ลองคิดภาพว่าเย็นวันนี้อากาศไม่ร้อน ค่าฝุ่น PM เป็นสีเขียว แล้วเราอยากจะไปตัดผมที่ร้านหน้าปากซอยซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเรา 500 เมตร เราอาจตัดสินใจเดินไป ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
แต่ถ้าเราคิดจะไปตัดผมกับอีกร้านหนึ่งที่อยู่อีกซอยหนึ่ง ระยะทางจากบ้านเรา 1 กิโลเมตร เราคงไม่เดิน แต่จะปั่นจักรยานไปแทน และใช้เวลาแค่ 6 นาที
ร้านตัดผมซอยข้างๆ อยู่ไกลกว่าร้านตัดผมหน้าปากซอย แต่เรากลับไปถึงร้านไกลได้เร็วกว่าร้านใกล้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Region-beta paradox (รีจิ้น เบต้า พาราด็อกซ์)
ศัพท์นี้มาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2004 ของ Daniel Gilbert และคณะ มีชื่อว่า The Peculiar Longevity of Things Not So Bad
ประเด็นที่เขาต้องการนำเสนอก็คือ บางทีการเจอเรื่องร้ายหนักๆ ไปเลยอาจจะดีกว่าการเจอเรื่องร้ายแบบเบาๆ เพราะถ้าเราเจอความทุกข์ที่พอทนได้ เราก็จะยอมทนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเจอเรื่องร้ายแบบเกินจะทน เราอาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีงานประจำที่เราไม่ได้ชอบ เงินเดือนพอถูไถ หัวหน้าโหดไปนิด แต่เพื่อนร่วมงานก็โอเค เราก็อาจทำงานนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ
แต่ถ้าเราดันเจอหัวหน้าแย่ๆ เพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง เราอาจตัดสินใจหางานใหม่ และได้งานที่ใช่กว่าเดิม
อีกตัวอย่างหนึ่ง หากแฟนที่เราคบนั้นยังไม่คลิก แต่ก็อยู่กันไปได้เรื่อยๆ ก็มีแนวโน้มที่เราจะคบกับเขาไปแบบเบื่อๆ อยากๆ
แต่หากคนที่เราคบเขานิสัยแย่มาก แถมยังมานอกใจเราอีก เราก็อาจจะบอกเลิก และอาจได้แฟนใหม่เป็นคนที่ใช่มากกว่าเดิม
ประเด็นที่จะสื่อไม่ใช่ให้เราหางานใหม่หรือหาแฟนใหม่ แต่ให้ตระหนักว่าอะไรที่ทำให้เราเจ็บรอนๆ พอทนได้ เราก็จะเคยชินและอาจจะ “ติด” อยู่กับสิ่งนั้นไปอย่างยาวนาน แต่อะไรก็ตามที่มันเจ็บเกินจะทน มันจะมี activation energy ที่มากพอให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจนสุดท้ายแล้วเราได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ผมเองก็เคยเจอปรากฎการณ์ที่ออกแนว region-beta paradox ด้วยเช่นกัน
สมัยมัธยมปลายที่ผมเรียนอยู่นิวซีแลนด์ ผมพยายามจะเล่นกีตาร์โซโล่เพลง Don’t Look Back in Anger ของวง Oasis แต่ก็ไปได้ไม่ถึงไหน
จนกระทั่งช่วงปิดเทอม ผมไปนอนบ้านเพื่อนอีกเมืองหนึ่งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ใช้ชีวิตแบบไร้ระเบียบสุดๆ นอนตีสี่ ตื่นเที่ยง สั่งพิซซ่ามากิน เช่าหนังมาดู เล่นเกม ดื่มเบียร์ นั่งคุยกับเพื่อนจนรุ่งสาง วนหลูปตลอด 7 วัน
เมื่อกลับถึงบ้าน พร้อมเงินในกระเป๋าที่หายไปไม่น้อย ผมก็รู้สึกโกรธตัวเองว่าทำตัวได้ไร้สาระมาก self-esteem ตกต่ำ ก็เลยอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย
และสักอย่างที่ว่าก็คือการตั้งใจฝึกโซโล่เพลง Don’t Look Back in Anger อย่างเอาเป็นเอาตายจนกระทั่งเล่นได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพยายามมาหลายครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ
ข้อสรุปที่ผมได้จาก region-beta paradox ก็คือ
หนึ่ง เราควรสำรวจชีวิตเรามีอะไรที่มัน “ร้าว” อยู่หรือไม่ แต่เป็นการร้าวแบบที่เราทนได้หรือเคยชินไปแล้ว
สอง อะไรที่มันร้าวและพอจะซ่อมได้ ก็ควรลงมือซ่อม – fix what’s broken
สาม แต่อะไรที่มันเกินจะซ่อม บางทีอาจจะคุ้มกว่าถ้าเรายอมให้มัน “แตกหัก” ไปเสีย เพื่อที่จะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่
แน่นอนว่ามีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสที่ในระยะยาวแล้วชีวิตเราจะดีขึ้นกว่าเดิมครับ