวณได้ว่า โอกาสที่จะได้ป๊อกแปดหรือป๊อกเก้าเป็นเท่าไหร่ นี่คือโลกแห่งการพนันและ “ความเสี่ยง” ที่พอคาดเดาได้ (และเป็นเหตุผลที่ทำไมบ่อนทุกบ่อนถึงรวยหมดเพราะว่ามันได้ออกแบบบน “ความน่าจะเป็น” ที่คำนวณและคาดเดาได้)

แต่เราไม่สามารถคำนวณได้ว่า โอกาสที่เงินดอลล่าร์จะแข็งขึ้นมีความน่าจะเป็นเท่าไหร่ เพราะการขึ้นลงของค่าเงินดอลล่าร์นั้นมีปัจจัยเยอะเกินกว่าจะนำมาคำนวณได้ และค่าเงินดอลล่าร์ หรือดัชนีตลาดหุ้น อยู่ในโลกแห่ง “ความไม่แน่นอน” ไม่ใช่โลกแห่ง “ความน่าจะเป็น”

ดังนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า “มีโอกาส 60% ที่หุ้นตัวนี้จะขึ้น ดังนั้นควรซื้อเก็บเอาไว้” ให้ระวังไว้ว่าเขาอาจจะมั่วใส่คุณอยู่

—–

คนเราพร้อมจะเล่นกับความเสี่ยง แต่ไม่พร้อมที่จะเล่นกับความไม่แน่นอน

ผมว่านี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่คนจำนวนไม่น้อยไม่สบายใจกับการชุมนุมของกปปส.และทิศทางของกลุ่มที่จะตั้ง “สภาประชาชน” ในช่วงหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่ามันจะนำพาประเทศไปสู่อะไร (ความไม่แน่นอนสูงมาก) และอยากให้กลับไปเลือกตั้งกันมากกว่า แม้จะรู้ว่าคงได้นักการเมืองที่ทุจริตอีหรอบเดิมอีก แต่อย่างน้อยก็พอรู้ว่าความเสี่ยงมีอะไรบ้าง เพราะเราเคยเห็นการโกงทุกรูปแบบมาแล้ว (และประเทศก็ยังเดินต่อมาได้)

และเพราะความรังเกียจความไม่แน่นอน (uncertainty aversion) นี่เอง ที่ทำให้ใครหลายๆ คนยังไม่กล้าลาออกจากงาน ทั้งๆ ที่ก็เบื่อสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันเต็มที นั่นเพราะเมื่อลาออกจากงานแล้ว สิ่งที่ตามมามีความไม่แน่นอนสูง ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ความเสี่ยง” นั้นอาจต้องถือว่า “ต่ำ” เพราะถ้าทำแล้วไม่สำเร็จก็คงไม่ถึงขนาดอดตาย และก็น่าจะหางานใหม่ได้ไม่ยากเกินไปนัก

ผมไม่รู้หรอกว่าการรู้ความแตกต่างระหว่าง “ความเสี่ยง” กับ “ความไม่แน่นอน” มันจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้รึเปล่า

แต่ก็อยากจะมาเล่าให้ฟังเอาไว้เพราะเห็นว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ

อย่างน้อยก็น่าจะช่วยให้เราฉุกคิดได้ว่า สิ่งที่เราเผชิญอยู่ มันคือ “ความเสี่ยง” หรือ “ความไม่แน่นอน” กันแน่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก The Art of Thinking Clearly ของ Rolf Dobelli บทที่ 80 – The Difference between Risk and Uncertainty

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ชีวิตคือของขวัญ

20150830_Present
ชีวิตไม่เคยให้ความมั่นคงกับใคร เพราะความมั่นคงเป็นสิ่งน่าเบื่อ

ถ้ารู้ว่าในกล่องของขวัญมีอะไร สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ของขวัญ มันจะกลายเป็นแค่สิ่งหนึ่ง อาจเป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งมีค่า แต่มันจะไม่ใช่ของขวัญ ท่านได้ทำลายของขวัญด้วยความรู้ของท่านเอง และความอัศจรรย์ในชีวิตของท่านก็ถูกทำลายไปด้วย ชีวิตจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวๆ เช่นนี้กับท่านแน่ๆ มันโหดร้ายเกินไป แต่นี่คือสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ มนุษย์พยายามอย่างยิ่งที่จะหาความมั่นคง แน่นอน และตายตัวให้ชีวิต

– ปราชญ์ปลาเป็น
หนังสือ วิถีปลาเป็น หน้า 80 ประพันธ์โดย พศิน อินทรวงค์

—–

ใครที่อายุซัก 30 ปีขึ้นไป น่าจะเคยได้ดูหนังเรื่อง Forrest Gump ที่ว่านำแสดงโดย ทอม แฮงค์

ฟอเรสท์เป็นเด็กไอคิวต่ำแต่มีจิตใจสูงส่ง โชคชะตาพาฟอเรสท์ให้ได้พบเจอกับคนอย่างจอห์นเลนนอนและประธานาธิบดีจอห์นเอฟเคนเนดี้ ได้ไปเป็นทหารสงครามเวียดนาม เป็นนักปิงปองทีมชาติ เป็นเจ้าพ่อฟาร์มกุ้ง เป็นคนสร้างกระแสออกวิ่งไปทั่วประเทศ ฯลฯ

หนึ่งในคำคมในหนังเรื่องนี้ที่ถูกอ้างอิงบ่อยที่สุดก็คือ:

Life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.- ชีวิตเหมือนกล่องช็อคโกแล็ต คุณไม่มีวันรู้เลยว่าคุณจะได้ชิมรสอะไรบ้าง

หากโลกนี้มีแต่ความมั่นคงและไม่ปรวนแปร เด็กไอคิวต่ำอย่างฟอเรสท์กั๊มคงไม่มีวันได้รับประสบการณ์ดีๆ มากมายเช่นนี้

—–

อาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า เขาจะมีแผนการสำหรับตัวเองทุกๆ 7 ปี

ว่าอีก 7 ปีเขาจะทำอะไร และอีก 14 / 21 / 28 ปีเขาจะอยู่จุดไหน

แต่ผมไม่แน่ใจว่า ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน แผนการ 7 ปีมันยังใช้งานได้อยู่รึเปล่า

ในเดือนที่ผ่านมา ใครจะไปคิดว่าจะมีระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุงเทพ และหุ้นจะตกเป็นร้อยจุดภายในเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์

ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีในตัวมันเอง

มันจะเป็นเรื่องไม่ดีในสายตาของคนที่ไม่อาจยอมรับความจริงที่ไม่ถูกใจเรา (ซึ่งผมเองก็คงยังเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้)

แต่สำหรับคนที่เป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะอยู่กับความไม่แน่นอนได้อย่างเบิกบานและมีสติ

ไม่ว่าช็อคโกแล็ตที่หยิบเข้าปากจะรสขมหรือรสหวาน ก็ถือเป็น “ของขวัญชีวิต” สำหรับเขาทั้งนั้น

—–

ขอบคุณหนังสือ วิถีปลาเป็น ประพันธ์โดย พศิน อินทรวงค์ สำหนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่